บทที่ 3
ผมอธิบายถึงความทะเยอทะยานเปิดเผยแผนการที่วางไว้เพื่ออนาคตจนหมดสิ้น พอคิดเรื่องไหนขึ้นมาได้ผมก็ว่าของผมไปเรื่อยๆ ที่มันน่าเป็นสุขใจยิ่งนักก็อีตรงมารแซมมี่ตั้งอกตั้งใจฟังผมไปเสียทุกคำ
“ฟังตื่นเต้นดีนะ” เจ้าหล่อนเอ่ยขึ้นเมื่อผมพูดจบ “ฉันว่าคนอย่างคุณนี่ต้องประสพความสำเร็จแน่เลย”
มันทำให้ผมรู้สึกสะดวกใจที่จะคุยต่อขึ้นอีกตั้งหลายเท่า ผู้หญิงคนนี้น่าคบหาด้วยจริงๆ เจ้าหล่อนทำให้ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังพร่ำสั่งอยู่กับเลขานุการสักคนหนึ่งที่ผมออกเดทด้วยในนิวยอร์ค แทนที่จะเป็นการคุยกันฉันเพื่อนกับซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สัน ลูกสาวของตระกูลที่เป็นเจ้าของบริษัท อเมริกัน สตีล คอร์ปอเรชั่น ก็เห็นจะจริงอย่างที่แม่ผมพูดไว้นั่นแหละว่า การคบกับหญิงรวยๆ มันก็ง่ายพอๆ กับคบคนจนๆ นั่งแหละ
สักตี 4 เห็นจะได้ที่แซมมี่บิดขี้เกียจพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“อันที่จริงเรื่องที่คุณคุยให้ฉันฟังมันก็น่าสนใจดีอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้วละเห็นจะต้องเข้านอนเสียที” พูดจบเจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากครัวเฉยๆ ยังงั้นแหละ
ผมยังคงนั่งอยู่ในครัวต่อ ทบทวน เรื่องที่เราคุยกันรู้สึกประทับใจในตัวซาแมนต้ามาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมไม่เหมือนกับเพื่อนผู้ชายคนไหนๆ ที่เจ้าหล่อนเคยคบหามาเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าแซมมี่เบื่อหน่ายกับผู้คนในวงสังคมหรือพวกหนุ่มๆ ที่เคยออกเดทด้วยกัน รับรองว่าผมไม่เหมือนใครแน่ เพราะผมเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสามารถวาดภาพในอนาคตด้วยสีสันสดใส สร้างความตื่นใจให้เจ้าหล่อนได้ไม่น้อย และแซมมี่เองก็เป็นสาวสวยผู้ร่ำรวยและเบื่อหน่ายสังคม
ผมจ้องมองถ้วยกาแฟเปล่าๆ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องรีบตีเหล็กตอนที่มันยังร้อนอยู่
“ครับผม...” ผมพูดกับตู้เย็น “คนอย่างผมน่ะไม่เคยรวยหรอก แต่เคยจนดักดานมาแล้ว เพราะฉะนั้นการเป็นคนรวยมั่นย่อมต้องดีกว่าอย่างแน่นอน”
จากนั้น ผมก็ย่องขึ้นไปชั้นบน ไปเคาะเบาๆ ตรงหน้าประตูห้องนอนของแซมมี่
“แซมมี่...” ผมกระซิบเรียก
ไม่มีเสียงตอบ
“แซมมี่” ผมไต่ระดับเสียงให้ดังขึ้น
“หือ...” เจ้าหล่อนขานรับ
“ผมขอเข้าไปหน่อยได้ไหม ผมมีอะไรบางอย่างจะบอกคุณนะ”
“อึ...ฮื๊อ”
ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง ซาแมนต้าเดินออกมาจากห้องน้ำ แปรงฟันไปพลาง ฟองยาสีฟันเต็มปากเลย
“แซมมี่” ผมเรียกชื่อเธออีก
“หือ...?”
“ผมมีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกคุณจริงๆ นะ”
“โอเค” เจ้าหล่อนก็ยังแปรงฟันอยู่นั่นแล้ว
“แซมมี่”
“หือ...?”
“แซมมี่ ผมจะแต่งงานกับคุณนะ”
เจ้าหล่อนเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แปรงฟันไปเรื่อยๆ ข้างผมก็ยืนเป็นไอ้ตัวตุ่นรออยู่ข้างนอก
ครู่ต่อมาเจ้าหล่อนก็เดินเช็ดปากออกมาจากห้องน้ำ
“ฉันมีคู่รักแล้ว” แซมมี่ทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง “ตอนนี้เขาเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ในบอสตัน เพิ่งกลับไปที่นั่นเพื่อเตรียมตัวสอบตอนวันสุดสัปดาห์นี่เอง พ่อแม่ฉันก็ไปซาราโตก้า สปริงส์ พี่ชายฉันเขาก็ไป สก็อตสเดล...อริโซน่า
โน่นแน่ ไปพักผ่อนวันสุดสัปดาห์อีกเหมือนกัน ฉันถึงต้องมาหาเจอรัลดีนเพราะไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว มันก็ดีอยู่หรอกที่คุณอยากจะแต่งงานกับฉันน่ะ แต่ฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณนี่ แล้วถ้าความจำของคุณดีอยู่ ก็ควรจะนึกออกว่าไม่ว่าประตูห้องมันจะเปิดหรือปิดก็หมายถึงห้ามเข้าทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นกรุณาเอาก้นปอดๆ ของคุณออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ฉันจะได้หลับนอนเสียที”
ผมเดินกลับลงไปในครัวอย่างเงื่องหงอย ชงกาแฟให้ตัวเองอีกถ้วยหนึ่ง นั่งดื่มรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่ไม่ว่าจะรอยังไงพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นเสียที...วันนั้นฝนตกครับ
อีก 2 อาทิตย์ต่อมาพ่อผมเกือบตายแน่ะ
ก็อย่างที่เล่าให้ฟังแล้วไงล่ะครับ ว่าพ่อผมเป็นอัมพรึกแล้วอาการมันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอัมพาต ซีกขวาของร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ถ้าอีกสัก 3 ปีข้างหน้า ก็คงต้องถึงกับป้อนข้าวป้อนน้ำ แต่งตัว พาเข้าห้องน้ำแน่ และเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยของพ่อนี่เองที่ทำให้เราไม่มีเงินเหลือเลย แม้แต่เพนนีเดียว
“ทำไมถึงเป็นยังงี้ไปได้ล่ะแม่?” ผมถาม
“ก็เพราะพ่อแกเขาไม่เคยเชื่อในเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วก็ไม่เคยเชื่อเรื่องประกันชีวิตน่ะสิ”
“ก็แล้วทำไมแม่ถึงไม่พูดให้พ่อเชื่อล่ะ?”
“แม่ก็เพิ่งจะรู้เมื่ออาทิตย์นี้เองว่าพ่อไม่เคยบอก”
“แล้วเวลานี้แม่มีเงินอยู่ในธนาคารเท่าไหร่ล่ะ?”
“เหลืออีกนิดหน่อยเท่านั้น เวลานี้พ่อมีหนี้มากกว่าเงินแล้ว”
ดังนั้น ตอนที่พ่อเข้าโรงพยาลบาล ผมก็จัดการปิดสำนักงานแพทย์ของพ่อเสียเลย ขายเครื่องไม้เครื่องมือให้กับใครก็ไม่รู้ที่โผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะพอดี แล้วผมก็เอาเงินนั่นส่งให้แม่จะได้ใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลพ่อ
ถึงยังไงมันก็ยังไม่พออยู่ดี
เรายังจำเป็นต้องขายเครื่องเรือนแถวควีนส์ไปด้วย
แล้วแม่ก็พาพ่อโยกย้ายเข้าไปอยู่กับตายาย ในบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่ตรงหัวมุมบรอดเวย์ตัดกับถนนสาย 83, ทุกเดือนพี่สาวผมจะต้องรับหน้าที่ส่งเสียทางด้านการเงินให้พ่อแม่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนผมนั้นไม่มีปัญญาหรอก
เงินอีกแล้ว...
“มันเจ็บตูดจริงๆ เวลาไม่มีเงินนี่” ขี้เมาคนหนึ่งพูดกับผมตอนที่อยู่ในรถไฟใต้ดินด้วยกัน “ไอ้คนเราน่ะนะพ่อหนุ่ม ไม่จำเป็นต้องรวยก็มีความสุขได้ แต่เงินน่ะมันช่วยให้สุขได้มากกว่า” เข้าตบหน้าขาผมแรงๆ แล้วก็ถามว่าอยากอ่าน นิวยอร์ค ไทม์ บ้างไหม
ในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเองที่ผมได้เห็นรูปของซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สัน ที่กำลังยืนเคียงข้างพ่อแม่ในหน้ารายการแข่งม้า พวงมาลัย กุหลาบสีแดงคล้องอยู่บนคอม้าตัวที่เป็นสมบัติของครอบครัวเธอด้วย
แซมมี่ดูสวยไปหมด
“ไอ้ห้องเช่าแกนี่มันทุเรศสิ้นดี” พี่สาวผมวิจารณ์ขึ้น
“รู้แล้วน่า”
“รู้แล้วก็ทำอะไรเข้าสักอย่างสิ”
“ก็จะให้ทำอะไรล่ะ?” ผมถามเซ่อๆ
“อะไรก็ได้” เจอรัลดีนกระแทกเสียง
แล้วพี่สาวผมก็ลงมือล้างจานให้ ขึงมู่ลี่ไม้ไผ่นั่นเสียใหม่ ก่อนที่เราจะออกไปดาวนี่ด้วย ทุกครั้งที่พี่สาวผมมานิวยอร์ค เราจะต้องไปที่ดาวนี่ หาเบียร์ดื่มแล้วก็คุยกันเป็นชั่วโมงๆ
“ฉันบอกเอช. ที. แล้วล่ะว่าจะมานิวยอร์ค หาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ไปใส่เสียหน่อย เขาภูมิใจในตัวฉันมากนะ”
“ภูมิใจเรื่องอะไรกันล่ะ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ
“อ้าว...ก็ภูมิใจที่ฉันกลับบ้านโดยไม่ซื้ออะไรติดมือไปเลยน่ะซิ เขารู้ว่าฉันมันคนมัธยัตถ์ นับถือเงินมาก เขาไม่รู้หรอกที่ฉันแอบมากินเบียร์กับน้องชายปัญญานิ่มอย่างแกน่ะ”
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยให้ตายสิ” ผมว่า
“ไม่เชื่อเรื่องอะไร?” เจอรัลดีนถามงงๆ
“ไม่เชื่อว่าผมจะชอบพี่ได้ขนาดนี้น่ะสิ”
“ทุเรศ แกควรจะรู้นะว่าฉันน่ะเป็นสิ่งประเสริฐในชีวิตของแกเชียวละ”
“นี่...เจอรัลดีน พี่รู้อะไรอย่างหนึ่งไหม? พี่นี่ด่าเป็นไฟแลบเลยนะ”
“ก็เพราะแกน่ะสิ” พี่สาวผมกล่าวหา “ว่าแต่ชีวิตรักของแกเถอะเป็นไงบ้างล่ะ?”
“น่าเหม็นเบื่อที่สุด” ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
อาทิตย์นั้น ผมออกเดทกับสาวผมบลอนด์ทึ่มๆ คนหนึ่งชื่อคอนนี่ ซึ่งก็เป็นพนักงานของดับเบิ้ลเดย์ บุ๊คสโตร์ที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง ยิ่งคุยกันนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งสงสัยว่าใครเป็นคนแนะนำยายนี่เข้ามาทำงาน
ก่อนหน้าคอนนี่ก็มีคนหนึ่งชื่อ เมวิส หน้าตาช้ำๆ เหมือนลูกพีชงอมๆ เธอเชื่อของเธอในเรื่องเสรีรักเอาจริงๆ
และก่อนหน้าเมวิสก็ยังมีอีก คนนี้ชอบพูดอะไรซ้ำๆ ซากๆ
“บอกฉันสิว่าคุณชอบอะไร...บอกฉันสิว่าคุณชอบอะไร” และก่อนหน้ายายคนนี้ก็ยังมีอีกนะครับ คนนี้บอกผมล่วงหน้าเลยว่าเขาชอบอะไร ก่อนหน้าคนนี้เป็นสาวสวยที่บอกผมว่าเธอจะต้องประเมินค่าตัวของคู่รักทุกคน, ก่อนหน้าเธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบพูดว่า
“คุณพระช่วย คืนนี้ฉันเป็นอะไรไปแล้วนี่?” ก่อนหน้าเธอก็เป็นอีหนูที่ชอบถามว่า
“เอ๊ะ คืนนี้คุณเป็นอะไรไปน่ะ?” ก่อนหน้านี้ก็ยังมีใครต่อใคร และใครต่อใครมาเรื่อยๆ ...
“พี่รู้ไหมว่าที่ผมทนไม่ได้คืออะไร”
“ก็อะไรล่ะ?”
“ก็การออกเดทน่ะสิ มันเป็นธรรมเนียมที่น่าเหม็นเบื่อที่สุด ผมเกลียดไอ้การที่จะต้องโทรศัพท์ไปนัดผู้หญิงแล้วก็ถูกปฏิเสธหน้าหงายกลับมา พอเกิดจะโชคดีขึ้นมา แม่เจ้าประคุณก็อยู่เสียอีกฟากของตัวเมืองอะไรทำนองนั้น นอกจากผมจะต้องเสียค่ารถแท็กซี่จนหมดตัวแล้วก็ยังต้องมานั่งเหน็ดเหนื่อยกับการหาสรรหาคารมคมคายมาไว้คุยกับเขาอีก ต้องมานั่งพะวงว่าแต่งตัวดีพอหรือยัง ผมเคยนัดผู้หญิงที่พักอยู่ด้วยกันมาทีเดียว 2 คนเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่า เขากลับที่พักกันไม่ได้เมื่อไม่มีอะไรจะทำเขาก็เลยหยิบเรื่องผมขึ้นมาคุยกันบอกตรงๆ ว่าผมเบื่อหน่ายที่สุด มันหวั่นๆ เหมือนตอนที่หัวสิวบนหน้าผากจะแตกไม่มีผิด พี่รู้ไหมว่าเพราะอะไร? เพราะผมคิดว่าการออกเดทนี่ มันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
“แล้วทำไมแกไม่หาหนังสือดีๆ มานอนอ่านอยู่กับบ้านล่ะ?”
“ทำยังงั้นมันก็เหงาตายน่ะสิ”