ชิงเหมย บุปผาซ่อนคม

257.0K · จบแล้ว
หลงเวลา
135
บท
15.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คำเอื้อย สตรีผู้กล้าหาญในสมัยอยุธยา นางเป็นสตรีที่ช่วยเหล่าบุรุษต่อสู้ปกป้องบ้านเมืองจากพวกข้าศึก แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ออกไปหาเสบียงมาเพิ่ม นางและสหายร่วมรบได้พบกับข้าศึกที่มากันมากโข แม้นคำเอื้อยจะมีฝีมือในการต่อสู้เก่งกาจถึงเพียงใด นางก็ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป เพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟไม่ผิดนัก นางสิ้นชีพไปพร้อมกับเหล่าสหายร่วมรบที่มีทั้งชายและหญิง แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนางได้ฟื้นขึ้นมาในร่างของเด็กหญิงที่สวมชุดจีนโบราณ กว่านางจะยอมรับในการได้มาเกิดในโลกใหม่ได้ นางก็ต้องทำใจอยู่หลายวัน แต่มีหรือผู้ที่เคยเป็นวีรสตรีจากอโยธยาจะยอมให้ผู้ใดมารังแก ความงดงามจากรูปกายภายนอกนั้นได้ปกปิดความลับบางอย่างของนางเอาไว้ ชิงเหมย เด็กน้อยผู้อาภัพ นางสูญเสียพ่อที่เป็นขุนนางและแม่ที่เป็นเพียงสาวชาวบ้านไปตั้งแต่วัยเด็ก นางต่อสู้ดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่กับท่านยายที่มีอาชีพค้าขายอยู่ภายในหมู่บ้านซานฉี เมืองถิงฮวา ในแคว้นเจียงโจว ครั้นวัยสิบขวบนางกลับล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ผู้เป็นยายร้อนใจพยายามหาทางรักษาทุกวิถีทาง แต่แล้วหลานสาวก็นอนหมดสติไปถึงสามคืน ในคืนที่สามท่านยายยอมถอดใจว่าหลานจะไม่ฟื้นคืนมาอีก กลับกลายเป็นว่าหลานสาวตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากวันนั้นชิงเหมยก็กลายเป็นเด็กที่มีร่างกายแข็งแรงและงดงามขึ้นตามวัย โดยที่นางไม่เคยรู้เลยว่า หลานสาวกำลังกระทำสิ่งใดลับหลังนางอยู่... ***เนื้อเรื่องบทแรกๆจะอิงประวัติศาสตร์ไทยอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ อ่านเพื่อความบันเทิง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

นิยายจีนโบราณนางเอกเก่งเกิดใหม่จีนโบราณโรแมนติกผู้ชายอบอุ่น

ตอนที่ 1 วีรสตรีแห่งแผ่นดินสยาม

ปีพุทธศักราช ๒๓๐๘

อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน

“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’

เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี

“ย๊าก.....”

“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน

“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน

“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนสิ ไอ้พวกข้าศึกมันจะพากันบุกมาถึงเพลาใดก็หารู้ไม่” สตรีรูปร่างอวบอัดแต่ทว่ามีกล้ามเนื้อราวกับบุรุษเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คำเอื้อยเป็นหญิงสาวชาวบ้านบางระกำวัยสิบเจ็ดปีที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้านบางระกำนับตั้งแต่ที่ข้าศึกบุกเข้ามา นางฝึกฝนการฟันดาบและศิลปะการต่อสู้จนเก่งกาจ

“โถ่!!! นังคำเอื้อย เอ็งก็ให้ข้าพักเสียบ้างเถิด ถึงเพลาที่ไอ้พวกข้าศึกบุกมา พวกเราก็ต้านมันได้ทุกครามิใช่หรือเยี่ยงไร”

นายดู่ถอนหายใจให้กับหญิงสาวที่มีใจกล้าเฉกเช่นเหล่าบุรุษ ไม่ว่าข้าศึกจะมามากเพียงใด นางก็ไม่เคยหลบลี้หนีหน้าไปไหน นางมักจะถือดาบประจันหน้ากับพวกมันเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเสมอ

“พี่ดู่จ๊ะ ไอ้ผุดบอกว่าเสบียงของหมู่บ้านเราเริ่มจะร่อยหรอเสียแล้ว เหตุการณ์ภายนอกเมืองก็มิค่อยจะดีเท่าใดนัก แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีล่ะจ๊ะ”

แก้ว หญิงสาวในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คอยดูแลเสบียงอาหารกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าให้คนออกไปหาเสบียงด้านนอกหมู่บ้าน ก็คงไม่พ้นได้พบเจอกับพวกทหารของพม่าเป้นแน่

“เดี๋ยวข้าจะพาพวกออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเองจะ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”

คำเอื้อยบอกออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากเสบียงอาหารร่อยหรอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะใช้ชีวิตอยู่กันด้วยความลำบาก

“ข้าไปด้วย”

นายอ้นรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากปล่อยให้คำเอื้อยพาพวกออกไปแล้วเจอกับพวกศัตรู เขาจะได้ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับนาง

“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราไปเตรียมตัวกันเถิด ออกไปสักสิบคนก็พอ หากออกไปมากนักจะทำให้พวกข้าศึกรู้ตัวเอาได้”

“ไม่รู้ว่าเพลานี้ข้าศึกมันอยู่ทิศทางใดกัน เหตุใดพักนี้หมู่บ้านของพวกเราถึงได้ดูเงียบจนแปลกประหลาดยิ่งนัก” นายชดเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ให้มันพักกันเสียบ้างเถิด หากพวกมันหมั่นเข้ามาโจมตีพวกเราคงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่” ทองกล้ากล่าวออกมาพลางใช้ผ้าเช็ดดาบเล่มยาวของตน

“ถ้าเช่นนั้นเอาตามนี้แหละจ้ะ ข้า ไอ้อ้น แม่จำปี แม่ลำดวน พี่คล้าว พี่เข้ม พี่คม พี่เสือ พี่ผา และก็พี่ชิด พวกเราทั้งสิบจะออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเอง” คำเอื้อยหันไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลุงทองเย็น

ผู้อาวุโสไม่ห้ามปรามอันใดเพราะหากไม่มีผู้ที่เสียสละตนออกไป ชาวบ้านทุกคนจะต้องพากันอดตายก่อนที่จะตายด้วยน้ำมือของพวกข้าศึก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวและมาพร้อมกันในเพลานัดพบ นายดู่และนายชดจะคอยดูแลหมู่บ้านในยามที่ทั้งสิบคนไม่อยู่ คำเอื้อยและสหายร่วมรบทั้งเก้าคนจึงวางใจ

บุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งเจ็ดและสตรีอีกสามคนที่แต่งกายเยี่ยงชายชาตรี ในมือทั้งสองข้างถือดาบประจำกายพากันเยื้องย่างออกไปทางด้านหลังของหมู่บ้านในเพลากลางคืน เพื่อมิให้ข้าศึกภายนอกได้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านออกไป พวกคำเอื้องจึงต้องออกไปเพลานี้ เพลาที่ทิวาได้ลาลับนภาไป

เสียงนกแสกและนกฮูกร้องดังไปทั่วทั้งแนวป่าหลังหมู่บ้าน กลุ่มบุรุษและสตรีหาญกล้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ถูกข้าศึกตีจนแตกพ่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านบางระกำสองชั่วเพลาในการเดินทาง เพื่อลองหาเสบียงที่น่าจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ในระหว่างทางทุกคนเดินไปด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ข้าศึกได้ยินเสียงฝีเท้า

หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนในที่สุดเหล่าผู้กล้าทั้งสิบคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายจากการรุกรานของข้าศึก ภาพของชาวบ้านที่นอนตายอยู่ทั่วหมู่บ้าน ทำให้คำเอื้องรู้สึกเจ็บแค้นใจโดยเฉพาะพวกหญิงสาวที่ถูกพวกมันข่มเหงรังแกจนตาย หากชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่รอความช่วยเหลือจากพวกทหาร หมู่บ้านนี้ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้

“คงจะเพิ่งถูกตีพ่ายไปไม่ได้นาน ศพชาวบ้านบางคนตัวยังอุ่นอยู่เลย พวกเอ็งระวังตัวเองกันด้วยล่ะ”

นายคล้าวตะโกนบอกสหายร่วมรบทั้งเก้าคนหลังจากที่เขาก้มลงไปจับชีพจรของชาวบ้านที่น่าจะเพิ่งถูกฆ่าตายได้ไม่นาน

“รีบหาเสบียงที่พอจะนำกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อนเถิด ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพราะไม่รู้ว่าพวกข้าศึกจะยังอยู่แถวนี้หรือว่าจากไปแล้ว”

คำเอื้อยร้องบอกทุกคนในขณะที่นางเดินไปสำรวจตามเรือนชานที่เสียหายจากการถูกไฟไหม้ ร่องรอยนั้นราวกับเพิ่งจะเกิด ชาวบ้านที่ล้มตายก็ยังเนื้อกายอุ่นอยู่ นางจึงคิดว่าพวกมันคงเพิ่งจะบุกมาทำลายหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก

ในขณะที่ทุกคนกำลังไปทำตามหน้าที่ของตน จู่ ๆ พวกทหารพม่าที่ยังคงซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็ได้นำกำลังกลับมายังหมู่บ้านนี้อีกครา พวกมันใช้กำลังพลนับห้าสิบปิดล้อมหมู่บ้านเอาไว้ เพราะมีทหารลาดตระเวนได้เห็นว่ายังมีชาวบ้านหลงเหลืออยู่

“แย่แล้วนังคำเอื้อย!!! ไอ้พวกข้าศึกมันล้อมพวกเราเอาไว้รอบหมู่บ้านเลย แล้วพวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีรึ”

แม่ลำดวนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจครั้นได้เห็นว่าพวกทหารพม่ามันพากันย้อนกลับมา ทุกคนรีบมารวมตัวกันเพื่อฟังทางออกที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้

“ไม่มีหนทางอื่นนอกจากตีฝ่าวงล้อมของพวกมันออกไป”

คำเอื้อยบอกถึงหนทางแก้ปัญหาในเพลานี้ของนาง นางไม่หวั่นเกรงหากว่านางต้องตายไปในวันนี้ แต่นางจะไม่มีวันยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกกบฏแน่นอน

นายคล้าวเริ่มวางแผนด้วยการที่จะยอมเป็นตัวหลอกล่อพวกมันแล้วให้พวกสตรีหนีออกไปก่อน คำเอื้อยไม่เห็นด้วยเพราะนางจะไม่มีวันยอมทอดทิ้งสหายร่วมรบของนางเป็นอันขาด ทุกคนก็มีความเห็นเช่นเดียวกันกับคำเอื้อย สุดท้ายทางออกเดียวคือฝ่าออกไปแม้จะต้องสิ้นชีพไปในวันนี้ก็ตาม

ทันทีที่นายคล้าวส่งสัญญาณทุกคนก็หยิบดาบซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของตนออกมา เพลานี้แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อก็ไม่มีผู้ใดในพวกเขายอมแพ้ต่อศัตรูเบื้องหน้า ทหารพม่าครั้นเห็นว่าพวกที่ยังมีชีวิตรอดถือดาบออกมาจึงพุ่งเข้าไปปะทะทันที

เสียงของคมดาบที่ฟาดฟันกันดังอยู่นานหลายชั่วยาม ทหารฝั่งพม่าล้มตายไม่น้อย แต่แล้วฝั่งของคำเอื้อยก็พลาดพลั้ง เพราะนายคมถูกพวกทหารพม่ารุมฟันเข้าที่กลางหลังและสังหารเขาอย่างไร้ความปรานี

“ไอ้คม!!! พี่คม!!!!”

ทุกคนที่เห็นภาพนั้นต่างพากันตะโกนชื่อของนายคมสหายร่วมรบออกมา คำเอื้อยเจ็บปวดที่พี่ชายร่วมรบถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา นางฟาดฟันทหารพม่าอย่างไร้ความปรานีเช่นกัน คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาปะทะกับนางก็มีอันต้องล้มตายไป

“พี่ลำดวนกับพี่เสือรีบพากันหลบหนีออกไปก่อน รีบไปส่งข่าวให้แก่หมู่บ้านของพวกเราว่าพวกข้าศึกคงจะอยู่อีกไม่ไกลจากแล้ว”

คำเอื้อยร้องบอกสหายร่วมรบของนาง นางลำดวนกับนายเสือมองหน้ากันด้วยความลังเล แต่แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจฝ่าวงล้อมออกไปตามที่คำเอื้อยบอก เพื่อรีบไปแจ้งข่าวให้พวกชาวบ้านบางระกำได้เตรียมตัว

“พวกเอ็งระวังตัวด้วย อยู่รอดปลอดภัยกลับไปกินปิ้งไก่ด้วยกัน” นายเสือบอกสหายร่วมรบทุกคนก่อนที่จะรีบพาลำดวนฝ่าวงล้อมออกไป

คำเอื้อยมองตามพี่สาวและพี่ชายร่วมรบทั้งสองไปด้วยแววตาที่แสนเศร้า ไม่รู้ว่านางและพวกพี่ๆ ที่ช่วยกันต่อสู้กับพวกข้าศึกในเพลานี้จะอยู่รอดกลับไปกินปิ้งไก่กับพี่น้องที่หมู่บ้านบางระกำอีกไหม

แต่หากนางจะต้องสิ้นชีพไปในวันนี้นางก็จะไม่เสียใจ เพียงแค่เสียดายที่ไม่ได้ร่ำลาทุกคนที่รอพวกนางอยู่ คนที่เหลืออยู่ช่วยกันป้องกันพวกทหารพม่าให้แก่ทั้งสอง จนนางลำดวนและนายเสือสามารถฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้

“ถึงวันนี้ข้าจะตายเป็นผีอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดายแล้วล่ะพี่คล้าว ไอ้อ้น”

ในขณะที่ฟาดฟันพวกทหารพม่าที่พุ่งเข้ามาหาตน หลังของคำเอื้องชนเข้ากับหลังของคล้าว พี่ชายร่วมรบนางจึงได้กล่าวออกมา

“เพื่อแผ่นดินสยามนี้แล้ว...ข้าสละชีวานี้ให้ได้” นายอ้นตะโกนออกมาเสียงดัง คำเอื้อยพยักหน้าทั้งน้ำตาที่ได้ยินเยี่ยงนั้น

“จงภูมิใจเสียเถิดที่พวกเอ็งได้หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินสยามของเรา”

คล้าวบอกเพียงเท่านั้นก็พุ่งกายออกไปปะทะฝีดาบกับพวกทหารพม่าอย่างองอาจ คำเอื้องเองก็ไม่ต่างกัน

โลหิตของพวกทหารข้าศึกหลั่งรินลงบนแผ่นดินสยามคนแล้วคนเล่า แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟนั้นไม่ผิดนัก เพราะสหายร่วมรบของคำเอื้อยถูกฟาดฟันจนชีวาวายร่วงหล่นลงผืนแผ่นดินสยามไปทีละคน จนเพลานี้เหลือเพียงแค่นาง นายคล้าว และนายอ้นที่ยังคงยืนหยัดกัดฟันสู้อยู่แม้จะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย

ภายในใจของคำเอื้องนางนั้นยังคงเป็นห่วงสหายร่วมรบทั้งสองที่ตีฝ่าวงล้อมของพวกทหารพม่าออกไปเพื่อส่งข่าวให้แก่หมู่บ้านบางระกำ นางได้แต่หวังให้ทั้งสองคนไปถึงที่หมู่บ้านอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย เสียงของการปะทะกันดังขึ้นอีกไม่นานนักเสียงนั้นก็สงบลง ร่างของวีรสตรีและวีรบุรุษแห่งแดนสยามนอนจมกองโลหิตอยู่บนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยศพของทหารที่ถูกฆ่าตายไปนับสามสิบ ชาวบ้านเพียงแปดคน แต่ทว่ากลับฟาดฟันทหารพม่าไปเกือบหมดกองให้ตายตกไปตามกัน

จากวันนี้ไปไม่มีอีกแล้ว คำเอื้อยสตรีหาญกล้าแห่งบ้านบางระกำ ไม่มีอีกแล้วคำเอื้อยสตรีที่เป็นแบบอย่างให้แก่เหล่าสตรีลุกขึ้นมาจับดาบช่วยบุรุษต่อสู้กับพวกข้าศึกที่มารุกรานผืนแผ่นดินเกิด นางสิ้นใจไปด้วยความภาคภูมิ แม้นจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตภายภาคหน้าของแผ่นดินสยามอีกก็ตาม ความดีของนางแม้ลูกหลานจะไม่ได้รับรู้ แต่นางเองนั้นรู้แก่ใจดี ว่านางได้ทำหน้าที่ตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด… ตายไปก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว