บทที่ 1 เปิดศึก (2/2)
หลินเหม่ยลี่เดินไปเกาะแขนผู้เป็นบิดา ด้วยใบหน้าประจบประแจงและนี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ของที่เป็นของนางมักจะถูกบิดาบังคับช่วงชิงไปให้กับหลินเหม่ยลี่เสมอ
“หมิงเอ๋อร์ บุตรีอนุไม่จำเป็นต้องประโคมเครื่องประดับชั้นดีให้มากมาย แต่พี่ของเจ้าเป็นสตรีที่ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล เจ้ายกเครื่องประดับพวกนั้นให้นางเสีย นี่คือคำสั่งของข้า”
ฮุ่ยเฟินลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้จันทร์ย่างกรายมาหยุดยืนเบื้องหน้าของหลินลี่หมิง พร้อมกับกระพือพัดในมือด้วยท่าทางใจเย็น
“คำก็อนุ สองคำก็อนุ ข้าไม่เห็นว่าพวกท่านจะดีเด่ไปกว่าท่านแม่ของข้าเท่าไหร่นักเชียว”
เพียะ
ใบหน้างดงามได้รูปของหลินลี่หมิงสะบัดไปตามแรงฝ่ามือของฮูหยินใหญ่ กลิ่นโลหิตที่ไหลซึมบริเวณปากส่งกลิ่นคาวไปทั่วโพรงปาก นางได้แต่กัดฟันนิ่ง ต้องมองใบหน้าของสตรีร้ายกาจอย่างไม่วางตา
ส่วนผู้เป็นบิดาก็ยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม ไม่มีการปกป้องนางแต่อย่างใด ข้างกายของท่านพ่อยังคงมีแต่หลินเหม่ยลี่
นัยน์ตาหวานสั่นวูบไหว จ้องมองใบหน้าขาวที่ถูกประทินโฉมด้วยชาดราคาแพงด้วยความขุ่นเคือง ฝ่ามือบางยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่ง
“หมิงเอ๋อร์ อย่านะลูก”
“ท่านแม่!”
เสียงของมารดาทำให้หลินลี่หมิงลดฝ่ามือลง ก่อนจะหันไปตามเสียงของมารดา ร่างผอมแห้งเดินเข้ามาในโถงโดยมีบ่าวประคอง
ซูลี่ เป็นอนุของหลินเฟยเทียน ผู้เคยมีรูปโฉมงดงามจนฮุ่ยเฟินอิจฉา ท่านแม่เคยเล่าให้นางฟังว่า ท่านพ่อของนางเป็นคนไปช่วงชิงท่านแม่มาจากคนรัก แต่พอท่านแม่ป่วยไข้จนซูบโทรมก็ไม่สนใจใยดีซ้ำยังยอมปล่อยให้ฮูหยินใหญ่รังแกเสียอีก
“ซูลี่ เจ้ามาก็ดีแล้ว เหตุใดถึงไม่สั่งสอนบุตรีของเจ้าเสียบ้าง”
ฮุ่ยเฟินเปิดปากขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของหลินเฟยเทียน
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่” ซูลี่ยอบกายให้กับฮุ่ยเฟินทำให้หลินลี่หมิงขัดใจไม่น้อย
“ท่านแม่ ข้าไม่ผิด เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”
“หากคุณหนูใหญ่อยากได้ เจ้าก็ให้นางไปเถอะนะ เชื่อแม่” สายตาอ่อนโยนของมารดา ทำให้หลินลี่หมิงใจอ่อน เพราะไม่อยากให้มารดาโดนลงโทษไปด้วย
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาเครื่องประดับของเจ้าให้ลี่เอ๋อร์แล้วพาแม่ของเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”
หลินเฟยเทียนเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ฮูหยินใหญ่จัดการอยู่นาน สายตาของเขาไม่แม้แต่จะชายตาแลมารดาของนางเลยด้วยซ้ำ และนั่นทำให้หลินลี่หมิงผูกใจเจ็บ
ด้วยความเป็นห่วงมารดา นางจึงยอมมอบเครื่องประดับที่นางหมายตาให้พี่สาวจอมมารยาด้วยความจำใจ หลังจากส่งมารดากลับเรือน หลินลี่หมิงก็เดินมายังเรือนม้าด้านหลัง เพื่อนำม้าคู่ใจออกไปท่องเที่ยวให้ผ่อนคลายอารมณ์ แต่ไม่วายที่เสียงเจื้อยแจ้วจะตามมายั่วยุอารมณ์ไม่หยุดหย่อน
“รู้ว่าตัวเองต้อยต่ำ ยังจะสาระแนมาต่อกรกับคุณหนูใหญ่เช่นข้า ลี่หมิงเอ้ยลี่หมิง ข้าสงสารเจ้ายิ่งนัก”
ร่างระหงเดินเข้ามาหานางถึงเรือนม้า เพื่อมาเยาะเย้ยหลังจากที่เหม่ยลี่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ทำให้หลินลี่หมิงกำบังเหียนในมือแน่น นางทั้งเกลียดและทั้งโกรธ จนเมื่อปลายหางตาเห็นร่างบอบบางของพี่สาวเข้ามาใกล้ความคิดดีก็ผุดขึ้นมา
ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้มขึ้นอย่างได้ที ก่อนที่นางจะกระตุกบังเหียนอย่างแรงเพื่อให้ม้าคู่ใจดีดฝีเท้าไปทางด้านหลัง
พลั่ก
อั่ก
แผละ
กรี้ดดดด
แรงดีดฝ่าเท้าของม้าคู่ใจส่งให้ร่างเล็กของหลินเหม่ยลี่ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตกลงสู่พื้นจนใบหน้างดงามปักลงบนกองมูลอาชาสดใหม่ที่ยังไม่แห้งดีเข้าเต็ม ๆ
เสียงกรีดร้องที่โหยหวนทำให้หลินลี่หมิงต้องยกฝ่ามือขึ้นปิดใบหูเอาไว้ ภาพเบื้องล่างทำให้นางหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
“ฮ่า เจ้าลืมไปแล้วกระมังเหม่ยลี่ว่าที่นี่เป็นเรือนม้า เจ้าไม่ควรเข้าใกล้มัน” เสียงหัวเราะของตัวเองทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
“เจ้า! เจ้าแกล้งข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ อี้ แหวะ”
หลินเหม่ยลี่ทำท่าทางพะอืดพะอม หลังจากที่ยกฝ่ามือขึ้นปาดมูลอาชาออกจากใบหน้า
“แล้วแต่เจ้า ถือว่าข้าใจดีให้เจ้าใช้พอกหน้าก็แล้วกัน เผื่อว่าใบหน้าของเจ้าจะได้หายหนาเสียบ้าง”
“สกปรกชะมัด!” หลินเหม่ยลี่นิ่วใบหน้าด้วยท่าทางขยะแขยงมูลม้าสุดแรง
“แต่ข้าว่ามูลม้านั่นสะอาดกว่าจิตใจของเจ้าอีกนะ”
“กรี้ด คอยดูนะข้าจะเอาคืนเจ้าลี่หมิง!”
หลินลี่หมิงควบอาชาออกมาจากเรือน ปล่อยให้พี่สาวต่างมารดาดิ้นเร่าจมกองมูลม้า ตะโกนคำด่ากราดไล่หลังมาด้วยความสะใจ คำว่าพี่น้องจะไม่มีเกิดขึ้นภายในตระกูลหลินอย่างแน่นอน
‘ร้ายมาร้ายกลับ ตาต่อตาฟันต่อฟัน’