บทที่ 2
ห้องเช่าของผม มีห้องนั่งเล่นที่รวมเอาครัวไว้ในตัวมีห้องน้ำ ห้องนอน แถมด้วยหนูอ้วนๆ อีกจำนวนหนึ่งกับแมลงสาปอีกฝูงใหญา แต่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากมู่ลี่ไม้ไผ่ผุๆ ที่ปิดบังส่วนที่เป็นครัวไว้ ไอ้มูลี่นี่ชักขึ้นลงไม่ได้นะครับ แขวนต่องแต่งไว้อย่างนั้น มีตะปูเก่าๆ ย้ำไว้ข้างละตัว
ผมค่อยๆ เสาะหาเครื่องเรือนใส่เข้าไปทีละชิ้นสองชิ้นก็เก่าๆ โทรมๆ พอๆ กับห้องนั่นแหละ อาทิ เตียงนอนที่เขาเลหลังมาจากกองทัพบ้าง เก้าอี้ง่อนแง่น 2 ตัว โต๊ะเก่าๆ เต็มไปด้วยรอยขูดขีดที่เพื่อนบ้านเขาโยนทิ้งแล้วอีกตัวหนึ่ง ไฟโคม แล้วก็ นาฬิกาปลุก แม้ว่าห้องเช่านี่มันจะไม่หรูหราสง่างามอะไรนัก แต่มันก็เป็นบ้านส่วนตัวของผมซึ่งผมก็ภูมิใจอยู่
แล้วก็ถึงเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง ซึ่งพอผมลืมตาตื่นขึ้นก็รู้ว่า วันนี้เป็นวันเกิดของผมเอง ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหาพี่สาวบอกให้เขารู้ไว้
“เออ...งั้นก็ย้ายก้นมานี่สิ” แม่คุณบอกมาในสาย “อ้อ...แล้วก็สุขสันต์วันเกิดนะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับแกบ้าง อีกอย่างหนึ่งนะ แกยังไม่ได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการให้รู้จักกับหลานชายคนแรกของแกเลย”
“โอเค” ผมว่า “เดี๋ยวจะไปจับรถไฟเที่ยวแรกไปเลย”
“อ้อ...ฉันต้องบอกให้แกรู้ไว้เสียก่อนนะว่า” พี่สาวผมรีบพูดต่อ “ถ้าแกมาถึงบ้านฉันละก็ แกต้องนอนบนเก้าอี้นะเพราะวันสุดสัปดาห์นี่ฉันมีแขกมาพักอยู่ด้วย”
“ก็โอเคอีกนั่นแหละ ว่าแต่แขกของพี่น่ะเป็นคนที่ผมรู้จักหรือเปล่าล่ะ?”
“อ๋อ...รู้จักสิยะ ก็เพื่อนตัวอ้วนๆ ที่แกไม่ชอบหน้าเขาไงล่ะ”
“ใครนะ?” ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“จะมีใครล่ะ ก็แซมมี่ วิลเคอร์สันน่ะสิ”
ขณะที่สอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟนั้นผมมีความรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่จ้องมองดูเปลวไฟในเตาผิงอดคิดถึงอะไรต่อมิอะไรไม่ได้เลย
เรื่องแรกที่คิดถึงคือเรื่องพ่อ...
คิดทีไรได้กลิ่นเหม็นเท้าขึ้นมาทุกทีสิน่า
ไอ้การเป็นหมอรักษาโรคเท้าน่ะ ใช่ว่าจะหาเงินได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเสียเมื่อไหร่ ใช่ว่าจะมีหูดหรือตาปลามาให้ตัดกันทุกวันเมื่อไรเล่า
แล้วก็เรื่องเงิน...
ถ้ามันไม่มีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็หมายความว่าคุณต้องขังตัวเองอยู่ในห้องเช่าราคาถูกๆ ย่ำอาเจียนของพวกคนจรจัดตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเลยเชียวละ...ถ้าไม่มีเงินคุณก็ต้องไปทำงานเป็นสองเท่าในร้านขายหนังสือ ต้องคอยสรรเสริญเยิรยอผู้จัดการแผนกเข้าไว้ เขาจะได้ไม่รายงาน ถ้าคุณกลับบ้านก่อนเวลาเร็วไปสัก 5 นาที
บางที แม่อาจจะพูดถูกก็ได้...ผมเคยรวยมาแล้ว...เคยจนมาแล้ว แต่การรวยมันย่อมดีกว่าแน่นอน
เสียงพนักงานรถไฟตะโกนขึ้นว่า
“ถึงเวสท์ พอร์ทแล้ว”
ผมถึงได้ก้าวลงจากรถไฟ วิ่งเข้าไปจูบพี่สาว กล่าวคำสวัสดีกับซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สัน ผู้หญิงที่รวยที่สุดในอเมริกาคนนั้น
“คุณสวยจัง แซมมี่” ผมยอเข้าให้ “จริงๆ นะเนี่ย”
“ขอบใจ” เธอว่า “แต่คุณไม่เห็นหล่อเลย”
เออ...เจ้าหล่อนพูดถูกแฮะ ผมมันก็ไม่หล่อจริงๆ เสียด้วยสิ หนวดเคราก็ไม่ได้โกน เสื้อผ้าก็ปอนเต็มที
“ยังกะไปฟัดกับใครมางั้นแหละ” พี่สาวผมช่วยเสริม “นี่พ่อคุณ อาบน้ำ กินอะไรอร่อยๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันยะ?”
“ไม่รู้สิ จำไม่ได้” ผมตอบ
“เอาละ ถึงไงสุขสันต์วันเกิดก็แล้วกัน” พี่สาวผมว่า
“เออ...นั่นสิ สุขสันต์วันเกิดนะ” ซาแมนต้า เจน วิลเคอร์สันต่อ
บ้านของเจอรัลดีนหรูไม่หยอก ใหญ่โต ทาสีขาวสะอาดสะอ้าน มีไม้เลื้อนขึ้นพาดพัน ออกจะเป็นรูปแบบฝรั่งเศสไปหน่อย แถมสองจ้างทางรถวิ่งยังมีแนวไม้ขึ้นรายทางไปจนจรดประตูบ้านด้านหน้าเสียด้วย ภายในตัวบ้านมีเตาผิงเยอะแยะไปหมด เครื่องเรือนก็ทันสมัย เก้าอี้นวมนุ่มน่านั่งสบายก้นชะมัด
แฮริสัน สามีของเจอรัลดีน เข้ามาสวมกอดผมไว้เหมือนหมีตัวใหญ่ ยัดแก้วบลั้ดดี้ แมรี่เข้าให้ในมือ และแล้วสองคนผัวเมียก็บังคับให้ผมเข้าไปดูลูกเป็นสิ่งแรก เจ้าหนูได้ชื่อว่า เจสัน หน้าตาหน้าเกลียดพิกล
“น่ารักไหมล่ะ?” เจอรัลดีนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“น่ารักดีนี่” ผมปดออกไปซึ่งหน้า “มันน่ารักจริงๆ”
“นี่...อย่ามาเรียกลูกฉันว่ามันนะ ต้องเรียกตาหนู” พี่สาวผมเฉาะเข้าให้
ตอนที่ยืนรุมล้อมเตียงเล็กๆ ดูเจ้าหนูตัวแดงๆ นั่นผมลอบมองไปทางแซมมี่แล้วก็จับได้ว่า เจ้าหล่อนกำลังลอบมองดูผมอยู่เหมือนกัน
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ซาแมนต้า? ผมถาม
“18 แล้ว คุณล่ะ?”
“24” ผมตอบ “ตอนที่ผมเห็นคุณครั้งหลังสุดน่ะ คุณเพิ่งจะ...”
“14 แค่นั้นละ”
แซมมี่กับผมเดินลงบันไดมาชั้นล่างด้วยกัน
“คุณจำคำสุดท้ายที่คุณพูดใส่หน้าฉันได้ไหมล่ะ?” เจ้าหล่อนถามขึ้น
“จำไม่ได้หรอก”
“ก็คุณบอกว่าให้ฉันย้ายก้นออกไปจากห้องของคุณไงแล้วก็อย่าได้เข้าไปยุ่งอีก”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ”
“ฉันมีพยานนะ” ซาแมนต้า เจน วิลเตอร์สันพูดเสียงแข็ง
ในตอนบ่ายวันนั้น ผมอาบน้ำอุ่นเสียชุ่มใจ อาบไปก็คิดถึงแซมมี่ไป เวลานี้เจ้าหล่อนไม่ได้นุ่งกางดกงมีสายรั้งอีกแล้ว ร่างระหงขึ้นแยะ แต่ก็ยังท้วมๆ อยู่ดีนั่นแหละ แล้วก็ออกจะใช้เครื่องสำอางมากเกินไปสักหน่อยด้วย
ถึงยังไงก็ตาม บุคลิกของเจ้าหล่อนก็ดีขึ้นเยอะละ แถมยังมีอารมณ์ขันเหลือเฟืออีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก จะว่าไปแล้วแซมมี่เป็นคนยิ้มสวย มีดวงตาคู่สีน้ำตาลแจ่มแจ๋ว เพียงแต่ดูเหมือนออกจะเอกๆ อยู่ ผมจำได้ว่าพี่สาวของผมเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แล้วก็เคยเล่าด้วยว่าเธอมีโรคหอบหืดติดตัว
แล้วทำไมเล่า? ถึงยังไงเจ้าหล่อนก็แต่งตัวได้เริ่ดละผมได้ยินมาว่าพ่อถึงกับซื้อรถเชฟโรเลทให้ขับฉายเล่นในกรีนวิชอีกด้วย แต่พี่สาวผมไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลยว่าแซมมี่เป็นนักดื่มตัวฉกาจ เก็บขวดว้อดก้าเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าด้วยซ้ำ
คืนนั้นผมพาแซมมี่ไปดูหนัง
ผมซื้อลูกกวาดเข้าไปด้วยกล่องหนึ่ง ข้าวโพดคั่วอีกถุงหนึ่ง แล้วก็ยังเป๊ปซี่ไว้ล้างคอ แซมมี่ไม่ซื้ออะไรเลย แต่พอนั่งได้ที่เรียบร้อย เจ้าหล่อนก็เอื้อมมือมาล้วงลงไปในถุงข้าวโพดทันที แถมยังขอลูกกวาดต่ออีกด้วยน่ะ
“ผมยังไม่กินลูกกวาดหรอก ต้องรอให้หนังเรื่องมันฉายเสียก่อน” ผมพูดอย่างหมั่นใส้ขึ้นมาตะหงิดๆ
“พูดเล่นน่าฎ
“พูดจริงๆ” ผมย้ำ
“งั้นก็เรื่องของคุณ” เจ้าหล่อยว่า ล้วงข้าวโพดต่อ
ผมเลยเอากล่องลูกกวาดซ่อนไว้เสียข้างตัว
เจ้าหล่อนมองหน้าผมพร้อมกับหัวเราะออกมา ดวงตาข้างซ้ายเขไปเลย เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตเห็น
“ฉันคิดว่าคงทำใจให้ชอบคุณไม่ลงแน่ คุณตะกละออก” แซมมี่ว่า
แต่เจ้าหล่อนนั้นแหละที่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวโพดคั่วของผม เคี้ยวลูกกวาดเกือบจะหมดกล่อง แถมไม่ให้ผมดื่มเป๊ปซี่ล้างคอด้วย
หลังจากหนังเลิกแล้ว เราก็ไปหาอะไรกินกันต่อ ผมสั่งพายกับไอศกรีมแล้วก็นมอีกแก้วใหญ่ๆ แซมมี่สั่งว้อดก้ากับโทนิค เจ้าหล่อนกินเหล้าหมดแก้วไปแล้ว พายกับไอศกรีมที่ผมสั่งถึงได้มา ก็เลยถือโอกาสสั่งเหล้าแก้วที่ 2 มาต่อ
แซมมี่ใช้นิ้วคนก้อนน้ำแข็งในแก้วเล่น พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองผมว่า
“ตอนที่ฉันอายุ 14 แล้วคุณไล่ฉันออกมาจากห้องน่ะ คุณเคยคิดอยากจะพาฉันไปมอมเหล้าที่บลู เบลล์ อินน์ บ้างหรือเปล่า?”
ผมไม่รู้จะตอบคำถามนั่นยังไงดี
ตอนที่เรากลับมาถึงบ้าน ทุกคนหลับหมดแล้ว แซมมี่กับผมก็เลยชงกาแฟแล้วก็นั่งดื่มกันในครัว คุยกันเป็นชั่วโมงเลย ผมเล่าให้เจ้าหล่อนฟังถึงความหวังฝังใจในเรื่องนี้ซึ่งมีมานับเป็นปี และถ้าผมเป็นนักเขียนไม่สำเร็จ หรือถ้าเรื่องที่ผมเขียนมิได้รับการตีพิมพ์ ผมก็ยังหนุ่มพอที่หางานทำเผลอๆ อาจจะได้เป็นถึงประธานบริษัทใหญ่ๆ สักบริษัทหนึ่งเข้าก็ได้