ตอนที่ 4 - 1 ชีวิตนี้ก็ดีไม่น้อย
“ที่เขาบอกว่าเจ้าสลบไปสามคืนแล้วตื่นมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนี่คงไม่ใช่เรื่องโป้ปดสินะ” คุณหนูสกุลชิวเอ่ยถามออกมา
“ข้าน้อยมิได้เปลี่ยนไปหรอกเจ้าค่ะคุณหนู เพียงแต่ข้าน้อยได้เติบโตขึ้นเท่านั้นเอง” คำตอบของชิงเหมยเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
“คิกๆๆ เติบโตอันใดกัน เจ้าก็วัยเดียวกับพวกข้าที่ต้องเล่นสนุกสิ โอ้…ใช่สิ เจ้าดูอวบอ้วนขึ้นนะชิงเหมย หรือว่าเจ้ากินเยอะจนยายของเจ้าต้องบังคับให้เจ้าทำงานตอบแทนนาง”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ นี่ก็ถึงยามที่ข้าน้อยต้องถึงเรือนแล้ว แต่ว่าข้าน้อยยังคงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ ข้าน้อยยังมีงานที่ต้องทำ”
ซุนเหมยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กๆ เหล่านี้ นางคำนับลาบรรดาคุณชายและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ก่อนที่นางจะรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทางกลับเรือนของท่านยายโดยที่ไม่ได้รั้งรอฟังคำอนุญาตจากเด็กๆ เหล่านี้อีก เด็กทุกคนมองตามนางไปด้วยสายตางุนงงและรู้สึกไม่สนุกด้วยที่เด็กหญิงที่เคยเป็นเด็กอ่อนแอยอมให้พวกตนรังแก วันนี้กลับไม่เกรงกลัวพวกตนเช่นทุกครา
“ไม่สนุกเลย หาคนใหม่มาเล่นด้วยเถิด” คุณชายสกุลเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“นั่นสิ!! มิจำเป็นต้องไปเล่นกับนางหรอก ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นยังมิรู้จักเจียมตน”
คุณหนูรองสกุลจุนแสดงความคิดเห็นก่อนที่จะมองหาเด็กวัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด แม้จะมีสาวรับใช้และบ่าวรับใช้คอยติดตามดูแล แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าตำหนิคุณชายและคุณหนูของพวกตน
เรือนของซุนฉีเดินจากตลาดซานฉีไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึง ชิงเหมยเดินไปยังโรงครัวแล้วหยิบจานชามที่ยังไม่ได้ล้างนำมาล้างจนสะอาด จากนั้นจึงเก็บเข้าที่แล้วออกจากโรงครัวมาอาบน้ำ นางรู้สึกเบื่อหน่านกับชีวิตวัยเยาว์เช่นนี้ เพราะหากนางตัวโตกว่านี้นางก็จะสามารถดูแลท่านยายได้ อีกทั้งเด็กเหล่านั้นไม่รู้ว่าจะกลับมาหาเรื่องแกล้งนางอีกคราใด
“เหมยเอ๋อร์… น้าหลิงเอาปลามาให้”
เสียงเคาะประตูหน้าเรือนดังขึ้น เด็กหญิงที่อาบน้ำแต่งกายเสร็จแล้วกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ใกล้ประตูเรือนจึงได้ยินเสียงของผู้มาเยือน นางจึงรีบลุกไปเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอกครั้นได้รู้ว่าคือเสียงของผู้ใด
“ขอบน้ำใจท่านน้าหลิงยิ่งนักเจ้าค่ะ” ชิงเหมยรับปลาที่ท่านน้าจินหลิงที่เป็นเพื่อนบ้านกันส่งให้นาง
“ขอบน้ำใจอันใดกัน ท่านยายของเจ้าก็แบ่งปันขนมให้หริ่งเอ๋อร์อยู่บ่อยครา” จินหลิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“แล้วนี่ท่านยายของเจ้ายังมิกลับมาจากตลาดอีกหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ นางให้ข้ากลับมาก่อน เพราะพรุ่งนี้ข้าจะต้องไปสอบเข้าสำนักศึกษาหวุนซีเจ้าค่ะ นางเลยให้ข้ามาอ่านตำรา”
นางตอบหลิ่วจินหลิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ครั้นได้นึกว่าจะได้มีวิชาความรู้จากการได้ไปสำนักศึกษาภายในใจนางก็รู้สึกมีแต่ความยินดี
“น่าเสียดายที่หริ่งเอ๋อร์เยาว์วัยกว่าเจ้า มิเช่นนั้นน้าจะให้นางไปสอบเข้าสำนักศึกษาพร้อมกับเจ้าแล้ว”
หลิ่วหริ่งยามนี้วัยเพียงแปดปีซึ่งห่างจากชิงเหมยถึงสองปี ชิงเหมยยิ้มจางๆ ออกมา น้องหริ่งเอ๋อร์นั้นเป็นน้องสาวข้างเรือนที่นางเอ็นดู
ตั้งแต่นางฟื้นมาในชีวิตนี้ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นมิตรที่ดีของชิงเหมยอย่างแท้จริง แม้นชีวิตนี้จะมีญาติมิตร คนใกล้ชิดหรือสหายเพียงน้อยนิด แต่ชีวิตการเป็นชิงเหมยนี้ก็ดีไม่น้อย เพราะที่นี่นั้นสงบปราศจากศึกสงครามต่างจากแผ่นดินที่นางจากมายิ่งนัก
หลังจากท่านน้าหลิ่วจิงหลิงกลับไปได้ไม่นาน ท่านยายของชิงเหมยก็เดินทางกลับมาจากขายของที่ตลาดซานฉี ชิงเหมยอ่านตำราจนจดจำได้ทุกอย่าง ชาตินี้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีสติปัญญาดียิ่งนัก อ่านสิ่งใดหรือเรียนรู้อันใดก็จดจำได้หมด หรืออาจจะเป็นเพราะชิงเหมยคนเก่าเป็นเด็กที่มีสติปัญญาดีมาตั้งแต่เกิดแต่ขาดการสนับสนุนก็เป็นได้
“หนึ่งก้านธูปก่อนที่ท่านยายจะกลับมาถึงเรือน ท่านน้าหลิงนำปลามาฝากเจ้าค่ะ” เสียงเล็กบอกซุนฉีขณะที่นางเข้ามาในเรือนแล้วเห็นหลานสาวกำลังรดน้ำดอกไม้ที่นางปลูกไว้อยู่
“งั้นหรือ… แล้วนี่เจ้าอ่านตำราเข้าใจแล้วหรือถึงได้มารดน้ำดอกไม้ให้ยายอยู่นี่”
“ข้าจดจำทุกอย่างในตำราได้แล้วเจ้าค่ะท่านยาย” ถึงแม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลานสาวแต่ซุนฉีก็ไม่อยากบังคับหลานสาว วัยนี้เป็นวัยที่กำลังเล่นสนุกแต่ทว่าชิงเหมยกลับดูเติบโตเกินวัย
“ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้ยายทำปลาเปรี้ยวหวานให้กินเป็นมื้อเย็นดีหรือไม่” ชิงเหมยพยักหน้า
ท่านยายนั้นทำอาหารได้รสเลิศยิ่งนัก หากเปิดร้านอาหารนางก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อย แต่ด้วยทรัพย์สมบัติของพวกนางจึงทำได้แค่เปิดร้านขายขนมเล็กเพียงเท่านั้น
ซุนฉียิ้มให้หลานสาวก่อนที่นางจะเดินไปยังโรงครัว ชิงเหมยเข้าไปช่วยท่านยายของนางก่อไฟเพราะนางทำได้เพียงเท่านี้ แม้นางจะได้มาเกิดใหม่แต่ฝีมือการทำอาหารของนางนั้นก็ยังไม่ได้เรื่องเช่นชาติภพก่อน และชิงเหมยที่จากไปตั้งแต่เยาว์วัยก็คงจะทำอาหารไม่เป็นเช่นกัน
หลังจากทำอาหารเสร็จสองยายหลานก็นั่งกินมื้อเย็นร่วมกัน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากซุนฉีที่เป็นยายของนางทำให้ชิงเหมยรู้สึกมีความสุข ชาติภพก่อนของนางนั้นต้องคอยหวาดระแวงกับการบุกมาของข้าศึก ทำให้ไม่อาจมานั่งกินข้าวอย่างสบายใจได้ ยามที่นางสิ้นใจนั้นนางไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นคนที่ร่ำรวยหรือเป็นลูกหลานของพวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ นางเพียงหวังว่าชีวิตใหม่ของนางจะมีคนที่รักนาง เอ็นดูนาง นั่งกินข้าว พูดคุย หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกัน เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว… ชีวิตใหม่นี้ก็ดีไม่น้อย แม้ต่อไปจะมีอุปสรรค นางก็จะฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อรักษารอยยิ้มของสตรีตรงหน้า จนกว่าจะสิ้นวาสนาต่อกัน