บทที่ 3 การผ่าคลอด
แม่นมถือผ้าสีขาวเข้ามา กลับเห็นฉู่เซี่ยลุกขึ้นนั่งแล้ว ทันใดนั้นนางตกใจจนกรีดร้อง
“ว๊าย! ช่วยด้วย! ศพลุกขึ้นแล้ว! ศพพระชายาลุกขึ้นแล้ว!”
ตะโกนเสียงดัง พลางวิ่งออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ด้านนอกฝนตกลมแรง ฝนเทกระหน่ำลงมา
ไม่ได้ปิดประตู ลมแรงจึงพัดฝนลอยเข้ามา
ฉู่จิงกั๋วเย็นจนสมองตื่นตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง ความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางส่วนหนึ่งไหลเข้าสู่หัวสมองฉับพลัน
ฉู่เซี่ย บุตรสาวของตระกูลแม่ทัพ เพราะการสมรสพระราชทานตั้งแต่เด็กจึงแต่งงานกับตี้เซินอ๋องหย่งติ้ง
แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยกระ หน้าตาอัปลักษณ์ ตี้เซินจึงไม่เคยมองนางตรงๆ มาแต่ไหนแต่ไร ไปรักหญิงอื่นแล้ว
มิหนำซ้ำคนที่รักนั้น ยังเป็นน้องสาวที่นางเลี้ยงดูมาจนโตเองกับมือ
และยังเพราะน้องสาวคนนี้ จึงอยู่อย่างโดดเดี่ยวและรอคอยอย่างลำบากในตำหนักมาถึงเจ็ดปีเต็มๆ
ในวันที่คลอดลูก เดิมควรเป็นงานเฉลิมฉลอง กลับกลายมาเป็นงานศพ
ในใจฉู่จิงกั๋วรู้สึกซับซ้อนแบบพูดไม่ถูก
การทุ่มเทในเจ็ดปีนี้ กลับเอาชนะหญิงงามและแพศยาคนหนึ่งไม่ได้
นางฉู่จิงกั๋วผู้เป็นหมอทหาร เป็นความภาคภูมิใจของทั้งประเทศตี้เซี่ย คาดไม่ถึงทะลุมิติมาเป็นฉู่เซี่ยที่น่าสงสารและน่าเวทนาขนาดนี้?
มิหนำซ้ำสถานการณ์ของนางตอนนี้ย่ำแย่ที่สุด ส่วนอวัยวะระหว่างทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์ฉีกขาดรุนแรง ในท้องยังมีทารกตายอีกคน
เจ็บ สามารถเรียกได้ว่าความเจ็บปวดระดับสิบสองทรมานเส้นประสาทแต่ละเส้นของนางอยู่
ต้องการยาชามาบรรเทาความเจ็บ......
ต้องการอุปกรณ์ผ่าตัดรีบมาผ่าคลอดทารกออก......
แต่ในสมัยโบราณแบบนี้ นางจะผ่าหน้าท้องอย่างไร? นำอุปกรณ์ผ่าหน้าท้องมาจากที่ไหน?
ขณะกำลังคิดอย่างนี้ ข้างมือปรากฏสิ่งของที่เย็นเยือกทำด้วยเงินขึ้นมากองหนึ่งอย่างกะทันหัน
เป็นมีดผ่าตัด ยาชา คีมปลายงอ คีมห้ามเลือด คีมจับเข็มเย็บแผล ใบมีด กรรไกรตัดไหม......
ฉู่จิงกั๋วรู้สึกประหลาดใจ
นี่ไม่ใช่สิ่งของที่อยู่ในความคิดนางเมื่อสักครู่หรือ อยู่ดีๆ ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร?
ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว
นับวันยิ่งเจ็บท้องขึ้น เลือดสดก็ไหลออกมาไม่หยุด
นางจำเป็นต้องลงมือทำ
ฉู่จิงกั๋วเท้ามือลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หยิบยาชาขึ้นแล้วปรับปริมาณยา
เพื่อทำการผ่าตัดแล้ว ได้เพียงใช้ยาชาครึ่งตัว และลดปริมาณการใช้ลงด้วย
จากนั้น หยิบมีดผ่าหน้าท้องขึ้น ยกมือกรีดมีดลงไป
นางเจ็บจนรู้สึกหวาดกลัว กลับไม่กล้าหยุดแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก ก็เห็นทารกตัวน้อยขดตัวอยู่ในนั้น ขนาดเท่ากับลูกแมว ร่างกายผอมเล็กและผิวหนังเขียวช้ำ
ฉู่จิงกั๋วรู้สึกสงสาร ทารกเล็กขนาดนี้เดิมทีควรจะมีพ่อแม่รักใคร่ แต่ตอนนี้......
ขณะที่คิดอยู่ ทารกที่เดิมที่อ่อนแอขยับตัวอย่างคาดไม่ถึง
มือน้อยๆ ของนางเป็นฝ่ายยื่นออกมาเอง แยกเยื่อหุ้มออก มุดออกมาข้างนอกราวกับลูกเจี๊ยบกะเทาะออกจากเปลือก
การกระทำดูพยายามเต็มที่เป็นพิเศษ ทั้งยืนหยัดทั้งทรหด
หลังจากออกมา มือน้อยที่ยับย่นเหมือนกรงเล็บลูกแมวนั้น ยังเป็นฝ่ายจับนิ้วมือของฉู่จิงกั๋วเอาไว้เอง
ฉู่จิงกั๋วรู้สึกตกใจสุดๆ
เจอการทรมานมากขนาดนี้แล้ว ทารกยังมีชีวิตอยู่อย่างคาดไม่ถึง?
นี่คือเจตนารมณ์อันน่าตกใจมากยิ่งนัก และเป็นปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ด้วย
นางรีบอุ้มทารกน้อยที่บอบบางออกมาทันที จากนั้นตัดสายสะดือ
ทารกไม่ได้ร้องไห้ กะพริบดวงตาอันใสแจ๋วอยู่ พินิจพิจารณาฉู่จิงกั๋วอย่างแปลกใจ
ในเวลานี้——
“ฉู่เซี่ย ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ามีชีวิตอยู่!”
เสียงอันดุร้ายเย็นเยือกเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านนอก
ฉู่จิงกั๋วเงยหน้ามองไป ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากท่ามกลางสายฝน
พวกเขาแต่ละคนกางร่มสีดำไว้ เผยความโหดเหี้ยมอำมหิตชัดเจน
ในมือเหล่าองครักษ์ถือดาบยาวที่ส่องแสงเอาไว้ เมื่อดาบอยู่ท่ามกลางฝนเผยแสงพร่าตาอันคมกริบออกมา
ส่วนบุรุษผู้เดินนำหน้ามา สวมชุดปักลายดอกสีดำ ผมยาวมัดด้วยกวานหยก ทั่วทั้งตัวเผยความหนาวเหน็บอันตราย และความน่าเกรงขามที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ออกมา
คือตี้เซินนั่นเอง ราชาสงครามแห่งแคว้นตงเซี่ย สามีของเจ้าของร่าง