ตอนที่ 5 หลานสาวแม่ค้าขายขนม
เสียงตีฆ้องร้องบอกยามเหม่าดังขึ้น ปลุกให้ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีลุกขึ้นจากที่นอน เสียงนกที่ร้องเรียกพวกพ้องให้ออกไปหากินดังก้องไปทั่วท้องนภาแม้ว่าแสงจันทรายังไม่ลาลับไปก็ตาม ผู้คนต่างก็ตื่นนอนหุงหาอาหารกันเฉกเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันสำคัญของชิงเหมย เพราะเป็นวันที่สำนักศึกษาหวุนซีจะเปิดรับศิษย์ที่สามารถผ่านการทดสอบของสำนักศึกษา ชิงเหมยนั้นเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในปีนี้ไป
“อาบน้ำแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกมากินข้าวเถิดเหมยเอ๋อร์…”
น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของท่านยายที่ดังมาจากด้านนอกทำให้ชิงเหมยยิ้มกว้างออกมา ท่านยายของนางนั้นช่างดีต่อนางยิ่งนัก ถึงแม้นจะไม่มีบิดามารดานางกลับไม่รู้สึกว่าตนเองโหยหาความรักเลย
“เจ้าค่ะท่านยาย” ชิงเหมยที่กำลังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ที่ท่านยายเป็นผู้ตัดเย็บให้นางเพื่อไปสอบในวันนี้ตอบกลับทันที
ไม่ถึงหนึ่งเค่อเด็กหญิงในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนก็เดินออกมาจากห้องนอน โต๊ะอาหารกลางเรือนมีอาหารสามถึงสี่อย่างวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งผัดผัก เกี๊ยวผัก และไก่สับหน่อไม้ฉีก ซุนฉีตักข้าวให้หลานสาวก่อนที่นางจะตักให้ตนเองเช่นกัน สองยายหลานนั่งกินมื้อเช้าร่วมกัน ก่อนที่ซุนฉีจะพาหลานสาวเดินทางไปสอบที่สำนักศึกษาหวุนซี
วันนี้นางปิดร้านขายขนมเพื่อไปสำนักศึกษากับชิงเหมย มีแค่นางเท่านั้นที่เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงผู้เดียวของหลานสาว แม้ฝ่ายพ่อของชิงเหมยจะเป็นถึงตระกูลขุนนาง ทว่าตั้งแต่ชิงเหมยเกิดมาก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากปู่และย่าของนาง จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่นางเองจะต้องนับถืออีกฝ่ายเช่นกัน ดีที่ว่าตระกูลซิ่วนั้นอยู่ในเมืองถิงฮวา จึงไม่มีเหตุให้ได้พบหน้ากัน
“ตื่นเต้นหรือไม่เหมยเอ๋อร์”
ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมาขณะเดินไปยังสำนักศึกษา ยามนี้หลายตระกูลก็กำลังพาลูกหลานเดินทางไปสอบเข้าสำนักศึกษาเช่นกัน
“เจ้าค่ะท่านยาย แต่ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ หลานคนนี้จะไม่ทำให้ท่านยายผิดหวังเป็นแน่” ชิงเหมยตอบท่านยายด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ซุนฉียิ้มจางๆ พลางส่ายหน้าไปมา นางไม่ได้หวังว่าหลานสาวจะสอบได้ลำดับที่ดีๆ ขอเพียงแค่นางสอบผ่านตามเกณฑ์ของสำนักศึกษาหวุนซีได้นางก็พอใจแล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรับรู้ถึงความต้องการของหลานสาวมาก่อน ครั้นได้รู้ว่าชิงเหมยนั้นใฝ่รู้ อยากมีวิชาความรู้ติดตัว นางก็สนับสนุนหลานสาวเต็มที่
“แค่ตั้งใจก็พอ เจ้าจะได้ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายในภายหลัง”
ชิงเหมยพยักหน้าพลางมองไปยังหนทางข้างหน้า สองยายหลานมุ่งหน้าสู่สำนักศึกษาหวุนซี ซุนฉีไปลงทะเบียนสอบให้หลานสาวก่อนที่นางจะออกมารออยู่ด้านนอก เพราะด้านในอนุญาตให้เพียงแค่เด็กที่จะมาสอบเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาอยู่เท่านั้น
การสอบในวันนี้นั้นไม่ได้มีอะไรยากอย่างที่คิด เพราะเป็นการสอบวัดระดับความรู้ทั่วไปและความถนัดในการเล่นดนตรีและท่องบทกวี ดีที่ว่าชิงเหมยนั้นเคยเล่นฉินและอ่านบทกวีของบรรดานักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมาบ้าง จึงทำให้นางสอบผ่านทุกวิชาไปได้ด้วยดี แต่ผลคะแนนที่ออกมาทำให้นางเป็นผู้ที่กลายเป็นคนที่อาจารย์ทุกคนอยากเห็นหน้า เด็กวัยสิบปีที่เอาชนะเด็กจากทั่วทั้งเมืองถิงฮวาที่เดินทางมาสอบเข้าสำนักศึกษาในปีนี้เกือบร้อยคน
“ศิษย์ชายหญิงปีนี้ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถยิ่งนัก” อาจารย์หวุนกล่าวออกมาหลังจากได้อ่านนามของศิษย์ใหม่ตามลำดับคะแนนที่ทดสอบ
“จริงขอรับ… ยิ่งกับแม่นางน้อยผู้นี้ยิ่งทำให้ข้าประหลาดใจนัก ยามที่นางท่องบทกวีทำเอาข้าลืมไม่ลงเลย ถึงจะมิใช่บทกวีที่นางแต่งขึ้นเองก็ตาม” อาจารย์ลู่อวิ๋นแสดงความเห็นของตนออกมา
“แต่ข้าชื่นชอบยามที่นางดีดฉินยิ่งนักเจ้าค่ะ ตั้งแต่เรารับศิษย์เข้ามา ข้ายังมิเคยเห็นเด็กคนใดดีดฉินได้ไพเราะเช่นนี้มาก่อน” อาจารย์หยวนซู่ชื่นชมหนึ่งในเด็กที่มาสอบในวันนี้อย่างไม่ปิดบัง
“นางมาจากตระกูลใด… พวกเจ้าพอจะรู้กันหรือไม่” อาจารย์หวุนเอ่ยถามออกมาด้วยความสนใจ
“นางเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับยายแค่สองคน ยายของนางแซ่ซุน เปิดร้านขายขนมเล็กๆ อยู่ในตลาดซานฉี รสชาติขนมของนางนั้นตราตรึงใจข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ”
อาจารย์เซียงหลินที่เป็นคนในพื้นที่ตอบออกมาเท่าที่นางรู้ นางก็เป็นหนึ่งลูกค้าประจำของร้านขนมยายซุนฉี จึงทำให้ได้รู้เรื่องราวของสองยายหลานคู่นี้อยู่ไม่น้อย
“โฮะๆๆ ที่แท้รู้จักเพราะเป็นลูกค้าประจำร้านขนมยายของนางหรอกหรือ” ท่านอาจารย์หวุนหัวเราะชอบใจออกมา
“แต่แท้ที่จริงแล้วเด็กคนนี้มีพ่อเป็นอดีตรองแม่ทัพ ทว่าเขากลับตายในสนามรบทำให้เด็กคนนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลเพราะเป็นลูกที่เกิดจากหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาเจ้าค่ะ”
"ถึงนางจะเป็นเด็กที่มีชะตาชีวิตอาภัพ แต่นางก็ช่างเป็นเด็กที่มีความพยายามและความสามารถยิ่งนัก หากข้าเป็นครอบครัวของนางข้าย่อมจะต้องภูมิใจที่มีนางเป็นลูกเป็นหลานในตระกูลเป็นแน่ ช่างน่าเสียดายแทนตระกูลที่โง่เขลาตระกูลนั้นยิ่งนัก”
หายากยิ่งนักที่เด็กหญิงจะเก่งรอบด้านเช่นนี้ หากมิได้ฝึกฝนหรืออ่านตำราอย่างเคี่ยวกรำก็คงมีพรสวรรค์ในการจดจำ แต่ถึงอย่างไรการสอบครานี้ก็แสดงให้เห็นว่าเด็กหญิงผู้นี้นั้นตั้งใจที่จะเข้าสำนักศึกษาของเขาอย่างแท้จริง ถึงสตรีไม่อาจเป็นขุนนางได้ในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าหากมีความรู้ติดตัวไปก็ไม่มีวันอดตาย หรือแต่งเข้าตระกูลใดก็มิโดนดูถูกดูแคลน
ป้ายประกาศรายชื่อของผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหวุนซีถูกนำมาติดหลังจากที่เหล่าอาจารย์ตรวจสอบคะแนนและลำดับของศิษย์ใหม่เรียบร้อย รายชื่อลำดับแรกเป็นของบัณฑิตชายจากเมืองหวงหลง ซึ่งอยู่ติดกับเมืองถิงฮวาเพียงแปดสิบลี้ รายชื่อลำดับต่อๆ ไปก็ไม่เกินความคาดหมายนักเพราะต่างเป็นบุตรีและบุตรชายของขุนนางที่พำนักอยู่ในเมืองซานฉี