บทย่อ
ซัวหวาเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัวชายผู้ถือดาบสุดหัวใจ เขาสาวเท้าเข้าหานางแล้วแก้มัดเชือกที่ข้อมือออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตวัดผ้าห่มห่อร่างเกือบเปลือยของนางเอาไว้ แล้วรวบนางอุ้มพาดบ่าทันที “ทาสสาวคนนี้เป็นของข้า!” *********** “เช่นนั้นรับประทานลูกท้อมั้ยเพคะ” นางเอ่ยถามอย่างพยายามเอาใจ หากเขาพึงใจเลี้ยงดูนางให้เป็นทาสในเรือน ชีวิตนางคงเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง “ดีเหมือนกัน ข้าอยากกินลูกท้ออยู่พอดีเลย เห็นว่าฤดูนี้ผลของมันหอมหวานยิ่งนัก” “เพคะ” หญิงสาวรับคำอย่างกระตือรือร้นรีบคว้าลูกท้อมาถือไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบส่งให้จวิ้นอ๋องฮ่านหลาน ทว่าจังหวะที่นางหมุนกายเข้าหาเขา ริมฝีปากของนางกลับถูกฉกฉวยเอาไว้ด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนโดยไม่ทันตั้งตัว “อื้อ” ตุ๊บ! ครางแผ่วในลำคอด้วยความตกใจ ลูกท้อในมือกลิ้งตกหลุนๆ ลงไปบนพื้น จูบหวานบดขยี้เรียวปากอิ่มอย่างเรียกร้องจนซัวหวาถึงกับอ่อนระทวยไปทั้งตัว แขนแข็งแกร่งข้างหนึ่งของเขาโอบกระหวัดรัดรอบเอวนางแล้วอุ้มนางขึ้นนั่งบนตักอุ่น จากนั้นจึงโอบกอดด้วยแขนแข็งแกร่งทั้งสองข้างราวกับหวงแหน
บทนำ ทาสบำเรอกาม [ชายาทาส]
14 บทนำ ทาสบำเรอกาม [ชายาทาส]
หญิงสาวที่ปกติใส่แต่เสื้อผ้าเนื้อหยาบกระด้างสีเปลือกไม้ขาดซอมซ่อถูกจับเปลี่ยนให้ใส่เสื้อผ้าแพรพรรณเนื้อบางเบา ผมที่มักยุ่งเหยิงม้วนมวยไว้กลางศีรษะแล้วใช้ผ้าคาดผมมัดไว้เพื่อความทะมัดทะแมงถูกหวีเรียบยาวสยายคลุมสะโพกผาย ใบหน้าที่เปรอะคราบเขม่าควันไฟถูกผลัดด้วยแป้งขาวและแต่งแต้มเรียวปากอิ่มด้วยชาดสีแดงสด เนื้อตัวเหม็นกลิ่นเหงื่อสาบโคลนถูกขัดถูจนเกลี้ยงเกลาชโลมด้วยเครื่องหอมจนผุดผาดชวนมอง
“เข้าไป”
ทาสสาวถูกจับโยนกึ่งเหวี่ยงเข้าไปในห้องนอนที่จุดกลิ่นกำยานหอมคละคลุ้ง ทว่ากลิ่นเหล่านั้นกลับมทำให้นางรู้สึกคลื่นเหียนราวกับจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้
“ปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยากทำงานหน้าเตาไฟ อยากกลับไปแบกหามดังเดิม จะให้ข้าทำงานหนักขนาดไหนข้ายอมทุกอย่าง ได้โปรดส่งข้ากลับไปที่จวนสกุลผานด้วยเถอะเจ้าค่ะ ได้โปรด...”
หญิงสาวผวาไปที่ประตู ใช้กำปั้นทุบรัวแรงจนมือแดงก่ำ แต่กลับไร้เสียงตอบกลับ ด้านนอกมีนายทหารสองนายยืนคุ้มกันอยู่หน้าประตูพร้อมกับดาบยาว ชี้ชัดว่านางไม่อาจหลบหนีไปจากกรงเล็บแห่งราคะนี้ได้
หมดสิ้นแล้ว!
ชีวิตและศักดิ์ศรีของข้า!
ซัวหวาปล่อยน้ำตาให้หลั่งริน ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอดังมาจากด้านหลัง พลันมือหนาอวบอูมก็สัมผัสลงบนแผ่นหลังของนางด้วยความสิเน่หา เป็นสัมผัสที่หยาบโลนราวกับเห็นนางเป็นเครื่องบำเรอใคร่
“เจ้าช่างงามอย่างที่เขาเล่าลือจริงๆ ไม่ง่ายเลยที่จะมีทาสสาวผิวพรรณผุดผาดเช่นนี้ นี่มันช้างเผือกในป่าใหญ่ชัดๆ ข้าช่างโชคดีเหลือเกินที่จะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
ขุนนางเฒ่าสวีเย่เผิงยิ้มจนแก้มปริ แม้อายุจะย่างเข้าหกสิบหนาวปีนี้แล้ว กระนั้นกลับยังนิยมชมชอบในเนื้อหนังของอิสตรีวัยแรกรุ่น โดยเฉพาะเหล่าทาสสาวที่ไร้ทางสู้ เพราะเย่เผิงชอบเห็นการกรีดร้องทรมาน หยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาราวกับจะกลั่นออกมาเป็นเลือด ยิ่งพวกนางทรมานมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมีกำลังวังชาซาบซ่านไปทั้งร่าง
“ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
ซัวหวาหันมาขอร้องทั้งน้ำตา เวลานี้นางกลัวจนตัวสั่นงันงกไปหมด ใบหน้าบิดเบี้ยวจากแรงสะอื้นจนแดงก่ำ ดวงตาท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำใสไหลนองแก้ม
ทาสสาวมีชื่อว่า ‘ซัวหวา’ นางไม่มีบิดามารดา ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีแม้กระทั่งแซ่สกุลติดตัว นางเกิดมาเป็นทาส ถูกขายให้เป็นทาส เมื่อนางมีอายุเพียงสี่ปีก็ถูกใช้ให้แบกหามจนมือแตกยับ ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กยังไม่รู้ประสา ไม่เคยได้วิ่งเล่นเฉกเช่นเด็กวัยเดียวกัน ไม่เคยได้หัวเราะอย่างสนุกสนานร่าเริง ไม่เคยกินอิ่ม ไม่เคยนอนหลับสบาย ไม่เคยแม้แต่ได้ห่มผ้าห่มอุ่นๆ
เมื่อโตเป็นสาวสะคราญงดงามเตะตา ขุนนางสกุลผานซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตก็ขายนางให้กับขุนนางสวีสหายรักเพื่อให้นางมาเป็นทาสบำเรอกาม
นางเกิดมาทำไม!
มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน!
ในเมื่อมันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ เหตุใดสวรรค์จึงได้เกลียดชังนางนัก ถึงได้ลิขิตชะตาให้นางพบแต่ความเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ยะ...อย่า!”
มืออวบอ้วนแตะลงที่ไหล่ก่อนจะเลื่อนลงไปหมายจะจับทรวงอกกลมกลึงราวกับก้อนแป้งที่นึ่งจนนุ่มฟู ทว่านางกลับปัดมือขุนนางเฒ่าอย่างแรง ก่อนจะวิ่งไปยังมุมห้อง คว้าแจกันออกมาทุ่มสุดแรงจนแตกกระจาย
เพล้ง!
“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาข้าจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวหยิบเศษแจกันจี้ลงไปที่คอตนเองอย่างสุนัขจนตรอก นางยอมตาย! ตายเสียยังดีกว่าให้คนเลวทรามพวกนี้ย่ำยีราวกับนางไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง
นางไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สินค้า นางมีชีวิต และที่สำคัญนางมีหัวใจ!
“ฮา ฮ่า ฮ่า”
สวีเย่เผิงหัวเราะเสียงดังลั่นราวกับว่ากำลังดูการแสดงตลกขบขัน เมื่อทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงดังก็กรูกันเข้ามาจับตัวซัวหวาเอาไว้ แล้วแย่งเศษแจกันออกไปจากมือนางโดยที่ทาสสาวไม่ทันตั้งตัว
สวีเย่เผิงสาวเท้าเข้ามาอย่างอุ้ยอ้าย ดวงตากักขฬะจ้องอมองไปยังทาสสาวก่อนจะเหยียดริมฝีปากคว่ำลงอย่างดูแคลน
เผียะ!
สะบัดฝ่ามืออวบอ้วนตบลงบนหน้าหญิงสาวจนเป็นรอยริ้วปื้นแดง ซัวหวาหน้าหันไปตามแรงตบ ชาไปทั้งซีกหน้ากระนั้นดวงตาที่จ้องมองชายชราตรงหน้ากลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
“นังนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้าเล่นตัวกับข้า มัดนางไว้!”
ขุนนางเฒ่าสั่งทหารให้มัดมือนางทาสสาวขึงโยงไว้บนฟูกนอน หมายจะขืนใจชำเราทั้งแบบนี้ก็นับว่าเร้าใจไปอีกแบบ
“ปล่อย! ปล่อยข้า!”
ทหารสองนายออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงนางและขุนนางเฒ่าที่กำลังแลบลิ้นเลียริมฝีปาก พลางใช้สายตาลามเลียนางอย่างหื่นกระหาย ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตนเองออกทีละชิ้นๆ จนเปลือยล่อนจ้อนอนาถสายตา
แคว้ก!
“กรี๊ด!”
เสื้อผ้าของนางถูกฉีกออกจนเผยให้เห็นเรียวขาขาวราวกับผิวหิมะ มันใช้มือค่อยๆ ลูบก่อนจะก้มลงจูบแล้วใช้ลิ้นเลียช้าๆ
“ฮือๆ ปล่อยข้า! ปล่อยข้า!”
หญิงสาวขยะแขยงจนแทบอาเจียนออกมา นางร้องไห้หนักจนปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ หายใจติดขัดจนต้องอ้าปากหายใจ สติเริ่มเลือนรางลงทุกที
โครม!
ประตูบานใหญ่ถูกถีบอย่างแรงจนพังทลาย ชายร่างสูงปราดเปรียวเดินเข้ามาอย่างคุกคาม เขาสวมชุดดำ ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งด้วยผ้าสีดำ เผยให้เห็นเพียงแววตากร้าวที่มองชายชราบ้าตัณหาด้วยความชิงชัง
“เจ้าเป็นใคร! เข้ามาในนี้ได้ยังไง ทหาร! ทหาร!”
สวีเย่เผิงโวยวายเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาล ที่ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาขัดช่วงเวลาแห่งความสำราญของเขา
ฉัวะ!
กำลังจะอ้าปากโวยวายก็ถูกดาบยาวฟันคอจนขาดสะบั้น ศีรษะกลิ้งตกลงไปกองกับพื้น ในขณะที่ร่างอ้วนฉุยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นก่อนจะค่อยๆ ล้มหงายดังโครมใหญ่
ซัวหวาเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัวชายผู้ถือดาบสุดหัวใจ เขาสาวเท้าเข้าหานางแล้วแก้มัดเชือกที่ข้อมือออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตวัดผ้าห่มห่อร่างเกือบเปลือยของนางเอาไว้ แล้วรวบนางอุ้มพาดบ่าทันที