บทที่ 17
ฮั่วหยุนเทียนมองดูท่าทางโกรธเคืองที่ดูน่ารักของมู่จิ่วซีแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“คุณหนูใหญ่มู่พูดจาได้น่าสนใจจริงๆ ”
“ท่านเชื่อหรือไม่ว่าหากท่านขายแพงกว่านี้อีกหน่อย คำพูดของข้าจะยิ่งน่าสนใจกว่านี้อีก ลาก่อน!” มู่จิ่วซีกลอกตา ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้แล้ว ถือยาแก้พิษแล้วจากไป
ฮั่วหยุนเทียนมองดูแผ่นหลังที่งดงามของนาง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไม่อาจคาดเดา
คุณหนูใหญ่มู่แห่งแคว้นเกาหยุนผู้นี้น่าสนใจจริงๆ
หวังว่าวิชาแพทย์ของนางจะสูงส่งเช่นเดียวกับฝีมือการบรรเลงขิม
มู่จิ่วซีออกจากหอดาวจันทร์ก็รีบกลับจวน แล้วไปยังเรือนส่วยหยุนเจียนของมารดาโดยตรง
ป้ายิงกำลังดูแลมารดาอยู่เพียงลำพัง ดวงตาของป้ายิงแดงก่ำ
“ท่านแม่” มู่จิ่วซีวิ่งเข้าไปนั่งลงข้างเตียงของมารดา
“ได้ยินว่าเจ้าออกไปกับเซ่อเจิ้งอ๋อง เหตุใดจึงกลับมาพร้อมกับเหงื่อท่วมตัวเล่า?” คำพูดที่อ่อนโยนของฮูหยินใหญ่ทำให้มู่จิ่วซีรู้สึกอบอุ่นในใจ
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” มู่จิ่วซีมองไปที่ป้ายิงแล้วเอ่ยขึ้น “ป้ายิง ท่านไปตุ๋นของบำรุงให้ท่านแม่หน่อย”
ป้ายิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วออกไปทันที
“ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้ว ป้ายิงก็รู้เช่นกัน” ฮูหยินใหญ่กล่าว “พ่อของเจ้าจับตัวป้าหวังไปขังไว้ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่เรือนของแม่อนุของเจ้า”
“ท่านพ่อเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?” มู่จิ่วซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “พ่อของเจ้าโกรธมาก ไม่คิดจริงๆ ว่าป้าหวังจะทำเช่นนี้ เฮ้อ”
“ท่านแม่ ป้าหวังบอกหรือไม่ว่าใครคือผู้บงการเบื้องหลัง?” มู่จิ่วซีรีบเอ่ยขึ้น
ฮูหยินใหญ่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ป้าหวังบอกว่า เป็นเพราะเมื่อตอนนั้นท่านยายของเจ้าสังหารน้องสาวของนาง นางจึงมาแก้แค้นแทนน้องสาว”
“นางมีน้องสาวจริงๆ หรือ?” มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นน้องสาวของนางยั่วยวนท่านตาของเจ้า ถูกท่านยายของเจ้าโบยจนตาย ตอนนั้นป้าหวังยังไม่ได้เข้ามาในจวน เพื่อแก้แค้นจึงเข้ามาเป็นสาวใช้ในจวน หลังจากนั้นก็ติดตามข้า และเป็นสาวใช้ที่ติดตามข้ามาตอนแต่งงาน”
มู่จิ่วซีขมวดคิ้ว หรือว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ? เป็นนางที่คิดมากเกินไปหรือ?
“ในเมื่อเป็นป้าหวังเองที่จะแก้แค้น นางมีโอกาสที่จะลงมือกับท่านตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงรอมานานถึงเพียงนี้? อีกอย่าง ข้าให้ป้าหวังไปเอาไม้กฤษณา เหตุใดนางจึงวิ่งไปที่เรือนของมู่หยางชุน?”
มู่จิ่วซีรู้สึกว่าป้าหวังไม่ได้พูดความจริง
สายตาของฮูหยินใหญ่หรี่ลงเล็กน้อย ตบหลังมือของมู่จิ่วซีเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า ครอบครัวสงบสุข ถึงจะเจริญรุ่งเรือง มู่หยางชุนเป็นบุตรชายคนเดียวของพ่อเจ้า”
“ท่านแม่ หลังจากที่ท่านคลอดข้าออกมาก็มีอาการป่วยเรื้อรังจนไม่สามารถมีบุตรได้อีก มันบังเอิญขนาดนั้นเชียวหรือ?”
มือของฮูหยินใหญ่กำแน่นขึ้นในทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกเล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งคิดมาก เรื่องนี้ยังไม่จบ ท่านกินยาแก้พิษก่อนเถิด” มู่จิ่วซีหยิบยาแก้พิษออกมา
“เจ้ามียาแก้พิษแล้วหรือ?” ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยความดีใจ
“เจ้าค่ะ แต่ถึงแม้จะมียาแก้พิษ ร่างกายของท่านก็ยังทรุดโทรมมาก หลังจากนี้ต้องบำรุงให้ดี” มู่จิ่วซีรู้สึกสงสารมารดาของเจ้าของร่างเดิมนี้
ฮูหยินใหญ่พยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะทำแน่นอน มีเจ้าและท่านพ่ออยู่ ข้าก็ไม่อยากจากไปเร็วเช่นนี้”
“ท่านแม่ ต่อไปท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว”
ฮูหยินใหญ่รู้สึกหนักอึ้ง จากนั้นก็พยักหน้า
หลังจากที่มู่จิ่วซีปรนนิบัติมารดาให้กินยาแก้พิษแล้ว ก็ไปหาบิดาของตนเอง
ด้านนอกห้องหนังสือ นางก็ได้ยินเสียงบิดาตะโกนดุด่าแม่อนุลู่เวยหย่าด้วยความโมโห
ข้างๆ ยังมีสองพี่น้องมู่เจินจูและมู่หยางชุนอยู่ด้วย
“ท่านพี่ หากท่านคิดว่าเป็นฝีมือของข้าจริงๆ ก็ลงโทษประหารข้าเถิด”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลู่เวยหย่าดังขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านสงสัยท่านแม่ได้อย่างไร ท่านแม่กับแม่ใหญ่เข้ากันได้ดีมาโดยตลอด ท่านแม่ดีกับมู่จิ่วซียิ่งกว่าดีกับข้าและหยางชุนเสียอีก หากนางคิดจะทำร้ายแม่ใหญ่ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย” มู่เจินจูร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ท่านทำเกินไปแล้ว หลายปีมานี้ เป็นท่านแม่ที่อดทนทำงานหนัก จัดการเรื่องราวทั้งหมดในจวนมาโดยตลอด ตอนนี้พอแม่ใหญ่เกิดเรื่อง ท่านก็ทำกับท่านแม่เช่นนี้ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” มู่หยางชุนกล่าวด้วยความโกรธเคือง
“หุบปาก!” ลู่เวยหย่าโกรธขึ้นมาในทันที “พูดกับบิดาของพวกเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร! นี่คือสิ่งที่ข้าสั่งสอนพวกเจ้าในยามปกติหรือ?”
“ท่านแม่ ท่านพ่อสงสัยท่านแล้ว ท่านยังจะ...” มู่เจินจูโกรธจนกระทืบเท้า
ลู่เวยหย่าส่งสายตาดุๆ ไปให้ ทำให้มู่เจินจูไม่กล้าพูดอีก
“ท่านพี่ ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อพี่หญิง ตอนนั้น เป็นเพราะพี่หญิง ข้าถึงได้มีวาสนาเข้ามาในจวนรับใช้ท่านพี่ ข้าจะวางยาพิษพี่หญิงได้อย่างไร หากท่านไม่เชื่อ ข้าขอยอมตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์เจ้าค่ะ”
ขณะพูด ลู่เวยหย่าก็ลุกขึ้นยืน แล้วพุ่งตรงไปที่เสาเพื่อจะชนในทันที
“เวยหย่า!” มู่เทียนซิงตกใจ รีบเข้าไปขวาง แต่ลู่เวยหย่าดูเหมือนจะตั้งใจแน่วแน่แล้ว จึงรวดเร็วมาก
เสียง “ตึง!” ดังขึ้น ศีรษะกระแทกเข้ากับเสา
“เวยหย่า!” มู่เทียนซิงร้องตะโกนด้วยความตกใจ รีบเข้าไปประคองร่างของลู่เวยหย่าที่ล้มลง
“ท่านแม่!” ทันใดนั้น ภายในห้องก็วุ่นวายไปหมด
“ท่านพี่ เวยหย่าไม่เคยคิดร้ายต่อพี่หญิง ชีวิตนี้ เวยหย่าได้ปรนนิบัติท่านพี่และพี่หญิง ถือเป็นวาสนาของเวยหย่า” ลู่เวยหย่าพูดจบก็หมดสติไป
“เวยหย่า!” คราวนี้มู่เทียนซิงร้อนใจแล้ว “เร็วเข้า รีบไปตามหมอเร็ว”
เขาอุ้มลู่เวยหย่าขึ้นมาแล้วก็วิ่งออกไปข้างนอก โดยไม่เห็นมู่จิ่วซีที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย
มู่เจินจูและมู่หยางชุนวิ่งตามออกมา มู่เจินจูร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
ทั้งสองคนออกมาก็เห็นมู่จิ่วซี
“มู่จิ่วซี! เจ้าใส่ร้ายท่านแม่ของข้าได้อย่างไร! ท่านแม่ดีกับเจ้ามากกว่าพวกเราเสียอีก เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร หากท่านแม่เป็นอะไรไป ข้าไม่ยอมจบกับเจ้าแน่!” มู่หยางชุนจ้องมู่จิ่วซีอย่างโกรธแค้น
“ทำไม? ตอนบ่ายยังเจ็บไม่พอหรือ?” มู่จิ่วซียิ้มเยาะ
“มู่จิ่วซี เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่หรือไม่!” มู่เจินจูพุ่งเข้ามาจะตบมู่จิ่วซี
มู่จิ่วซีเตะเพียงครั้งเดียว ก็เตะคนออกไปได้แล้ว
มู่เจินจูร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกับพื้น จากนั้นร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังลั่น
หูของมู่จิ่วซีแทบจะหนวกแล้ว ก้มหน้าลงมองนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น “หากเจ้าร้องไห้อีก ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นใบ้!”
มู่เจินจูตกใจจนรีบหุบปากทันที โกรธจนใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
“แม่ของเจ้าไม่ตายหรอก จะร้องไห้เหมือนไปงานศพหรือ?” มู่จิ่วซีพูดจบก็เดินจากไป
“เจ้า!” มู่เจินจูโกรธจนตัวสั่นเทา หันไปสบตากับมู่หยางชุน ในดวงตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความแค้นที่อยากจะฆ่ามู่จิ่วซี
มู่จิ่วซีรีบเดินมาที่สวนความฝันของแม่อนุ สาวใช้และบ่าวรับใช้ต่างก็วุ่นวายกันไปหมด
“ท่านพ่อ ให้ข้าดูอาการแม่อนุหน่อย” มู่จิ่วซีเดินไปที่หน้าเตียงแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางรู้สึกผิดและเป็นกังวลของบิดาของตน นางก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
แต่ลางสังหรณ์ของนางมักจะแม่นยำเสมอ รู้สึกว่าแม่อนุผู้นี้ทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบเกินไป
มู่เทียนซิงกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “พ่อก็แค่อยากจะถามให้แน่ชัด ไม่คิดเลยว่าแม่อนุของเจ้านาง...เป็นพ่อที่ไม่ดีเอง ไม่ควรสงสัยแม่อนุของเจ้า”
มู่จิ่วซีเห็นรอยแดงบวมขนาดใหญ่ตรงกลางหน้าผากของลู่เวยหย่า มุมปากกระตุกเล็กน้อย หากนี่เป็นกลยุทธ์ทุกข์กาย สตรีผู้นี้ก็โหดร้ายกับตัวเองมากทีเดียว
แต่มู่จิ่วซียังคงเชื่อในลางสังหรณ์ของตนเอง เพราะในชาติก่อนลางสังหรณ์ของนางได้ช่วยชีวิตนางไว้หลายครั้ง
“ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงอาภัพขนาดนี้” ป้าจ้าว สาวใช้ที่ติดตามลู่เวยหย่าเมื่อตอนแต่งงานเข้าบ้านร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา “หลายปีมานี้ ทุ่มเทเพื่อครอบครัวนี้อย่างสุดกำลัง แต่กลับถูกสงสัย นายท่าน ฮูหยินจะต้องเสียใจมากเพียงใด”
