บทที่ 4
.
..
...
การได้รู้จักกับผิงเอ๋อร์ทำให้ชีวิตภายในแคว้นเป่ยไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด นางผู้นั้นรับใช้อย่างใกล้ชิดและเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย จางลี่จึงรักและเอ็นดูได้อย่างง่ายดาย สองวันแล้วที่เว่ยอ๋องไม่ยอมย่างกรายมาหาแม้จะอยู่ภายในพระตำหนักเดียวกัน นางเห็นเขาเดินผ่านไปมาอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่กล้าเข้าไปทักทาย เมื่อเริ่มคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่แล้วจึงกล้าเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของเว่ยอ๋อง
จางลี่เดินนำหน้าตรงไปยังห้องหนังสือที่เว่ยอ๋องมักจะไปนั่งวาดภาพและเขียนกลอนในยามว่าง เดินไปจะถึงประตูทางเข้าอยู่แล้ว หากทว่ามีเด็กหนุ่มรูปงามเดินมาขวางทางเอาไว้ กางแขนกั้นทำหน้าไม่เป็นมิตร
“ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด!”
“เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะหลิวจิง นี่พระชายานะ” ผิงเอ๋อร์รีบเข้าไปต่อว่าทันทีเมื่อผู้เป็นเจ้านายของตนนั้นถูกกระทำอย่างไม่ไว้หน้า
“นี่คือคำสั่งของท่านอ๋อง ห้ามพระชายาเข้าโดยเด็ดขาด”
“แต่พระชายานำชามาถวายท่านอ๋องนะ เจ้าหลีกไป”
“ข้าไม่หลีก!”
“แต่ไม่ควรมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของท่านอ๋องกับพระชายา”
“ข้าไม่สนใจ เพราะนี่คือคำสั่งของท่านอ๋อง”
ดูเหมือนว่าเด็กรับใช้คนโปรดของเว่ยอ๋องจะไม่ยอมง่าย ๆ เห็นอย่างนั้นจางลี่ก็เข้าใจ ยิ้มให้เด็กหนุ่มผู้นั้นราวกับไม่รู้สึกโกรธใด ๆ เลย
“ข้าเข้าใจแล้ว เรากลับกันเถอะผิงเอ๋อร์” กำลังจะก้าวเท้าเดินกลับไป ทว่าผิงเอ๋อร์ได้นำถาดชามาให้ถือไว้ แล้วเดินเข้าไปกระชากแขนหลิวจิงดึงให้พ้นจากหน้าประตู
“พระชายารีบเข้าไปเพคะ ทางนี้หม่อมฉันจัดการเอง”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะผิงเอ๋อร์”
“ไม่ปล่อย ไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”
เห็นอย่างนั้นจางลี่ก็มีอารมณ์ขัน ไม่รู้ว่าผิงเอ๋อร์เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนลากตัวหลิวจิงซึ่งเป็นชายได้อย่างง่ายดาย เมื่อทางสะดวกแล้วจางลี่จึงหันไปมองหน้าประตูทางเข้า นางกำลังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี หากเข้าไปแล้วรู้ดีว่าจะต้องโดนอะไรบ้าง แต่หากไม่เข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ เท้าน้อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับมือเรียวที่ออกแรงผลักประตู
“มีอะไรงั้นหรือหลิวจิง เสียงดังเอะอะโวยวายเชียว”
“...”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเว่ยอ๋องจึงขมวดคิ้วแล้วเงยขึ้นจากแผ่นกระดาษตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงตกใจเล็กน้อย สีหน้าที่เคยเรียบเฉยฉายความเกรี้ยวกราดออกมาทันที
“เข้ามาทำไม ข้าสั่งไม่ให้เจ้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับข้า”
“หม่อมฉันนำชาร้อน ๆ มาถวายเพคะ”
“ข้าไม่ต้องการ เอากลับไปซะ ข้ากำลังทำงานไม่อยากให้ใครเข้ามากวนใจ โดยเฉพาะเจ้า”
“ชานี้หม่อมฉันนำมาจากแคว้นซวิ่น หากเสวยแล้วจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทรงเสวยสักหน่อยเถิดเพคะ”
“เอาวางไว้ตรงนั้นแล้วออกไปซะ” หากไม่ยอมนางคงไม่ออกไป จึงยอมรับความหวังดีนั้นอย่างเสียมิได้
“เพคะ”
จางลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเอาชนะได้ จากนั้นจึงนำถาดชาไปวางไว้บนโต๊ะซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เมื่อวางไว้แล้วแทนที่จะกลับออกไปตามคำสั่ง หากทว่านางได้เดินตรงมายังโต๊ะทรงงานอีกครั้ง ยืนเอ้อระเหยรอให้อีกฝ่ายนั้นเงยขึ้นมา
“ยังไม่ไปอีก!”
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขออนุญาตเพคะ”
“เรื่อง?”
“หม่อมฉันได้ยินข่าวว่าตอนนี้กำลังมีโรคระบาด มีชาวบ้านเดือดร้อนมากมายนัก จึงอยากจะออกไปช่วยรักษาชาวบ้านเพคะ”
“ช่วยรักษา อย่างเจ้าเนี่ยนะจะรักษาคนได้ หากเก่งกาจเช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงไม่รักษาใบหน้าเจ้าให้กลายเป็นคนปกติเล่า” คนพูดแค่นยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องขำขัน ก้มหน้าลงไปตวัดปลายพู่กันเขียนอักษรต่อไป
แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่โดนหยามเกียรติเช่นนี้ หากทว่าจางลี่ยังคงยืนนิ่งพยายามปรับสภาพจิตใจให้เป็นปกติ ไม่อยากจะเอามาใส่ใจให้รู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้ จุดมุ่งหมายของนางคือขออนุญาตออกไปนอกพระตำหนัก และจะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมให้ได้
“เรื่องใบหน้าของหม่อมฉันมันเป็นมาตั้งแต่กำเนิดจึงมิอาจรักษาได้ แต่โรคที่ชาวบ้านกำลังเผชิญกันอยู่นั้นอาจจะรักษาให้หายได้หากเรารู้สาเหตุและรักษาได้ตรงจุด หม่อมฉันพอมีความรู้เรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรจึงอยากจะลองเข้าไปช่วย เผื่อว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอ๋องได้บ้างเพคะ”
“เจ้าคิดว่าเก่งมาจากไหน ขนาดหมอหลวงของข้าที่ว่าเก่งกาจนักหนายังไม่สามารถรักษาหายได้ แล้วเหตุใดข้าจะต้องเชื่อเจ้าด้วย เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเองเจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งวุ่นวาย หากไม่ออกไปตอนนี้ข้าจะสั่งให้คนมาลากตัวเจ้าออกไป”
“เพคะ หม่อมฉันจะออกไป แต่หม่อมฉันไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ถึงอย่างไรก็จะต้องออกไปช่วยรักษาชาวบ้านให้ได้”