บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

“ฟังนะ” แม่ผมยังไม่ยอมจบ “ชีวิตคนเรามันก็มีวิถีทางเดินแปลกๆ กันทั้งนั้น ดูพ่อแกเป็นตัวอย่างสิตอนที่เขาเป็นนักศึกษาน่ะเขาไปทำงานในสถานตากอากาศแห่งหนึ่งที่เมืองเมน ก็เป็นบริกรนั่นแหละ ฤดูร้อนปีสุดท้ายที่เขาทำงานอยู่ที่นั่นเขาก็พบผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งชื่อ เคลลี่ ริชาร์ดส แม่คนนั้นเขาเป็นแขกมาพักอยู่ที่โรงแรม เป็นสาวสังคมสวยมากเชียวละ แล้วก็รวยมากด้วย เป็นคนมีชีวิตจิตใจมากกินเหล้าเป็นน้ำเพราะถือว่าไม่ใช่ธุรกิจกงการอะไรของใครแถมตัวเองยังเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ได้รับการตามใจจนเสียคน ยั่วผู้ชายไปเรื่อยๆ แต่เขากลับมารักพ่อแกอย่างหัวปักหัวปำเลย พร้อมจะแต่งงานกับพ่อในทุกนาทีแต่พ่อกับทิ้งแม่นั่น แล้วก็หันมาแต่งงานกับแม่เสียนี่

“ครั้งนึงแม่เคยถามพ่อว่า ทำไมเขาถึงไม่แต่งงานกับ เคลลี่ ริชาร์ดส พ่อก็บอกกับแม่ว่า ผู้หญิงสมัครเล่นอย่างเคลลี่น่ะเหมาะเพียงแค่หาความสุขตอนช่วงฤดูร้อนตอนทำงานอยู่ในโรงแรมนั่นเท่านั้น แต่ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อคิดจะแต่งงานด้วย ถ้าผู้ชายคิดจะแต่งงาน เขาจะต้องเลือกผู้หญิงที่บริสุทธ์ผุดผ่องรู้จักงานบ้านงานเรือนทั้งนั้น แล้วพ่อก็ทำตามกฎข้อนั้นจริงๆ คือแต่งงานกับแม่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้หิญิงที่บริสุทธ์ผุดผ่องสำหรับเขา”

แม่ถอนหายใจอย่างเปี่ยมสุข...

“แม่แน่ใจเลยว่าถ้าพ่อเลือกแต่งงานกับเคลลี่ละก็ป่านนี้ต้องทำงานกับบริษัทของครอบครัวไปแล้ว เขามีชื่อเสียงออกจะตายไป แล้วพ่อก็จะร่ำรวยด้วย ไม่ต้องมามือเหม็นกับการรักษาตาปลาที่เท้าของใครอย่างทุกวันนี้หรอก ต้องทำงานหนักวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เพื่อจะได้เลี้ยงเมียกับลูกอีก 2 คนให้รอดกันมาได้ อาจจะไม่ต้องเป็นอัมพาตเพราะความกังวลที่มันมีมากเกินไปก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องหมดเนื้อหมดตัวเพราะอยากส่งเสียลูกให้ได้ร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยกันหรอก”

“จำไว้นะลูก ชีวิตสมรสน่ะมันก็เหมือนจับปูใส่กระด้งนั่นแหละ บางครั้งเท่านั้นที่เราถึงจะมีโอกาสชนะบ้างมันไร้กฎเกณฑ์ที่จะบังคับเรา บางทีผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันจ๋าก็อาจจะหย่าร้างกันได้ ในขณะที่อดีตโสเภณีกลับทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างดียิ่ง บางทีถ้าพ่อของพวกแกฉวยโอกาสนั้น ป่านนี้เขาอาจจะได้ไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักสำหรับฤดูร้อนของครอบครัวริชาร์ดสก็เป็นได้ แทนที่จะต้องมานั่งเป็นอัมพาตอยู่แต่ในเก้าอี้โยก เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างทุกวันนี้”

“เพราะฉะนั้น จึงเป็นการสมควรอย่างที่สุด ที่แกจะแต่งงานกับแซมมี่เสีย” พี่สาวผมสรุป

แซมมี่มารักผมที่สถานีรถไฟด้วยรถเชพโรเลตสีแดงเจิดจ้า เอนร่างมาเปิดประดูด้านที่นั่งข้างคนขับให้ แต่ผมกลับเดินไปข้างคนขับ

“เถิบไป” ผมสั่ง

“รถคันนี้มีฉันเท่านั้นนะที่จะขับได้” ซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สันไม่ยอม

“กับอีกคนหนึ่งคือผม ถ้าคุณไม่ให้ผมขับผมจะจับรถไฟกลับนิวยอร์คเดี๋ยวนี้เลย”

แล้วผมก็ได้ขับรถคันนั้นสมความปรารถนา

เราไปไร่วิลเคอร์สันที่ราวด์ ฮิลล์ด้วยกัน ที่นั่นครอบครัววิลเคอร์สันเก็บม้าพันธุ์ดีไว้มากมาย โคนมอีก 2-3 ตัว กับปศุสัตว์อื่นๆ บ้าง

“คุณขี่ม้าเป็นไหม?” แซมมี่ถาม

“ขี่ม้า?”

“ใช่...ก็ม้าน่ะสิ”

“เป็นสิ ทำไมจะไม่เป็น” ผมว่า

ม้าตัวหนุ่งที่ผมขี่มีชื่อว่า เฮอร์มัน พอลับหูลับตาคนผมก็ปีขึ้นไปบนหลัง สอดเท้าเข้าไปในโกลน ออกคำสั่งให้มันออกเดิน เจ้าเฮอร์มันส่ายอาดๆ ออกไปยังประตูคอก แต่เนื่องจาก ประตูไม่ได้เปิดกว้างเต็มที่ มันเปิดเพียงแค่ที่เจ้าเฮอร์มันจะผ่านออกไปได้เท่านั้น ไม่ใช่ทั้งขาทั้งเข่าของผมด้วย ผลก็คือ มันผ่านออกไปได้แต่ผมกลับติดอยู่ข้างใน ร่างกายของผมค่อยๆ เลื่อนหล่นลงไปทางหางของมัน ลงมากลิ้งอยู่กับพื้นคอก

เราก็เลยตัดสินใจว่าไม่ออกไปขี่ม้ากันแล้ววันนั้นขับรถออกไปที่ราว ฮิลล์ อินน์ นั่งดื่มกันทั้งวัน

เรานั่งอยู่ตรงโต๊ะที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามเหลือเชื่อของท้องถิ่นชนบทแห่งคอนเนคติกัต ขณะนั้นเป็นยามบ่ายคล้อย เราจึงนั่งชมพระอาทิตย์ตกลงเบื้องขอบฟ้าด้วยกัน จนในที่สุดบริกรต้องเดินมาจุดเทียนที่โต๊ะให้ เราถึงได้อ่านเมนูเห็น

เมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จสรรพ ผมก็ถามแซมมี่ว่าอยากทำอะไรต่อ

“นั่งรถเล่นสิ” เธอตอบ

เราก็เลยขับรถไปเรื่อยๆ นานนับชั่วโมง

แซมมี่เมาแล้วตอนนั้น ร่างเลื่อนลงซุกอยู่เบาะ แล้วก็ลงมือพูด

“ในช่วง 10 ปีแรกของชีวิต ฉันอยู่กับครูที่พ่อแม่จ้างมาสอนประจำบ้านมาตลอด ไม่เคยพบหน้าค่าตาพ่อหรือแม่ เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเข้าไปไม่ไปอยู่เสียที่ไหนก็เพิ่งกลับมา ฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองโชคดีหรือเปล่าที่ไม่มีพ่อแม่คอยอยู่ใกล้ๆ ฉันเสียใจจนไม่อยากไปไหนมาไหนเลย ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง เล่นอยู่คนเดียว พ่อแม่มักจะรู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ฉันเข้าใกล้ ฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่มีใครพึงปรารถนา ทั้งที่ฉันเป็นคนที่เขาจะต้องรับผิดชอบ แต่ทั้งพ่อและแม่ก็ดูไม่อยากจะรับผิดชอบในตัวฉันเสียจริงๆ”

“พี่ชายยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่เคยสนใจตัวฉันเลย ดีแต่เอาใจเพื่อน สนใจอยู่แต่เรื่องของตัวเอง ก็แน่ละ เขาเกิดมาเป็นลูกคนแรกนี่ เพราะฉะนั้นเขาก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากพ่อแม่ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น”

“มันไม่เคยมีอะไรดีขึ้นเลย” ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่ ไอ้ความเลวร้านมันก็ดูจะมากขึ้นเท่านั้น ฉันเป็นเด็กคนเดียวในละแวกบ้านที่นั่งโรลสรอยด์มีคนขับอย่างโก้พาไปส่งโรงเรียน คุณรู้ไหมว่ามันน่ากลุ้มใจแค่ไหนที่เด็กๆ อย่างนั้นจะนั่งโรลสรอยซ์ไปโรงเรียนทุกวัน?

พอโรงเรียนเลิกก็ไอ้โรลสรอยซ์คันนั้นอีกนั่นแหละที่มารับ ถ้าฉันเกิดอยากจะเดินกลับบ้านกับเพื่อน คนขับรถก็จะขับจามมาเหมือนไอ้ปีศาจตัวดำๆ ที่ตามฉันไปเสียทุกหนทุกแห่ง ให้ตายสิ ฉันเกลียดไอ้รถคันนั้นเหลือจะกล่าวจริงๆ”

“บางครั้งพ่อก็เกิดแสดงความสนใจในตัวฉันขึ้นมาบ้าง พ่อก็ต้องไปประชุมกับคณะกรรมการบริหารของบริษัทเข้าอีกแล้ว หรือไม่ก็ต้องไปงานเลี้ยงรับรอง,เดินทางเกี่ยวกับธุรกิจการค้า ไม่ก็ประชุมผู้ถือหุ้นอะไรต่อมิอะไรทำนองนั้น อย่างดีพ่อก็โทรศัพท์มาจากสำนักงานขอโทษขอโพยเพียงแค่ว่า “คืนนี้พ่อเห็นจะต้องกลับดึกแล้วละลูก” หรือไม่ก็ “บังเอิญมันมีงานด่วนน่ะ...” ก็นั่นแหละ อะไรๆ ก็งานด่วน ดูเหมือนไอ้เรื่องงานด่วนนี่จะเป็นข้อแก้ตัวที่พ่อใช้เป็นประจำเลย

“มีอยู่ครั่งหนึ่ง ตอนนั้นฉันอายุ 7 หรือ 8 ขวบเห็นจะได้นอนไม่สบายอยู่บนเตียง พ่อก็สัญญาว่าจะกลับบ้านแล้วก็จะมาเล่นเกมส์กับฉัน มันจะเป็นเกมส์อะไรฉันก็ลืมไปแล้วละ จำได้ว่าแต่ว่าฉันชอบเล่นมากทีเดียว ฉันตื่นเต้นมากที่พ่อจะสละเวลามาเล่นด้วยรีบหยิบกล่องเกมส์ออกมาเตรียมไว้ เตรียมไพ่ เตรียมเบี้ยไว้พร้อม แต่แล้วพ่อก็โทรศัพท์มาบอกว่า “บังเอิญมีเรื่องด่วน มาไม่ได้” ฉันเก็บไอ้กล่องนั้นทันทีแล้วก็นั่งร้องไห้

“มันไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ทุกคนไม่เคยสนใจถ้าฉันจะเดินเข้าไปร่วมวงด้วยซึ่งถ้าฉันเข้าไปร่วมวงกับเขาเมื่อไหร่ก็วงแตกเมื่อนั้น พ่อชอบพูดเสมอว่าฉันควรจะเห็นใจพ่อแม่บ้าง ไม่ควรจะเรียกร้องอะไรเมื่อพ่อกับแม่จะต้องออกไปงานสังคม แม่ก็พล่ามบ่นไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่เล็บ ผม หรือ เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ บางทีก็ว่า เล็บยาวเกินไป ผมก็สั้นเกินไป แต่งตัวไม่เข้าท่า ถ้าไม่ใช่เรื่องพวกนั้นก็จะต้องหาอะไรต่อมิอะไรมาบ่นจนได้นั่นแหละ ฉันถึงกับสาบานกับตัวเองว่า สักวันหนึ่งฉันจะยืนปะทะสายตากับแม่แล้วก็บอกให้แม่ไปลงนรกเสียทีได้แล้ว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel