บทที่ 4
หลังจากที่พ่อออกจากโรงพยาบาลได้ 7 เดือน พ่อก็มาเยี่ยมผม มาอยู่ด้วยอาทิตย์หนึ่ง ซึ่มผมรู้สึกเหมือนเป็นเวลาตั้งปี จะรอจนพ่อกลับก็รอไม่ไหว มันไม่ใช่เพราะว่าพ่อมาสร้างความยุ่งยากอะไรให้ผมหรอก แต่เป็นเพราะท่าทางท่านโศกเศร้ามากเกินไปต่างหาก วันทั้งวัน คืนทั้งคืน ได้แต่นั่งจมอยู่ในเก้าอี้ตัวเดียวที่ผมมี เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะออกไปหาอาหารรับประทานกันข้างนอก นานๆ ครั้ง ผมถึงจะซื้อหาอะไรอร่อยๆ มาจากร้านข้างนอก เอากลับมารับประทานที่ห้องพัก บางครั้งพ่อก็ออกไปข้างนอกกับผม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินพ่อพยายามจะบอกอะไรกับพนักงานประจำเคาท์เตอร์ พ่อพูดไม่ชัดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจด้วย
สิ่งที่พ่อผมพยายามจะบอกกับทุกคนก็คือ
“ผมเป็นหมอรักษาโรคเท้า...ผมเป็นหมอรักษาโรคเท้านะ” แต่พ่อก็เป็นเพียงคนพิการที่ต้องใช้ไม้เท้าพยุงกายคนหนึ่งเท่านั้น แขนข้างขวาตกห้อยอยู่ข้างตัว ใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง น้ำลายไหลยืดอยู่ตรงมุมปาก
“ผมเป็นหมอรักษาโรคเท้านะ”
ผมสงสารพ่อจนร้องไห้ออกมา พาพ่อออกมาเสียจากร้านขายของแห่งนั้น แต่ผมไม่ได้ให้พ่อเห็นน้ำตาผมหรอก
“แกเป็นไงบ้างล่ะ?” เสียงพี่สาวผมถามมาทางโทรศัพท์
“ก็สบายดีนี่”
“ดี...งั้นแกช่วยทำอะไรให้ฉันหน่อยได้ไหมล่ะ?”
“ก็อาจจะได้ ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ?”
“พาเพื่อนฉันไปงานปาร์ตี้หน่อยสิ ฉันจะออกเงินค่ารถไฟไปกลับให้แกเอง”
“เพื่อนคนไหน?” ผมชักสนใจขึ้นมา
“เบอร์นีช แชพแมน”
“ผมว่า...ผมไม่รู้จักเขานะ”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ แต่เขาก็น่ารักดีออก เป็นคนร่าเริงแจ่มใสดีด้วย ฉันเคยหลอกแกหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็ถ้าเขาดีออกขนาดนั้นแล้วทำไมถึงหาคู่ออกเดทไม่ได้ล่ะ? ไม่เหมือนมนุษย์หรือไง?”
“เลิกพูดบ้าๆ ยังงี้เสียทีได้ไหม” พี่สาวผมว่า “เขามีคู่รักย่ะ แต่ตอนนี้ลาโรงเรียนไม่ได้ แล้วนี่มันก็ก็ปาร์ตี้ใหญ่ประจำปีเชียวละ รับรองว่าแกไปแล้วต้องสนุกแน่ อย่าให้มันมากเรื่องนักเลยได้โปรดเถอะ”
“งั้นก็โอเค”
“แจ๋ว แกนี่เป็นน้องที่ดีจริงๆ วะ” พี่สาวผมยอ “เท่านั้นนะโดบี้”
“เฮ้...เดี๋ยวสิ” ผมกรอกเสียงลงไปในสายเรียกไว้
“อะไรอีกล่ะ?” พี่สาวผมถอนหายใจหนักหน่อวง
“ว่าแต่ใครเป็นคนจัดงานปาร์ตี้ที่ยิ่งใหญ่ประจำปีที่เบอร์นีซหรือชื่ออะไรที่เป็นเพื่อนพี่คนนี้เขาไม่อยากพลาดล่ะ?”
“แซมมี่ วิลเคอร์สันไง”
คฤหาสน์วิลเคอร์สันน่าประทับใจเหลือหลาย ตัวคฤหาสน์ก่อด้วยอิฐสีแดง กว้างขวางเกือบจะสักเอเคอร์เห็นจะได้ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหัวมุมถนนสายใหญ่ชานกรุง มีถนนสายเล็กๆ รายล้อมอยู่รอบอาณาเขต
เส้นทางที่จะเข้าไปถึงประตูบ้านด้านหลังเป็นถนนรูปครึ่งวงกลม รถยนต์มากมายจอดเรียงรายไปตามแนวโค้งของถนน มีทั้งคาดิแลค, ลินคอนส,โรลส-รอยส์ โคเวทท์ เมอซีเดส เบนซ์ แล้วก็ยังปอร์เช่ รถสปอร์ตคันเล็กๆ ที่เป็นของเล่นของมหาเศรษฐีรายใหญ่ๆ อีกด้วย
พี่สาวให้ผมยืมรถมาขับ ซึ่งผมต้องจอดรถคันนั้นห่างจากคฤหาสน์ตั้ง 4 ช่วงตึก ซึ่งมันก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะ เบอร์นีซ แชพแมนไม่รังเกียจที่จะเดิน
“เดินสิดีได้ออกกำลังกาย” เธอว่า
เบอร์นีซ แชพแมนก็หน้าเหมือนเบอร์นีซ แชพแมนนั่นแหละ ผมคิดว่าพี่สาวผมพูดปดนะ เรื่องที่ว่าคู่รักของเธอลาโรงเรียนไม่ได้น่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะเธอก็คงจะต้องใช้ความพยายามในการหาคู่รักอยู่มากสักหน่อย ท่าทางของเธอออกจะอึดอัดตอนที่ผมพาเดินเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์วิลเคอร์สัน
“คุณเป็นเพื่อนกับเทดหรือ?” เธอถาม
“ไม่ใช่หรอก ผมเป็นเพื่อนกับซาแมนต้า”
“โอ...”
“แล้วคุณล่ะ เป็นเพื่อนกับซาแมนต้าเหมือนกันใช่ไหม?” ผมถาม
“ใช่”
“เพื่อนรักกันหรือเปล่า?”
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” เบอร์นีซ แชพแมนถอนหายใจ “ก็เพื่อนชนิดผลุบๆ โผล่ๆ มากกว่า แล้วคุณล่ะสนิทกับซาแมนต้ามากไหม?”
“ก็ประเภทผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนกัน”
“คุณชอบพวกวิลเคอร์สันไหมนี่?” เบอร์นีซ แชพแมนถามต่อ
“ไม่หรอก คุณล่ะ?”
“ไม่เลย” เธอตอบปนหัวเราะ
แล้วเบอร์นีซ แชพแมนก็สบตาผมอย่างสมานไมตรีขณะที่เราเดินใกล้ประตูทางเข้าบ้านเข้าไปทุกทีนั้น ผมคิดว่าเราต่างคนต่างสูดลมหายใจลึก เรียกความกล้าเข้าไว้พร้อมๆ กัน
มันเป็นปาร์ตี้ที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด รู้สึกว่ามันจัดขึ้นเฉพาะพวกเศรษฐีในคอนเนคติกัตเท่านั้น และไอ้การที่ผมเป็นแค่ลูกชายของหมอรักษาโรคเท้าที่เป็นอัมพาตน่ะ มันหนาวยะเยือกอยู่นา เมื่อต้องพบปะบรรดาสาวสังคมที่พยายามปีนกระไดเข้ามาในงานนี้
“พ่อคุณทำอะไรน่ะ?” เบอร์นีซ แชพเมนเอ่ยถามขึ้นอีก
“พ่อผมเป็นอาร์ชดยุค” ผมโอ่ออกไป
“ไม่ใช่อาร์ชดยุคสักหน่อย” เจอรัลดีนฉุดแขนแฮริสันสามีของเธอเดินเข้ามารวมกลุ่มกับเราสอดขึ้น “เป็นแค่หมอรักษาโรคเท้าเท่านั้นละ แต่ก็ฝีมือเฉียบขาดกว่าหมอทุกคนในโลกก็แล้วกัน ว่าแต่เธอสองคนเถอะชอบงานปาร์ตี้นี่ไหมล่ะ?”
“สนุกดี” ผมชิงตอบ
ประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้ที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำชั้นบน หลังจากนั้น ก็แอบสอดส่ายสายตามองไปเรื่อยๆ จนเจอห้องนอนของแซมมี่เข้า มันเป็นห้องที่จัดแบบผู้หญิงโดยแท้ แต่ออกจะโล่งๆ อยู่ ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตา นอกจากกีต้าร์ตัวหนึ่งกับรูปภาพใบเล็กๆ ใส่กรอบตั้งประดับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผู้ชายในรูปหน้าอ้วนๆ สงสัยว่าคงจะเป็นรูปคู่รัก ผมเดินไปหยิบกีต้าร์ทรุดลงนั่งตรงขอบเตียงอย่างถือวิสาสะ แล้วก็เล่นเพลงให้ตัวเองฟัง
“คุณเล่นกีต้าร์เป็นด้วยหรือนี่” ซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สันร้องขึ้น เจ้าหล่อนเข้ามายืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ก็เล่นได้ไม่ดีนักหรอก” ผมออกตัว
“แต่ฉันว่าคุณเล่นดีนะ”
“จริงน่ะ?” ผมไม่อยากจะเชื่อหูเลย
“ก็จริงน่ะสิ” เจ้าหล่อนว่า เดินมานั่งข้างๆผม ผมดีดกีต้าร์ไปเรื่อยๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากสายเลย
“เป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็สบายดี แล้วคุณล่ะ?”
“ก็ดี”
“พ่อคุณเป็นไงบ้าง?” เธอถาม “ฉันได้ยินว่าไม่สบายมากใช่ไหม?”
“ใช่ ตอนนี้เป็นอัมพาต พูดจาไม่ค่อยชัด ที่น่าเสียใจ ก็ตรงที่พ่อเคยเป็นคนแข็งแรงมาตลอด”
“อาการมันก็คงจะหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็อาจจะถึงตายได้ อย่างน้อยเวลานี้เราก็ยังกอดยังจูบได้” ผมกรีดนิ้วเล่นไปตามสาย
แซมมี่ประสานมืออยู่ตรงหัวเข่า
“ชีวิตรักของคุณเป็นไงบ้างล่ะ?” เธอถาม
“คุณถามอะไรนะ?”
“ถามถึงชีวิตรักของคุณน่ะสิ ไม่รังเกียจคำถามไม่ใช่หรือ?”
“ไม่หรอก เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณจะมาสนใจว่าชีวิตรักของผมมันจะเป็นยังไงเท่านั้น”
“พุทโธ่เอ๊ย ไม่ใช่ว่าฉันอยากรู้จนนอนไม่หลับหนอกน่า เพียงแต่สงสัยเท่านั้นเห็นว่าคุณน่ะมันแก่เกินแกงแล้วควรจะแต่งงานได้แล้วเท่านั้นละ”
“เอ...ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่เกินแกงอะไรอย่างที่คุณว่าเลยนะ”
“ก็คุณอายุตั้ง 26-27 แล้วใช่ไหมล่ะ”
“25”
“โอเค 25 ก็ 25 อีก 5 ปี คุณก็ 30 แล้ว จำไว้ด้วยว่าเวลานี้ฉันยังวัยสะรุ่นอยู่นี่”
“ชีวิตรักผมก็ดีนี่” ผมโอ่
“ดีแล้วละ”
“เออ...พูดถึงเรื่องชีวิตรัก คู่หมั้นคุณล่ะเป็นไงบ้าง?” ผมถาม “เห็นคุณเอารูปเขาตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งนั่น รู้สึกว่าจะอ้วนไปสักหน่อยนะ”
“ รูปบนโต๊ะเครื่องแป้งนั่นรูปพี่ชายฉันต่างหาก เขาอ้วนจริงอย่างที่คุณว่านั่นแหละ คู่หมั้นฉันเขาสูงโปร่งแล้วก็หล่อมาก คุณรู้หรือเปล่า ตอนที่ฉันชอบคุณน่ะ ฉันอายุแค่ 14 เท่านั้น? แล้วคุณรู้ไหมว่าตอนที่คุณจับฉันโยนออกจากห้องน่ะ หัวใจฉันแทบสลายเชียวนะ?”
“ผมไม่รู้หรอก” ผมดีดีกีต้าร์เล่นไปเรื่อยๆ “ก็ในเมื่อคุณบอกว่าคุณชอบผมแล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมแต่งงานกับผมตอนที่ผมขอคุณเมื่อปีก่อนล่ะ?”
“ก็เพราะว่าฉันอายุ 15 ฉันก็เลิกชอบคุณแล้วนะสิ” เธอตอบ “ยิ่งกว่านั้นฉันก็คิดว่ามันออกจะเป็นการไปสักหน่อย ถ้าจะต้องทำตามความต้องการของคุณ ว่าแต่ว่า คุณเข้ามาในห้องของฉันได้ยังไงน?”
ผมยังไม่ทันจะตอบ ก็ให้บังเอิญมีใครอีกคนหนึ่งพูดสอดขึ้นมาเสียก่อน
“อ้อ...อยู่นี่เอง ผมตามหาเสียแทบแย่แน่ะ” ผู้ชายคนนั้นรูปร่างสูงโปรง หน้าตาหล่อเหลา แถมสวมชุดทักซิโด้เสียด้วย
“ก็เจอแล้วไง” แซมมี่พูดอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักในตู้เสื้อผ้า ดึงขวดว้อดก้าซึ่งเหลืออยู่อีกครึ่งออกมา รินใส่ลงในแก้ว
“ปาร์ตี้กำลังจะเลิกแล้ว” ผู้ชายในชุดราตรีคนนั้นพูดต่อ “เรากำลังจะออกไปต่อที่คลับกัน” รอคุณอยู่คนเดียวเท่านั้น พี่ชายคุณเขาโมโหอยู่แน่ะ”
“เดี๋ยวเขาก็หายเองละน่า” แซมมี่ตอบ หันมามองหน้าผม “โดบี้ ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักกับยอร์จ คาร์รูทเธอร์ ลาร์คสเปอร์ จูเนียร์นะ เพื่อนๆ เรียกเขาว่าสกิ๊พ...สกิ๊พคนนี้เขาชื่อ โดบี้ คริสเตียนไง เป็นหนุ่มโสดวัยดึกที่ฉันเคยชอบเขาตอนอายุ 14 แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเลิกชอบเขาตั้งแต่ตอนอายุ 15 แล้ว”
ซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สัน กับ ยอร์จ “สกิ๊พ” ลาร์คสเปอร์ จูเนียร์ ทิ้งให้ผมนั่งอยู่กับกีต้าร์ในห้องของแซมมี่หลังจากนั้น
ผมลงมาตามหาเบอร์นีซ แชพแมน พาเธอไปส่งบ้าน เสร็จสรรพก็จัดการเอารถไปส่งคืนพี่สาวเรียบร้อย แล้วก็เดินไปสถานีรถไฟ จับรถส่งนมกลับไปนิวยอร์ค