บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 - 1 หลานสาวแม่ค้าขายขนม

แต่ลำดับที่สิบทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่สิบคือชิงเหมย หลานสาวเพียงคนเดียวของซุนฉี แม่ค้าขายขนมในตลาดเมืองซานฉีที่เป็นที่รู้จักว่าทำขนมได้รสเลิศ แม้ฐานะของซุนฉีจะไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่นางก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวได้อดอยาก ภาพที่เห็นจนชินตาของชาวบ้านซานฉีก็คือภาพที่ชิงเหมยช่วยยายของนางขายขนมที่ร้าน และเป็นผู้ลงมือปั้นซาลาเปาเองกับมือ

“ท่านยาย… ข้าสอบได้ลำดับที่สิบเจ้าค่ะ ข้าได้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหวุนซีแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความตื้นตันใจที่ความพยายามของนางไม่สูญเปล่า

“หลานยาย… ยายภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

ซุนฉีกล่าวออกมาทั้งน้ำตาครั้นได้ยินหลานเดินมาบอกลำดับที่นางสอบได้ในครานี้ แม้นนางจะไม่คาดหวังว่าหลานจะสอบได้ลำดับดีๆ แต่พอได้ยินว่าหลานสาวสอบติดอันดับสิบก็ทำให้นางรู้สึกยินดีจนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองยายหลานสวมกอดกันด้วยความดีใจ

“ข้ายินดีกับเจ้าด้วยเหมยเอ๋อร์” หนึ่งในแม่ค้าที่พาบุตรหลานมาสอบเข้าที่สำนักศึกษาแห่งนี้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มยินดี

“ขอบน้ำใจท่านน้าซุ่ยหรูเจ้าค่ะ”

“สอบได้ลำดับที่สิบนี่มิใช่เรื่องง่ายๆ เลย เจ้าช่างเก่งยิ่งนักเหมยเอ๋อร์ ภายภาคหน้าข้ารับรองว่าไม่มีตระกูลใดมองข้ามเด็กที่มีความรู้ความสามารถเช่นเจ้าไปแน่นอน”

เพราะมีเพียงแค่ชิงเหมยเท่านั้นที่เป็นสตรีที่สอบได้ลำดับต้นๆ ทำให้มีผู้คนสนใจนางไม่น้อย ศิษย์ใหม่ที่เป็นหญิงหลายคนจึงอยากผูกมิตรกับนาง แต่คงต้องรอให้ได้พบกันอีกครา

“กลับเรือนกันเถิดเหมยเอ๋อร์… วันนี้ยายจะทำอาหารที่เจ้าชอบให้กิน"

ซุนฉีบอกหลานสาว ชิงเหมยพยักหน้าก่อนที่จะติดตามท่านยายของนางไปอย่างอารมณ์ดี วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตใหม่ของนาง นางจะสร้างชื่อเสียงจนทำให้ตระกูลซิ่วเสียดายและเสียใจที่มองข้ามนางไป

กลิ่นหอมของอาหารลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเรือนของซุนฉี วันนี้นางเชิญเพื่อนบ้านอย่างสกุลหลิ่วมาร่วมฉลองให้แก่ชิงเหมยด้วย สกุลหลิ่วแม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ทว่ากลับมีน้ำใจไมตรีกว่าพวกตระกูลสูงศักดิ์นัก ซุนฉียินดีและสบายใจที่ได้สกุลหลิ่วเป็นเพื่อนบ้าน อาหารหลายอย่างเรียงรายเต็มโต๊ะ ชิงเหมยเตรียมถ้วยจานและตะเกียบเพื่อรอแขกมาเยือน ไม่นานนักเสียงเคาะประตูหน้าเรือนก็ดังขึ้น ซุนฉีเป็นฝ่ายเดินไปเปิด

“เชิญๆ จิ่งซิ่ว จิงหลิง หริ่งเอ๋อร์…” น้ำเสียงยินดีดังออกมาทันทีที่ได้เห็นว่าผู้ใดมาเคาะประตูหน้าเรือน

“ขอแสดงความยินดีกับเหมยเอ๋อร์ด้วยขอรับท่านป้า นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพวกข้า” ผู้นำสกุลหลิ่วกล่าวออกมาพลางนำของที่ติดไม้ติดมือมาฝากเด็กหญิง เป็นกล่องแกะสลักลวดลายดอกไม้ด้านในมีพู่กันอยู่สามอัน

“โอ้… พวกเจ้าไม่เห็นต้องลำบากเตรียมของขวัญมาให้เลย วันนี้ข้ามีความสุขก็เลยนึกอยากเลี้ยงอาหารพวกเจ้า” ซุนฉีกล่าวออกมาอย่างเกรงใจ

“ไม่ลำบากเลยขอรับ พอดีว่าข้าซื้อมาหลายอัน เตรียมไว้ให้หริ่งเอ๋อร์ แต่นางยังเด็กนักที่จะใช่ในยามนี้ พอได้ยินว่าเหมยเอ๋อร์สอบเข้าสำนักศึกษาหวุนซีได้ ข้ากับจิ่งซิ่วและหริ่งเอ๋อร์จึงยินดีอยากจะมอบมันให้แก่นางได้ใช้ที่สำนักศึกษาน่ะขอรับ” หลิ่วจิ่งซิ่วบอกผู้อาวุโสด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มพลางส่งกล่องพู่กันให้แก่หลานสาวของนาง

“ขอบน้ำใจท่านน้าทั้งสองยิ่งนักเจ้าค่ะ ขอบน้ำใจเจ้าด้วยหนาหริ่งเอ๋อร์… พี่จักใช้อย่างดีเลย”

ชิงเหมยคำนับขอบน้ำใจผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนที่จะหันไปบอกเด็กหญิงตัวน้อย หริ่งเอ๋อร์ยิ้มกว้างออกมาด้วยความยินดี นางชอบพี่หญิงชิงเหมยและจะเอาพี่หญิงชิงเหมยเป็นแบบอย่าง

ซุนฉีรีบเชิญครอบครัวสกุลหลิ่วให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่รายล้อมโต๊ะวงกลม อาหารหลากหลายเต็มโต๊ะไม่ทำให้ผู้มาเยือนอิ่มเอมเท่ากับการได้รับน้ำใจไมตรีจากผู้อาวุโสตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่ทว่ากลับรักใคร่เอ็นดูกันยิ่งกว่าคนในตระกูลเสียอีก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นให้ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าเรือนหลังนี้ได้อิจฉาและนึกฉงนว่าเหตุใดคนในเรือนนี้ถึงได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนั้น ถึงเรือนจะเก่าและหลังเล็กทว่ากลับมีกลิ่นอายของความสุขอบอวลออกมา

เช้าวันต่อมาร่างเล็กในอาภรณ์สีชมพูอ่อนซึ่งเป็นอาภรณ์ที่ศิษย์หญิงจากสำนักศึกษาหวุนซีสวมใส่กัน บัดนี้ได้มาอยู่บนกายของเด็กหญิงที่เคยถูกดูถูกดูแคลนจากลูกหลานขุนนางและลูกหลานพวกเศรษฐี ถึงแม้ว่านางจะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้าขายขนมธรรมดาแต่ทว่าความสง่างามเยี่ยงชนชั้นสูงกลับเผยออกมาให้ทุกคนได้เห็น ก็นางมีบิดาเป็นชนชั้นสูงจึงไม่แปลกนัก แม้นจะไม่ได้รับการยอมรับจากปู่ย่า แต่ท่านยายของนางก็อบรมสั่งสอนนางมาเป็นอย่างดี

ทุกย่างก้าวของนางมีเสียงของชาวบ้านกล่าวทักทายไปตลอดทาง ในขณะเดียวกันรถม้าของบรรดาลูกหลานขุนนาง และลูกหลานมหาเศรษฐีที่ศึกษาในสำนักศึกษาของนักปราชญ์ชื่อดังซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองซานฉี ต่างมองไปที่ร่างเล็กของชิงเหมยด้วยความอิจฉา ถึงแม้นสำนักศึกษาของพวกตนจะเด่นดังกว่า ทว่ากลับมีศิษย์ที่สอบเป็นขุนนางได้น้อยกว่าสำนักศึกษาหวุนซี

“เหตุใดนางถึงสอบได้ลำดับที่สิบล่ะ ข้าได้ยินมาว่าข้อสอบของสำนักศึกษาหวุนซีนั้นยุ่งยากยิ่งนัก” หนึ่งในลูกขุนนางที่เคยกลั่นแกล้งรังแกชิงเหมยเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

“เพราะมันไม่ยากน่ะสิ พวกชนชั้นต่ำถึงได้แห่ไปสอบกัน ชิ… อย่าไปสนใจเลย สำนักศึกษานั้นน่ะศูนย์รวมพวกชนชั้นต่ำ พวกลูกอนุที่จวนของข้าก็สอบเข้าที่นั่นกัน”

คุณหนูผู้สูงศักดิ์ทว่าได้รับการปลูกฝังจากมารดาว่าไม่ให้คบหาพวกชนชั้นต่ำกว่าตนเพราะว่าไร้ประโยชน์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง รถม้าของนางขับเคลื่อนออกไปก่อนใครเพื่อน ก่อนที่รถม้าของผู้อื่นจะตามนางไปไม่ห่าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel