บทที่ 3
.
..
...
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจและพูดจาเข้าหูอีกต่างหาก ทำให้จางลี่เริ่มยิ้มได้ อย่างน้อยก็มีอีกหนึ่งคนที่เห็นใบหน้าของนางแล้วเกิดอาการตื่นกลัว ทำให้ความมั่นใจเริ่มกลับคืนมา
“ข้าดีใจที่เจ้าไม่ได้กลัวและรังเกียจข้าเหมือนเช่นคนอื่น จากนี้ไปข้าต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลแล้วนะ”
“หม่อมฉันก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับพระชายาด้วยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะเข้ามาทำงานรับใช้ในตำหนักแห่งนี้ได้ไม่นานเช่นกันเพคะ”
“อ้าวหรือ แล้วก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหนมาก่อน”
“ครอบครัวของหม่อมฉันตายด้วยโรคระบาดกันหมด เหลือเพียงหม่อมฉันแค่เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตรอด” ผิงเอ๋อร์ทำหน้าเศร้าลงเมื่อกล่าวถึงครอบครัว
“ข้าเสียใจด้วยนะที่เจ้าต้องมาสูญเสียคนที่รักไปเร็วเช่นนี้”
“ขอบพระทัยเพคะ แต่ว่าตอนนี้หม่อมฉันเริ่มทำใจได้บ้างแล้วเพคะ”
“ดีแล้วล่ะ คิดเสียว่าการเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราเองก็ต้องจากโลกใบนี้ไปเช่นกัน แต่จะตอนไหนนั้นก็สุดแล้วแต่เบื้องบนเป็นผู้กำหนด ว่าแต่โรคระบาดมันคือโรคอะไรเจ้าพอจะบอกข้าได้ไหม”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันเพคะ รู้เพียงว่าตอนนี้ชาวบ้านกำลังติดโรคนี้กันเยอะมาก ๆ จนต้องต่อคิวไปรักษาที่โรงหมอใจกลางเมือง ใครไม่มีเงินก็ต้องทยอยล้มตายไป เพราะมีแค่หมอพวกนั้นที่มียารักษาได้”
“แปลกจริง หมอเมืองนี้มีน้อยขนาดนั้นเชียวหรือ”
“เพคะ มีน้อยมาก ๆ แถมยังหน้าเลือดเรียกเก็บค่ารักษาจำนวนไม่น้อย ชาวบ้านในแคว้นเป่ยทำไร่ทำสวนซะส่วนมาก คนรวยในเมืองก็ไม่มากเหมือนแคว้นซวิ่น จึงไม่ใช่พวกมีเงินทองมากมายขนาดนั้น นั่นทำให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก”
“เป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่ยอมออกไปช่วยเหลือ ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“ท่านอ๋องช่วยเท่าที่ช่วยได้เพคะ ที่หม่อมฉันได้เข้ามารับใช้ก็เพราะท่านอ๋องเห็นว่าไม่มีที่ไป หมอหลวงที่มีก็ไม่เพียงพอ อีกอย่างไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรักษาให้หายได้เหมือนเช่นหมอพวกนั้นเพคะ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง วันหลังเจ้าพาข้าออกไปดูได้ไหม ข้าอยากจะเห็นอาการของคนที่เป็นโรค เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“พระชายามีความรู้เรื่องการแพทย์หรือเพคะ”
“ข้าพอมีความรู้เรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรมา อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอ๋องบ้าง นั่นคือความตั้งใจของข้าตั้งแต่ก่อนมาที่นี่”
“เพคะ หม่อมฉันจะพาออกไป แต่หากท่านอ๋องทรงทราบเรื่องนี้ หม่อมฉันคงจะต้องคอขาดแน่ ๆ”
“เราก็ไม่ต้องให้ใครรู้สิ อีกอย่างท่านอ๋องก็ไม่คิดจะสนใจข้าอยู่แล้ว แม้กระทั่งตัวข้าพระองค์ไม่ยังอยากเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ หากไปไหนมาไหนคงไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น อ้อ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
“เรื่องอะไรเพคะ”
“อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ใบหน้าข้าเป็นเช่นนี้เด็ดขาด”
“ทำไมหรือเพคะ หม่อมฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย หากไม่ให้ผู้ใดรู้เลยพระชายาจะต้องคลุมผ้าอย่างนี้ไปตลอดนะเพคะ”
“ข้าไม่ได้สนใจคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่นี่คือคำสั่งของท่านอ๋องต่างหาก พระองค์ไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าข้าเพราะกลัวว่าจะทำให้พระองค์ต้องอับอายขายขี้หน้าที่มีชายาอัปลักษณ์เช่นนี้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง หม่อมฉันเข้าแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำให้พระชายาต้องลำบากพระทัยเด็ดขาด เรื่องนี้จะเป็นความลับแค่เราสองคนนะเพคะ” ผิงเอ๋อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้มที่ใสซื่อ นั่นทำให้จางลี่นึกเอ็นดูเด็กสาวนางนี้เสียแล้ว
“ขอบใจมากที่เข้าใจข้า ได้พบกันแค่ไม่นานแต่ทำไมข้ารู้สึกราวกับว่ารู้จักกับเจ้ามานานแล้วเสียอย่างนั้น”
“หม่อมฉันก็รู้สึกเช่นกันเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าทำเองได้”
“เพคะพระชายา”
จางลี่มองตามหลังสาวน้อยผู้นั้นไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินไปหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ตั้งใจปักไว้ เพื่อนำมามอบให้ผู้เป็นสามีในคืนแรกที่เข้าห้องหอ หากทว่ามันคงไม่มีโอกาสถึงมือชายผู้นั้นแล้ว แค่ใบหน้านางยังไม่อยากเห็นแล้วมีหรือที่จะรับของเช่นนี้ไปเก็บไว้
“ถึงอย่างไรข้าก็จะเอาชนะใจท่านอ๋องให้ได้ ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้แน่นอน”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ทำให้นางมีแรงฮึดสู้ จะไม่ยอมเป็นสตรีที่อ่อนแอโดยเด็ดขาด เพราะหากเป็นเช่นนั้นนางก็จะแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น โดนบุรุษเมินมาทั้งชีวิตจนชินชาไปแล้ว เมื่อมีโอกาสแล้วมีหรือจะยอมให้มันหลุดลอยไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องได้เป็นเจ้าของหัวใจท่านเว่ยอ๋องผู้นี้ให้ได้ เป็นชายาที่พระองค์ยอมรับในสักวัน