บทที่ 5
.
..
...
“นี่เจ้า!”
จางลี่รีบเดินกลับออกไป ไม่สนว่าตอนนี้เว่ยอ๋องจะกล่าวอะไรบ้าง คนที่กำลังมองตามหลังชายาของตนได้แต่กำหมัดทุบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แววตาที่กำลังเพ่งมองนางนั้นเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ
“นอกจากจะอัปลักษณ์แล้วยังดื้อด้านอีก ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดีนะ”
อีกฟากหนึ่งภายในพระตำหนักฉีหลิ่วกง เด็กหนุ่มและสาวน้อยคู่หนึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่ภายในสวนพฤกษา พยายามซ่อนตัวไม่ให้คนอื่นได้เห็นว่าตอนนี้กำลังนั่งจับมือกัน เป็นหลิวจิงและผิงเอ๋อร์นั่นเอง แท้ที่จริงแล้วทั้งสองเป็นคู่รักกัน หากทว่าภายในตำหนักแห่งนี้มีกฎห้ามให้รักกัน มันคือกฎที่เว่ยอ๋องได้บัญญัติขึ้นไว้เพื่อไม้ให้เกิดเรื่องไม่งามขึ้น หากรู้จะต้องโดนขับไล่ออกจากพระตำหนักทันที
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าอาจจะโดนท่านอ๋องลงโทษที่ปล่อยให้พระชายาเข้าไป”
“เจ้าเป็นคนโปรดของท่านอ๋อง พระองค์ไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า” ผิงเอ๋อร์กล่าวขณะซบศีรษะบนต้นแขนของคนรักอย่างออดอ้อน แม้จะโกรธที่โดนลากตัวมาแต่ด้วยความรักจึงยอมให้อภัยนางได้อย่างง่ายดาย เอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มขาวนุ่มอย่างเบามือ
“เจ้ากับข้าจะมีโอกาสได้คบกันอย่างเปิดเผยไหมนะ”
“มีสิ แต่เราต้องออกไปใช้ชีวิตนอกตำหนักนะ เจ้ากล้าจะออกไปพร้อมกับข้าไหมล่ะ”
“ข้าต้องดูแลรับใช้ท่านอ๋อง พระองค์มีบุญคุณกับพวกเรามากแค่ไหนเจ้าก็รู้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผิงเอ๋อร์ก็ทำหน้าเศร้าลงทันที มันเป็นเรื่องจริงอย่างที่หลิวจิงว่า นางและเขาถูกชุบชีวิตจากความเมตตาของเว่ยอ๋อง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ แล้วอย่างนี้จะลืมบุญคุณได้อย่างไรกัน
“เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ช่างมันเถอะลืมเรื่องพวกนั้นซะ ถึงอย่างไรเราก็ได้พบหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว แค่นั้นก็เพียงพอแล้วนี่นา” ผิงเอ๋อร์พยายามพูดเพื่อให้ชายผู้เป็นที่รักคลายความกังวลในใจ นางเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอจนบางครั้งก็ลืมไปว่าชีวิตคนเรานั้นมันไม่ได้สวยหรูไปเสียทุกอย่าง
“ใช่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ข้ารักเจ้านะ”
“ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน”
ในขณะที่สองใบหน้ากำลังเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้า ๆ จนริมฝีปากจวนจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ได้มีเสียงของใครบางคนเรียกชื่อผิงเอ๋อร์เสียก่อน
“ผิงเอ๋อร์! เจ้าอยู่แถวนี้ไหม”
ทั้งสองรีบผละใบหน้าออกมาด้วยความตกใจจนทำให้พุ่มไม้นั้นสั่นไหว หลิวจิงรีบคว้าตัวหญิงผู้เป็นที่รักเข้ามากอดไว้ด้วยกลัวว่าเจ้าของเสียงนั้นจะเข้ามาเห็นเสียก่อน
“เจ้าอยู่ที่นี่ห้ามส่งเสียง ข้าจะออกไปเอง”
หลิวจิงพยักหน้ารับก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกขึ้นพรวดพราด ยืนมองหาเจ้าของเสียงเมื่อรู้ว่าเป็นพระชายาจางลี่จึงส่งยิ้มให้
“หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพคะ”
มือข้างหนึ่งโบกให้พระชายา ส่วนอีกข้างรีบปัดไล่ให้หลิวจิงรีบคลานหนีไป
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“หม่อมฉันมาเก็บดอกไม้ไปจัดใส่แจกันให้พระชายาอย่างใดเล่าเพคะ”
“งั้นหรือ เดี๋ยวข้าช่วยเก็บจะได้เสร็จไว ๆ”
“ถ้าเช่นนั้นทางโน้นเพคะ ดอกไม้กำลังบานได้ที่พอดีเลย”
“เอ๊ะ! ทำไมพุ่มไม้ฝั่งโน่นมันสั่นแปลก ๆ เหมือนมีคนอยู่ตรงนั้น” จางลี่กล่าวพลางชะเง้อมองไปยังพุ่มไม้สีเขียวทางด้านหลังของสาวใช้ตนเอง
“เอ่อ คงเป็นนกกระมังเพคะ มันชอบบินเข้ามาหาอะไรกินแถวนี้เป็นประจำ อย่าไปใส่พระทัยเลยเพคะ”
“ข้าเข้าใจแล้วเราไปกันเถิด”
“เพคะ”
ผิงเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจเมื่อสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ นางรีบพาพระชายาเดินไปเก็บดอกไม้ใส่ตะกร้าอย่างอารมณ์ดี ยืนยิ้มตลอดเวลาจนจางลี่นึกสงสัยอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เจ้ายิ้มอะไรผิงเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรน่ายินดีอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันแค่มีความสุขเวลาที่ได้อยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้เช่นนี้ ว่าแต่พระชายาเข้าไปแล้วท่านอ๋องว่าอย่างไรบ้างเพคะ”
“เจ้าก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ข้าโดนไล่ตะเพิดออกมาน่ะสิ คนอย่างท่านอ๋องไม่มีทางยอมให้ข้าเข้าใกล้ได้นานหรอก”
“หม่อมฉันขอถามอะไรบางอย่างได้ไหมเพคะ”
“ได้สิถามมาเลย”
“พระชายามีใจให้ท่านอ๋องบ้างหรือไม่เพคะ”
“หากถามว่ามีใจให้หรือไม่ ข้าก็ตอบได้ทันทีว่ายัง เพราะเราเพิ่งจะเคยพบหน้ากันแค่เพียงไม่กี่วัน ตอนนี้ข้ามีโอกาสได้เป็นชายาของพระองค์แล้ว ข้าย่อมทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติโดยเด็ดขาด ขอแค่พระองค์เมตตาและไม่รังเกียจแค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว”
“เหตุใดเมื่อมีความรักแล้วอุปสรรคมักจะตามมาเสมอนะ” เมื่อได้ฟังก็ทำให้นางนึกถึงเรื่องของตัวเอง เมื่อไหร่นางกับหลิวจิงจะมีโอกาสได้คบหากันอย่างเปิดเผยเสียที
“เจ้าพูดราวกับว่าตอนนี้กำลังมีความรัก” จางลี่จ้องมองหน้านางกำนัลอย่างจับผิด
“ปะ...เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่มีเวลาคิดเรื่องอย่างนั้นหรอก อีกอย่างเรื่องความรักมันเป็นเรื่องต้องห้ามภายในตำหนักนี้ ไม่มีใครกล้ามีความรักหรอกเพคะ”