3. ข้าจะกินเจ้า
ข้าจะกินเจ้า
“แล้วข้า...”
ทาสสาวเอ่ยถามด้วยความงุนงง ทาสนับเป็นทรัพย์สินของผู้เป็นนาย ทำงานจนตัวตายโดยไม่ได้ค่าตอบแทน อีกทั้งยังสามารถขายต่อ ส่งต่อ และยึดได้หากผู้ครอบครองกระทำความผิด
แม่บ้านจี้อิงเองก็สงสัยไม่ต่างกัน เจ้านายหนุ่มบุกยึดจับกุมสี่ตระกูล โดยจงใจเลือกตระกูลสวีเป็นตระกูลแรก อีกทั้งยังฆ่าขุนนางสวีแล้วจับทาสสาวนางนี้กลับมา ในขณะที่ตระกูลอื่นๆ จวิ้นอ๋องไม่ได้ลงมือฆ่าเพียงแค่จับกุมเฉยๆ และไม่ได้ยึดสิ่งใดๆ กลับมาเลย
ทั้งเหล่าทหารและเหล่าสาวใช้ในจวนต่างแอบพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างลับๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจวิ้นอ๋องฮ่านหลานซึ่งพ่วงตำแหน่งแม่ทัพผู้เกรียงไกรสนใจหญิงงามนางใด วันๆ คลุกตัวอยู่ในค่ายทหารและสนามรบ ออกปราบกบฏตามก๊กตามเหล่าต่างๆ จนราบคาบ ได้รับคุณงามความดีและปูนบำเหน็จพระราชทานจากฮ่องเต้มากมาย
เป็นคนโปรดจนจะพระราชทานพระชายาให้ แต่จวิ้นอ๋องก็กล้าที่จะปฏิเสธโดยอ้างว่ายังไม่ต้องการมีครอบครัว ซึ่งหากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าขัดพระทัยฮ่องเต้ แต่นี่คือแม่ทัพคู่พระทัยองค์ฮ่องเต้จึงแค่ทรงพระสรวลอย่างไม่ถือสาอีกทั้งยังตามใจไม่ยัดเยียดชายาพระราชทานให้อีกเลย
แม่บ้านสูงวัยคิดพลางมองทาสสาวตรงหน้าอย่างประเมิน ‘งาม’ ข้อนี้นางไม่อาจโต้แย้ง แต่นอกจากความงามแล้วต้องมีสิ่งใดที่ทำให้จวิ้นอ๋องที่นางดูแลมาตั้งแต่แบเบาะถูกตาต้องใจจนถึงกับอุ้มกลับมาที่จวนกลางดึก
นางรู้จักเจ้านายดี จวิ้นอ๋องไม่ใช่คนที่จะถูกใจสิ่งใดง่ายๆ เป็นคนใจแข็ง เย็นชา และไม่เคยสนใจผู้ใดนอกจากบ้านเมืองซึ่งมาก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ
“นั่นสิเจ้าคะ เหตุใดท่านอ๋องจึงพาท่านซัวหวามาที่นี่ แทนที่จะส่งเข้าคลังหลวง ท่านคงต้องถามท่านอ๋องเอง”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้างุด มือทั้งสองข้างผสานกันไว้ที่หน้าตักอย่างไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
“เชิญท่านซัวหวารับประทานอาหารเถอะเจ้าค่ะ หากมีอะไรก็เลี้ยงใช้สาวใช้ทั้งสองคนนี้ได้เลย”
“มะไม่เป็นไร พวกท่านไปทำงานเถอะ ไม่ต้องมารับใช้ข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้”
ทาสสาวรีบปฏิเสธเป็นพัลวันด้วยไม่คุ้นชินกับการพูดคุยที่พินอบพิเทาอีกทั้งยังจะมีสาวใช้มาคอยดูแลอีก ทุกอย่างเหมือนความฝันเกินไป เหมือนจนนางกลัวว่าเมื่อนางตื่นจากความฝันนางจะต้องพบเจอกับความโชคร้ายดังแต่ก่อน
“ไม่เป็นไรไม่ได้เจ้าค่ะ สองคนนี้มีหน้าที่รับใช้ท่านซัวหวา จวิ้นอ๋องกำชับมาเป็นอย่างดีว่าต้องดูแลท่านอย่างดีห้ามขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด แต่หากท่านซัวหวาไม่สะดวกใจ ช่วงแรกๆ ข้าจะให้สาวใช้ทั้งสองคอยดูแลอยู่ห่างๆ ที่นอกประตูห้องดีหรือไม่เจ้าคะ”
แม่บ้านผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน มองเด็กสาวอ่อนต่อโลกที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นานแล้วก็ต้องถอนหายใจ จะไปกะเกณฑ์นางมากก็เกรงว่านางจะอึดอัดจนล้มป่วยลงเสียก่อน ดังนั้นเจอกันคนละครึ่งทางคงเป็นทางเลือกที่ดีกับทั้งสองฝ่าย
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
ทาสสาวพยักหน้าขอบคุณ สีหน้าของนางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม่บ้านจี้อิงจึงพยักหน้าให้สาวใช้ไปรออยู่นอกห้อง ส่วนนางนั้นเดินไปดูแลส่วนอื่นๆ ของจวนตามหน้าที่ที่ต้องทำทุกวันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“เฮ้อ!”
เมื่ออยู่คนเดียวซัวหวาก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ดวงตาแวววับมองอาหารละลานตาตรงหน้า นางขยับกายลงไปนั่งบนฟูกรองนั่งหนานุ่ม กวาดตามองอาหารบนโต๊ะตัวเตี้ยตั้งพื้นราวกับไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน จากนั้นจึงรีบคว้าหมั่นโถวก้อนนุ่มกำลังร้อนๆ ขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
“อุ่นจัง ข้าไม่เคยได้จับหมั่นโถวอุ่นๆ เช่นนี้มาก่อนเลย”
พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับมีก้อนหินแข็งแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ชั่วชีวิตของนางเคยกินหมั่นโถวเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ตอนที่ตามสาวใช้ในจวนสกุลผานไปตลาดแล้วมีบุตรสาวเศรษฐีคนหนึ่งทำหมั่นโถวหล่นลงพื้น แล้วถูกคนที่เดินสัญจรไปมาเหยียบซ้ำ
ซัวหวาตัวน้อยที่มีอายุแค่เพียงหกหนาวรีบกระโจนไปหยิบหมั่นโถวที่บี้แบนขึ้นมากินด้วยความเอร็ดอร่อย กลืนมันลงท้องทั้งที่มีเศษดินและกรวดหินโดยไม่ปัดออกด้วยซ้ำ
คิดถึงความทุกข์เข็ญแล้วก็น้ำตารื้น นางอ้าปากน้อยๆ กัดหมั่นโถวเข้าไปเต็มคำ ก่อนจะทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ และร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน
“อร่อยจัง ฮือ ฮือ อร่อยจังเลย”
นางอ้าปากกินคำแล้วคำเล่าพร้อมๆ กับร้องไห้ไปด้วย ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหมูและผัก ทันทีที่เนื้อหมูสัมผัสปลายลิ้นนางก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปกับความอร่อยที่ไม่เคยลิ้มรส ทาสอย่างนางแค่มีข้าวคลุกเกลือกินหรือไม่ก็กินเศษอาหารที่เหลือในครัวเทรวมๆ กันราวกับเศษขยะก็นับว่าบุญโข
แล้วดูอาหารตรงหน้านางสิ มันมากมายเสียราวกับว่านางกำลังฝันไป
นางวางตะเกียบแล้วหยิบผลท้อขึ้นมากัดดังกร๊อบ ความหวานซ่านเข้าไปในลิ้นจนดวงตากลมโตเล็กหยี นางกิน กิน กิน กินอย่างมีความสุขจนใบหน้าและริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปหมด
“เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้นางชะงัก เหลือกตากลมโตแล้วหันไปมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ราวกับเห็นผี
แคกๆ
นั่นแหละลูกท้อจึงติดคอนางจนใบหน้าแดงก่ำทันทีเมื่อได้เห็นจวิ้นอ๋องฮ่านหลานอีกครั้ง
แม่ทัพหนุ่มยอบกายลงนั่งข้างนาง รินน้ำชาให้นางดื่ม ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบไปบนแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน เป็นสัมผัสที่อบอุ่นปกป้องจนทำให้คนตัวเล็กถึงกับน้ำตาซึม
‘อบอุ่นจัง ไม่เคยมีใครอ่อนโยนกับข้าและมองข้าด้วยสายตาเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่งมาก่อนเลย’
ซัวหวามองใบหน้าเขานิ่งนาน ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ นางไม่รู้ตัวเลยว่าการมองเช่นนั้นอาจทำให้คนตัวโตสิ้นสุดการสะกดกลั้นความต้องการที่พลุ้งพล่านราวกับกำลังจะระเบิดเอาไว้ไม่ไหว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ อะ...เอ่อเพคะ”
ทาสสาวลนลานจนพูดผิดพูดถูก นางไม่เคยใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์มาก่อน ยิ่งรู้ว่าชายที่กำลังลูบหลังนางอย่างอ่อนโยนเป็นทั้งจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้ทรงโปรดอีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คุมกำลังทหารนับแสนนาย นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นตัวเล็กจ้อยราวกับก้อนกรวดข้างถนน