ตอนที่ 4 ชีวิตนี้ก็ดีไม่น้อย
หนึ่งเดือนพ้นผ่าน
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยสิบปีกำลังเชิญชวนลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านขนมของท่านยายให้แวะอุดหนุนขนมของพวก ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูเด็กหญิงที่ขยันขันแข็ง จึงแวะเวียนเข้าไปซื้อขนมของซุนฉีติดไม้ติดมือกลับไป แต่ก็มีลูกค้าประจำอยู่หลายคนที่แวะเวียนมาอุดหนุนเพราะชื่นชอบในรสชาติของขนมร้านซุนฉี
“ข้าขอซื้อซาลาเปากับเซาปิงอย่างละห้า”
เสียงของลูกค้าประจำดังขึ้นมาทำให้ชิงเหมยหันไปมอง ครั้นได้เห็นว่าเป็นผู้ใดนางจึงคำนับเขา ครั้นคุณชายหนุ่มพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ นางจึงหันกลับไปสนใจเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านของท่านยายต่อ คุณชายรองสกุลเฉียวยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนที่น้ำเสียงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นเบื้องหน้า
“มาแต่เช้าเลยหรือเจ้าค่ะคุณชาย”
“วันนี้ขายดีหรือไม่” เด็กหนุ่มถามผู้ที่ทักทายเขาออกมา
“วันนี้ขายดียิ่งนักเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์หนึ่งเดือนมานี้นางขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ นี่ข้าน้อยกับนางก็ปั้นแป้งทำซาลาเปากันไปสามรอบแล้วเจ้าค่ะ”
ซุนฉีมองไปยังร่างเล็กที่อยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันมาคีบซาลาเปาและขนมเซาปิงใส่ปิ่นโตไม้ที่บ่าวรับใช้คนสนิทคุณชายสกุลเฉียวนำมา
“เหมยเอ๋อร์… นางกลับมาปั้นแป้งช่วยท่านได้แล้วหรือ”
เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี เพราะหลังจากที่นาหายป่วย เขาก็ได้ยินท่านยายซุนเหมยบ่นว่านางหลงลืมการปั้นแป้งซาลาเปาไปเสียแล้ว
“เจ้าค่ะ…. ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีกว่าแต่ก่อนอีกเจ้าค่ะ คุณชายลองดูนี่สิเจ้าคะ มิใช่มีเพียงแค่ก้อนกลมๆ เท่านั้น นางยังสามารถปั้นเป็นรูปสัตว์และผักผลไม้หลายอย่างทำให้ร้านของข้าน้อยมีลูกค้าเป็นพวกเด็กๆ มากยิ่งขึ้น”
ซุนฉีตอบลูกค้าประจำของร้านพลางกล่าวชื่นชมหลานสาวของนางด้วยความภูมิใจ เงินที่เคยลดน้อยลงไปยามที่หลานสาวเจ็บป่วยยามนี้ราวกับว่าได้กลับคืนมาหมดแล้ว เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
“นี่ค่าขนม… ถ้าเช่นนั้นข้าลาล่ะ” คุณชายหนุ่มจ่ายเงินให้แก่ซุนฉีแล้วจึงเดินออกจากร้านไป ชิงเหมยกำลังยุ่งๆ นางจึงไม่ได้คำนับลาเขา
“ดื่มน้ำก่อนเถิดเหมยเอ๋อร์” ครั้นลูกค้าซาลงชิงเหมยจึงกลับเข้ามาพักภายในร้าน
“เหลืออีกเยอะหรือไม่เจ้าคะท่านยาย” ซุนฉียิ้มพลางตอบหลานสาวออกมา
“หมดแล้วจ้ะ ครานี้ก็เก็บของกลับเรือนกันเถิด อืม… พรุ่งนี้ที่สำนักศึกษาหวุนซีจะรับสมัครศิษย์ใหม่ เป็นการสอบคัดเลือก ถ้าเจ้าสอบผ่านยายอนุญาตให้เจ้าศึกษาที่นั่นได้”
เพราะสำนักศึกษาหวุนซีนั้นคัดเลือกศิษย์เข้าศึกษาโดยใช้การสอบเป็นการตัดสิน ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น เน้นความสามารถล้วนๆ ไม่ว่าศิษย์จะมาจากชนชั้นใดก็ตาม หากสอบผ่านก็สามารถเข้าศึกษาที่นั่นได้ ถึงแม้นว่าการศึกษาจะไม่สำคัญสำหรับสตรีที่มิอาจสอบเป็นขุนนางเพราะกฏของบ้านเมือง แต่ซุนฉีก็อยากให้หลานสาวได้มีวิชาความรู้ติดตัว หากนางเติบโตขึ้นแล้วต้องออกเรือนไปกับผู้ใดสักคน นางก็อยากให้หลานสาวไม่ต้องอับอาย
“จะ…จริง หรือเจ้าคะท่านยาย” ชิงเหมยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้น เพราะนี่คือหนึ่งในความต้องการของชิงเหมย เจ้าของร่างที่แท้จริง
“จริงสิ.. เจ้ากลับไปที่เรือนก่อนยายเถิดลูก กลับไปอ่านตำรา เดี๋ยวยายเก็บกวาดร้านเอง”
ซุนฉีบอกหลานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชิงเหมยสวมกอดนางด้วยความปลื้มใจก่อนที่ร่างเล็กจะผละออกแล้วคำนับลานาง ชิงเหมยเดินออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาของซุนฉีที่มองหลานสาวด้วยความเอ็นดู
ร่างเล็กเยื้องย่างไปตามเส้นทางจากตลาดซานฉีสู่เรือนของท่านยาย ระหว่างทางมีชาวบ้านทักทายนางเช่นเคย ทุกคนเอ็นดูเด็กหญิงที่เป็นเด็กขยัน คงจะมีเพียงเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่รังเกียจที่นางเป็นเด็กกำพร้า ไร้พ่อขาดแม่ต้องอาศัยอยู่กับยายตามลำพัง
“โอ๊ะ!!! ดูสิ ผู้ใดกำลังจะเดินผ่านไปกัน” เสียงเล็กของเด็กหญิงแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยมดังขึ้นมาจากกลุ่มเด็กทั้งชายและหญิงวัยเดียวกับชิงเหมยที่จับกลุ่มนั่งเล่นกัน
“เหตุใดพักนี้ไม่เห็นเจ้าแวะมาเล่นกับพวกข้าเลยหนาชิงเหมย”
ผู้ถูกขานนามหยุดชะงักพลางมองไปยังเด็กกลุ่มนั้น เด็กเหล่านี้มิใช่มิตรสหายของชิงเหมย เป็นเด็กกลุ่มที่คอยกลั่นแกล้งรังแกนางในอดีต ในกลุ่มนี้มีทั้งบุตรชายและบุตรีของขุนนาง บุตรชายและบุตรีของเศรษฐี
‘เล่นเยี่ยงนั้นหรือ รังแกข้าล่ะสิไม่ว่า’ เด็กหญิงคิดในใจก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พลางมองไปรอบๆ ที่มีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมองมาที่นางเช่นกัน
“โอ้… คุณชาย…คุณหนู ข้าน้อยต้องขออภัยยิ่งนักเจ้าค่ะที่มิได้มองพวกท่าน" ชิงเหมยแสร้งตอบกลับออกมา
“จิ๊!!! กล้าดีเยี่ยงไรที่ทำเป็นมองไม่เห็นพวกข้า พวกข้าหาใช่มีเพียงหนึ่งคนเสียอย่างไรกัน” หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ
“เป็นเพราะข้าน้อยมิได้มองซ้ายมองขวา ข้าน้อยเอาแต่มองหนทางข้างหน้าจึงทำให้ไม่เห็นว่าพวกท่านนั่งเล่นอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” ผู้ที่ไม่เคยตอบกลับด้วยประโยคที่ยืดยาวกลับตอบออกมาจนพวกคุณชายคุณหนูเหล่านี้รู้สึกงุนงง
"แล้วก็…. หนึ่งเดือนมานี้ที่ข้าน้อยมิได้มาเล่นด้วยเป็นเพราะข้าน้อยต้องช่วยท่านยายทำขนมขาย หากข้าน้อยมิทำเช่นนั้นแล้วเอาแต่มาเล่นอยู่กับพวกท่าน ท่านยายของข้าน้อยคงจะเหน็ดเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นข้าน้อยจะกลายเป็นเด็กที่อกตัญญูมิใช่หรือเจ้าคะ”
คำพูดคำจาที่เกินวัยของชิงเหมยทำให้คุณชายคุณหนูเหล่านี้ยิ่งรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกคราชิงเหมยนั้นมักจะสงบเงียบ ไร้ปากเสียงใดๆ ยามนี้กลับกล้ามองหน้าสบตาพวกตน พวกพ่อค้าแม่ค้าที่มองเหตุการณ์อยู่ก็พากันนึกชื่นชมชิงเหมยที่เห็นความเหน็ดเหนื่อยของท่านยายของนางสำคัญกว่าการมาเล่นสนุก