บทที่ 5
เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงโทรศัพท์กรีดเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า พอผมลืมตาตื่น เอื้อมมือไปรับสาย คนที่เรียกมาก็วางหูไปแล้ว ผมสบถออกมาอย่างไม่พอใจ เหลือบตามองนาฬิกาปลุก 8 โมงครึ่งพอดี ก็เลยถือโอกาสทิ้งหัวลงบนหมอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้ นอนต่อ...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกแล้ว
“ใครโทรมาวะ?” ผมคำรามลงไปในกระบอกโทรศัพท์
“แซมมี่ วิลเคอร์สันเจ้าค่ะ” เสียงหวานๆ ตอบมา แล้วเราก็ไปพบกันที่พลาซ่า โฮเต็ล หน้าปาล์ม คอร์ท ตอนเที่ยงตรง ผมของโทษที่ตะคอกใส่เธอในโทรศัพท์เมื่อเช้านี้
“ชั่งเหอะ” เธอว่า “ฉันชินเสียงแล้วละ ก็คุณตะคอกใส่ฉันมาตั้งแต่อายุ 14 แล้วนี่”
เราเดินไปตามถนนสาย 59 หาอาหารมื้อเช้าผนวกมื้อกลสางวันกินกันที่รัมเพลเมเยอร์
“บอกตรงๆ ว่าผมแปลกใจชะมัดเลย” ผมเอ่ยขึ้นก่อน “แล้วยอร์จ “สกิ๊พ” ลาร์คสเปอร์ จูเนียร์ เขาจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าเราแอบพบกันในนิวยอร์คยังงี้?”
“เอาชนิดง่ายๆ ใช่ไหม?” แซมมี่ย้อนถาม
“ฮื่อ...ชนิดง่ายที่สุดเลย”
“เขาก็ตายเท่านั้นน่ะสิ”
เสร็จจากการรับประทานอาหาร เราก็เดินต่อไปเซ็นทรัล ปาร์ค มันเป็นวันอาทิตย์ที่บรรยากาศสดใส และผมเองก็สบายใจที่สุดด้วย
“ผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งนะ” ผมบอกแซมมี่ “คือมันก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอกที่คุณไปมาหาพี่สาวผมอย่างสม่ำเสมอน่ะ แต่พ่อแม่คุณรู้สคกว่าจะไม่ใช่แบบนี้ที่ชอบจะให้ลูกสาวคนเดียวไปยุ่งเกี่ยวกับพวกลูกๆ ของหมอรักษาโรคเท้านะ”
“ก็อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ละมั้ง ฉันถึงได้ยุ่งอยู่เรื่อยๆ ไงล่ะ ฉันชอบไปคลุกคลีกับครอบครัวคุณนะ เพราะรู้สึกกว่าในบ้านคุณน่ะมีความรักที่ให้ต่อกันมากมายเหลือเฟือจริงๆ คุณอาจจะไม่รวยก็จริง แต่มันมีความอบอุ่นกระจายอยู่ทั่วบ้านเลย แม้แต่ในตอนที่คุณตะคอกใส่เจอรัลดีนก็เถอะ ฉันยังรู้ได้ว่าคุณรักพี่สาวมาก อีกประการหนึ่ง เจอรัลดีนก็ยังเป็นคนดีมาก ตอนที่เรายังเด็กน่ะเราสนิทกันมาก แล้วก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน คือต่างคนต่างก็อ้วน ต้องนุ่งกางเกงโยงสายรั้งไว้ทั้งคู่ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนั้นฉันก็ติดใจคุณอยู่ด้วย
“เพราะอะไรล่ะ?” ผมถาม
“เพราะคุณเป็นคนพูดจาโผงผางดี ไม่มีอ้อมค้อม ใช้ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ธรรมดาไม่เหมือนเพื่อนๆ พี่ชายฉันหรอกพวกนั้นเขานุ่มนวลไปหมด ฉันยังเคยฝันลมๆ แล้งๆ อยากจะให้คุณเอากระไดมาพาดตรงหน้าต่างห้องนอน แล้วก็ผิวปากเรียกฉันให้ตามออกมาจากในบ้านที่พระเจ้าตัดสินใจผิดให้เป็นที่อยู่อาศัยของฉันด้วยซ้ำ ให้เราได้มาอยู่ด้วยกันในบ้านตุ๊กตาขนมขิงเคลือบน้ำตาลไว้ เพื่อว่าเราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตอนนี้คุณอยู่ในบ้านตุ๊กตาขนมขิงอย่างที่ว่าหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็ไม่เชิงนะ”
แซมมี่หัวเราะจับมือผมไปกุมไว้ พาเดินไปยังร้านหาบเร่ กางด้วยร่มสีน้ำเงิน สั่งฮอทดอก กับช็อคโคแล๊ตร้อน
“ก็เราเพิ่งกินอะไรกันมาหยกๆ” ผมว่า
“ฉันมันก็ตะกละอย่างนี้ละ” เธอบอก “ไม่ต้องห่างน่าฉันจ่ายเอง”
ผมซื้อฮ้อทดอก 2 ชั้น ช็อคโคแล๊ต 2 ถ้วย เดินถือไปนั่งกินบนม้ายาวในสวนสสัตว์ ขณะที่กินๆ กันอยู่ แซมมี่ก็เกิดอยากดูลิงกอริลล่าขึ้นมา
“คุณรู้ไหมว่าแม่ลิงเป็นสัวต์ที่รักและหวงแหนลูกของมันมากกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก?”
“คนรู้น้อยอย่างผมจะไปรู้อะไรพรรณนั้นด้วยเล่า?”
“คุณจะรู้แน่เลยถ้าคุณเป็นลูกลิง”
พอกินกันเสร็จสรรพ ผมก็พาเจ้าหล่อนไปดูกอริลล่าให้สมกันที่ตั้งใจไว้ นังตัวเมียตัวหนึ่งมีชื่อว่า ซูซี่ จ้องเราเป๋งเป็นครู่ แล้วก็เลิกสนใจ หันกลับไปแกะหมัดให้ลูกต่อ ลูกลิงกอริลล่าเกาะเกี่ยวตัวเองอยู่กับแขนแม่อย่างเหนียวแน่นซุกหน้าลงหว่างอก ซูซี่ก้มลงจูบลูกมันอย่างรักใคร ตบหลังจบไหล่เบาๆ พอเบื่อๆ เข้าเจ้าตัวลูกก็ถลาไปห้อยโหนอยู่กับบาร์สักพักมองดูผู้คนที่มาดูมัน ซูซี่น่ะแทบไม่วางสายตาจากลูกเลย พอลูกวิ่งกลับมาหา มันก็แกล้งทำเป็นผลักใสเสียแต่ดูเหมือนเจ้าตัวลูกจะรู้ทันในเกมส์นี้ ผมสาบานได้เลยว่าเห็นมันยิ้ม
ลูกลิงตัวนี้เป็นลูกลิงแรกเกิด สังเกตจากนมของนังตัวแม่ที่ใหญ่โตมโหฬาร ห้อยโทงเทงลงมาจนเกือบจะถึงหน้าท้อง ถ้าลูกมันเกิดเบื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะซุกตัวไปหานม ถ้ามันขบนมแรงเกินไปซูซี่ก็จะตบเป็นการตักเตือน เจ้าตัวลูกก็จะเงยหน้าขึ้นมองแม่ด้วยดวงตาแจ่มแจ๋ว แววแห่งตวามรักอันบริสุทธิ์ฉายชัดอยู่ในดวงตาที่ประสานกันอยู่แล้วเจ้าตัวลูกก็จะก้มลงดูดนมต่อ ซูซี่จะโอบแขนรัดรอบตัวลูกมันไว้ ก้มลงมองด้วยความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง
เราดูซูซี่เล่นกับลูกเกือบชั่วโมง แซมมี่นั้นเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด เธอชื่นชมกับภาพที่ปรากฏอยู่ต่อกน้าไม่วางตา
“น่ารักดีไหมล่ะ?” เจ้าหล่อเอ่ยขึ้น “คุณว่าน่ามากไหม?”
หลังจากนั้น เราก็จับรถประจำทางกลับไปยังวอชิงตัน สแควร์
“ผมคิดว่าคุณคงไม่รังเกียจนะที่ต้องขึ้นรถประจำทางอย่างนี้”
“โอ...ไม่หรอก โทมัส”
“แอ๊ะ...คุณไปเอาชื่อโทมัสมาจากไหนน่ะ?” ผมถามอย่างงง
“ก็ชื่อโดบี้น่ะมันเตือนใจให้ฉันนึกถึง สกิ๊พหรือร๊อคกี้อะไรทำนองนั้นนี่”
“ก็แล้วชื่อสกิ๊พมันเป็นไงไปเล่า?”
“ก็ไม่เป็นไรหรอก” แซมมี่ตอบ “ถ้าคุณจะชอบผู้ชายสูงสง่าหน้าตาคมสันที่เป็นเหยื่อของสังคม”
“อ้าว แล้วคุณไม่ชอบผู้ชายลักษณะอย่างว่านั้นหรอกหรือไง?” ผมไม่เข้าใจจริงๆ
“ไม่เลย” เจ้าหล่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อีกประการหนึ่ง ยอร์จ คาร์รูทเธอร์ ลาร์คสเปอร์ จูเนียร์น่ะออกจะเป็นคนหยุมหยิมเกินไป เขามันคนประเภทที่ต้องแน่ใจเสียก่อนว่าจมูดตัวเองสะอาดพอแล้วถึงจะไปหาหมอฟัน”
เราไปหยุดยืนดูบาสเกตบอลล์กันในสนามบริเวณนั้น ไปดูงานศิลป์ข้างถนน แล้วก็ออกมาหาเบียร์ดื่มต่อคุยกันสองคน
“ผมอยากเขียนเรื่องสั้นจริงๆ นะ” ผมเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “แล้วก็เขียนหนังสือ เขียนบทละคร บางทีอาจจะเขียนบทหนังด้วย ถ้าหนังสือที่ผมเขียนได้รับบการตีพิมพ์หรือละครที่ผมเขียนมีคนเอาไปแสดง ผมคงดีใจแทบเป็นบ้าเลยจริงๆ”
“แล้วตอนนี้คุณเขียนอะไรไว้บ้างล่ะ?” เธอถาม
“ก็เรื่องสั้น 2-3 เรื่อง ยังไม่มีงานชิ้นสำคัญเลย”
“แล้วทำไมคุณไม่ลองทำไอ้ชั้นสำคัญเช่นที่ว่าดูล่ะ?”
“ก็มันยังไม่ได้เขียนจริงๆ จัง น่ะสิ” ผมตอบ “บางทีอาจจะเป็นเพราะยังไม่มีอารมณ์ก็ได้ ทีจริงผมวาดเค้าโครงเรื่องนิยายที่จะเขียนไว้ในสมองตั้งแยะนะ แต่ก็เก็บมันไว้ยังงั้นแหละ”
“คุณควรจะตัดมันออกมาได้แล้ว” แซมมี่แนะนำ
“ตัดอะไรออก?” ผมถามทันที
“ก็ตัดไอ้การที่เก็บสะสมไว้ในสมองนั่นน่ะสิ คนเราน่ะมันไม่ใช่จะแก่อยู่แค่นี้นี่ มันต้องแก่ต่อไปอีก”
“พูดตลกนี่” ผมว่า
เราเดินเข้าไปในร้านหนังสือ มาร์โบโร่ บุ๊คสโตร์ด้วยกัน พอเดินกลับออกมา แซมมี่ก็ส่งถุงให้ผมใบหนึ่ง เจ้าหล่อนซื้อหนังสือชื่อ ไรท์ติ้ง ฟอร์ ฟัน แอนด์ โปรฟิท” ให้ผม
เราเดินข้ามจัตุรัสวอชิงตัร สแควร์ต่อไป
“ฉันไม่ค่อยมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนหรอก” เจ้าหล่อนเอ่ยขึ้น “ทำเป็นแค่ไข่ทอดกับสเต๊กเท่านั้น เย็บปักถักร้อยก็ไม่ประสา ไม่เคยจับเข็มเย็บผ้าด้วยซ้ำ”
“แล้วไง...”
“ฉันก็ดีใจที่ได้บอกให้คุณรู้เสียตั้งแต่ตอนนี้น่ะสิ ก่อนที่คุณจะเกิดโมโหขึ้นมา”
“เอ๊ะ...ทำไมผมต้องโมโหด้วย?”
“ก็เพราะว่า ตอนนี้ไอ้กระดุม 2 เม็ดบนเสื้อสปอร์ตที่คุณสวมอยู่มันกำลังจะหลุดอยู่แล้วน่ะสิ แล้วฉันก็คงจะเขลาไม่น้อยหลอก ถ้าจะยอมให้เข็มทิ่มมือจนเลือดไหลไม่หยุดเพียงเพราะจะเย็บกระดุมนั้นให้คุณ”
ผมก็เลยถามว่า แซมมี่เคยได้ยินคำว่า “ปลอกนิ้ว” บ้างหรือเปล่า
“อะไรนะ?” เธอถามย้อนทันที
“หมายความว่า คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณไม่เคย...”
“อ๋อ...ฉันรู้หรอกว่าปลอกนิ้วน่ะมันเป็นอะไร ผู้หญิงคนไหนก็ต้องรู้จักมันตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว ก็เราใช้ปลอกนี่สวมมือไว้ตอนที่จะยกหม้อร้อนๆ ลงจากเตาไงล่ะ”
ผมละแน่ใจเลยว่าแซมมี่ต้องพูดเล่น
จากนั้นเราก็เดินเข้าไปเดินในร้านขายของชำ ผมซื้อตำราอาหารกับปลอกสวมนิ้วให้เจ้าหล่อนหนึ่งอัน
“เอาละ คุณลงมือฝึกหัดทำอาหารกับเย็บผ้าได้แล้ว” ผมบอก “และผมก็ลงมือเขียนนิยายเสียที ตกลงไหม?”
“ตกลงสิ”