9. เข้าใกล้
ทั้งคู่นั่งกันอยู่เงียบๆ โดยมีทหารยามเดินผ่านไปมาทำหน้าที่ของตน นัยน์ตาคมจ้องมองสตรีตัวน้อย ที่เอาแต่แหงนมองจันทราซึ่งมันกำลังผ่านพ้นเนินเขาขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วผืนป่าดูงดงามยิ่งนัก
“ข้ารู้สึกว่าวันนี้จันทราสวยกว่าปกติ คงเป็นเพราะมีเจ้านั่งอยู่ด้วยกระมัง” เสียงทุ้มอ่อนของแม่ทัพเอ่ยเบาๆ พอให้คนข้างกายได้ยินเท่านั้น ใบหน้างามเห่อร้อนขึ้นทันที แต่ยามนี้มืดแล้วคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่อาจจะมองเห็นได้
“….” คนตัวเล็กนั่งเงียบไม่รู้ต้องเอ่ยสิ่งใด
“เจ้าไม่ถามหรือว่าทำไม”
“ไยต้องถามเจ้าคะ จันทราก็สวยงามอย่างที่ท่านแม่ทัพเอ่ย ไม่เห็นผิดตรงไหน” คำตอบของนางดูราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ในใจนั้นเต้นตุบตับ เพราะต้องคอยบังคับเสียงไม่ให้สั่น เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้า
“หึ! งั้นหรือ” เขาตอบมาเพียงเท่านั้น เพราะพอจะจับพิรุธของคนตัวเล็กได้ จึงไม่อยากซักไซ้ให้เสียบรรยากาศ ยามนี้ได้อยู่กับนางตามลำพังถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แค่นี้เขาก็มีสุขแล้วหลังจากที่รอมานานถึงหกปี
“ดึกมากแล้วข้าน้อยขอตัวกลับไปพักก่อนนะเจ้าคะ”
“ข้าจะไปส่ง” ฟางเหยียนเอ่ย พร้อมกับลุกขึ้น เขายื่นมือให้คนน้องจับ แต่มู่หรานก็ดันตัวขึ้นเอง พร้อมกับทำที มองไม่เห็นมือของเขา
“ข้าน้อยกลับเองได้ ท่านแม่ทัพก็รีบไปพักเถอะนะเจ้าคะ บาดแผลท่านน่าจะยังไม่หายดี ควรจะพักผ่อนให้มากๆ” เสียงหวานเอ่ยขึ้น มันเจือปนความกังวลอยู่ไม่น้อย คนฟังก็ได้แต่ยิ้ม ก่อนจะเดินนำนางลงมาจากกำแพง สุดท้ายทั้งคู่ก็เดินกลับที่พักพร้อมกัน ต่างก็ไม่ได้พูดคุยสิ่งใดจนกระทั่งมาถึงจวนเจ้าเมือง ฟางเหยียนยืนอยู่หน้าห้องของมู่หรานแล้วในยามนี้ ซึ่งมันอยู่ติดกับห้องของเขา
“ฝันดีนะมู่หราน หากเป็นไปได้ก็ฝันถึงข้านะ”
เปลือกตาสวยโตขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีเข้าห้องของตน แล้วปิดประตูใส่เขาดื้อๆ ฟางเหยียนยกยิ้มให้กับท่าทางของคนน้อง ก่อนจะผละออกไปยังห้องของตน ซึ่งมีคนสนิททั้งสองรออยู่
“ท่านแม่ทัพยังไม่ได้ใส่ยาเลยนะขอรับ”
“เจ้าก็เอามาใส่สิ” เขาบอกก่อนจะนั่งลง สีหน้าก็ยิ้มแย้มจนคนสนิทต่างก็พากันยิ้มตาม
“หายไปนาน ไปที่ใดมาหรือขอรับ” จางลู่เอ่ยถามทันที เพราะคราแรกเขาก็จำเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้หากเป่ยซูไม่บอก
“นั่งชมจันทร์” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา ทำเอาคนสนิททั้งสองอดยิ้มตามผู้เป็นนายไม่ได้
“เสร็จแล้วก็ไปพักเถอะ ข้าก็จะนอนแล้ว”
“เช่นนั้นข้าน้อยทั้งสองขอตัวก่อนนะขอรับ” สองสหายคำนับผู้เป็นนาย ก่อนจะออกไปแล้วปิดประตูให้ ฟางเหยียนปลดชุดคลุมด้านนอกออก ก่อนจะคลานขึ้นเตียง ซึ่งวันนี้เขาคงหลับฝันดีมากเป็นแน่
สายของวันใหม่ มู่หรานและคนในสำนักคุ้มภัยก็เตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งมีเหล่าทหารและแม่ทัพภาคคอยยืนส่ง ฟางเหยียนมองดูร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างม้าก็พาให้ใจหาย เพราะไม่รู้มาก่อนเลยว่านางจะกลับไปวันนี้
“เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดจะเอ่ยลาข้าเลยสักนิด” เสียงตัดพ้อดังก้องอยู่ในใจ และสายตาเว้าวอนของแม่ทัพหนุ่มที่ส่งถึงสตรีตัวน้อยบนหลังม้า แต่นางกลับมีท่าทีเฉยเมย
“เดินทางปลอดภัยนะมู่หราน ทุกคนด้วย” เป่ยซูเอ่ย
“ขอบคุณใต้เท้า เอาไว้เจอกันที่เมืองหลวงนะขอรับ” จูเต๋อเอ่ยตอบ ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับมู่หราน ใบหน้างามตอบรับ ก่อนจะหันไปหาแม่ทัพหนุ่ม
“ยานี้ข้าน้อยฝากให้ท่านแม่ทัพด้วยนะเจ้าคะ”
“เจ้าช่วยเดินเอาไปให้เองได้หรือไม่” จางลู่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่านางหมายจะใช้เขา
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ฝากพี่น่ะดีแล้ว” เอ่ยจบก็ยัดขวดยาใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะเหยียบที่พักเท้าขึ้นหลังม้า
แต่เพราะแรงโน้มตัวเซไปด้านหน้า จึงทำให้สร้อยที่คอถ่วงน้ำหนัก แหวนหยกจึงหลุดออกมาให้เห็น พอนั่งบนบังเหียนเรียบร้อย มู่หรานก็รีบยัดแหวนกลับเข้าไปทันที
รอยยิ้มของแม่ทัพหนุ่มเผยออกมา แม้อีกฝ่ายจะไม่หันกลับมามองเขาเลยก็ตาม แต่ก่อนที่ม้าจะออกตัว แม่ทัพหนุ่มก็เดินมารั้งเชือกของมู่หรานเอาไว้
“รอข้านะ อย่าพึ่งออกเรือนกับผู้ใด” เขาบอกเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน ก่อนจะปล่อยเชือกให้คนตัวเล็กเช่นเดิม แก้มเนียนใสแดงปลั่งอย่างกับลูกตำลึง แต่ก็ไม่ตอบสิ่งใดกลับมาแม้แต่น้อย
ฟางเหยียนยืนมองกลุ่มของมู่หรานจนลับตา เขายังต้องอยู่ที่นี่ต่อ จนกว่าจะสรรหาเจ้าเมืองคนใหม่มาแทนที่ได้ อีกอย่างแคว้นจิ้งยังไม่ส่งสาส์นมายุติศึก เขาจึงต้องอยู่ดูแลความสงบจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แม้ว่าอยากจะตามคนตัวเล็กไปก็เถอะ แต่ด้วยหน้าที่แม่ทัพหนุ่มก็ไม่อาจปลีกตัวไปได้ในยามนี้
ผ่านมาสองวันแล้วหลังจากที่มู่หรานเดินทาง ทุกอย่างดูเงียบเหงาสำหรับแม่ทัพหนุ่ม มองไปทางไหนก็ดูอ้างว้างไร้ซึ่งชีวิตชีวา จนคนสนิทถึงกับหงอยตาม ก่อนนี้ยังเห็นยิ้มแย้มทุกวันแม้จะต้องออกรบฟาดฟันศัตรู
“ดูท่านแม่ทัพสิ ทำหน้าเหม็นเบื่อราวกับคนไม่มีวิญญาณ เห็นแล้วหายใจไม่ทั่วท้องเลย” เป่ยซูเอ่ยกับสหาย ที่รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่ไม่รู้จะช่วยได้เช่นไร กับอาการป่วยทางใจเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์
“ข้าก็หวังแค่ว่า มู่หรานจะไม่ตบปากรับคำแต่งงานกับใครไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพคงได้มีสีหน้าบูดบึ้งมากกว่านี้เป็นแน่” จางลู่เอ่ยขึ้นบ้าง
“พวกเจ้าจะนินทาข้าก็ให้มันเบาๆ หน่อย ไม่ใช่เอ่ยให้ได้ยินเช่นนี้” เสียงเย็นเฉียบดังขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับขนลุก
“ข้าน้อยจะออกไปดูที่กำแพงเมืองก่อนนะขอรับ” จางลู่เอ่ยก่อนจะเดินออกไปในทันที
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีสิ่งใดต้องทำหรือ”
“มีขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” เป่ยซูรีบหาทางเลี่ยงทันที เพราะฟังจากน้ำเสียงผู้เป็นนายดูท่าจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ต้องรีบชิ่งออกมาถึงจะรอดได้
“ป่านนี้เจ้าคงถึงเมืองหลวงแล้วสินะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเบาๆ แต่ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อ จางลู่ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ท่านแม่ทัพกลุ่มสำนักคุ้มภัยถูกลอบโจมตีขอรับ”
“อะไรนะ!! มู่หรานล่ะ นางอยู่ที่ใด”
“ไม่ทราบได้ขอรับ ท่านอาห่านมาแจ้งข่าว เขาบาดเจ็บมาก เห็นว่าคนเหล่านั้นน่าจะมาจากต่างแคว้น ไม่ทันได้ถามอะไรอีกก็สลบไปก่อน”
“จัดเตรียมหน่วยเกราะดำสิบคน ตามแม่ทัพซิงมาหาข้าด้วย” ฟางเหยียนรีบสั่งการ พร้อมกับลุกขึ้นมาแต่งกาย ไม่นานแม่ทัพภาคก็เข้ามา เขาจึงมอบหมายหน้าที่ต่อจากนี้ ก่อนจะออกไปสมทบกับคนของตนแล้วรีบออกตามหาคนที่หายไปทันที
“อย่าเป็นอะไรไปนะมู่หราน ข้ากำลังไปช่วยเจ้า”
ด้านคนที่ถูกโจมตียามนี้กำลังหลบอยู่ในป่าไผ่ ยังดีที่มีพงหญ้ารกทึบพอให้หลบได้บ้าง จูเต๋อบาดเจ็บที่ท้อง จึงทำให้หนีลำบาก ทั้งคู่เลยต้องหาที่ซ่อน ส่วนคนอื่นๆ กระจัดกระจายกันไป แต่ดูเหมือนคนร้ายจะเจาะจงที่ตัวมู่หราน
“หามันให้เจอ นายท่านรออยู่ที่ชายแดน ถ้าสามารถจับนางไปได้เราก็รวยแล้ว” เสียงเหี้ยมของหนึ่งในคนร้ายเอ่ยขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหา
“ข้าจะล่อพวกมันไปอีกทาง พี่รีบควบม้าเข้าเมืองไปเลยนะ อย่าได้ห่วงข้าเด็ดขาด”
“ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน”
“อย่าเรื่องมากนะ ถ้าไปด้วยกันพี่ก็คือภาระข้า”
“แต่!” จูเต๋อหมายจะท้วงอีกฝ่าย
“ข้าเอาตัวรอดได้พี่ก็รู้” นางเอ่ยเสียงเข้ม ทำให้คนพี่ต้องยอมรับคำ เพราะยามนี้เขาก็เป็นภาระจริงๆ นั่นแหละ แม้บาดแผลจะใส่ยาจนโลหิตหยุดไหลแล้ว หากยังอยู่ในสภาพนี้เขาก็คงไม่ไหวเป็นแน่ อีกไม่นานก็จะมืดแล้วด้วย
“เจ้าต้องระวังตัวนะ”
“ข้ารู้น่า” เอ่ยจบร่างเล็กก็ค่อยๆ ถอยออกไปทีละน้อย นางมองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นมีผู้ใดจึงวิ่งออกไป ไม่นานกลุ่มคนนับสิบก็กรูตามไปเช่นกัน
“มู่หราน” จูเต๋อเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะพยุงร่างกายของตนตรงไปยังม้าที่กลุ่มคนร้ายผูกเอาไว้ไม่ไกลจากที่ซ่อน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วที่มู่หรานหนีกลุ่มคนร้าย นางไม่ได้ไปไหนไกล แต่พาตนเองหนีวนเป็นวงกลมอยู่ในป่า เพื่อถ่วงเวลาเผื่อจะมีคนมาช่วยทัน ถึงจะเก่งกาจในยุคปัจจุบัน แต่นั่นคือมีปืนที่สามารถเอาชีวิตคนได้ในทันที แต่ถ้าจะให้ใช้ดาบนางก็ไม่อาจต่อกรกับคนจำนวนมากแบบนี้ได้ จึงจำต้องหาหนทางรอดด้วยการหลบเช่นนี้
“อ๊าก!!” เสียงร้องครวญครางดังเป็นระยะ เมื่อถูกลูกดอกที่มู่หรานยิงใส่ มันมีจำกัดจึงต้องหาจุดเล็งแม่นๆ และต้องพาตัวเองหนีให้ไวด้วย
“เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ เมื่อไหร่จะมีคนมาช่วยเนี่ยะ”
เสียงหอบเหนื่อยดังขึ้น ตอนนี้ลูกศรเหลือเพียงสองดอก ทำให้มู่หรานเริ่มหวั่นใจเพราะแสงสว่างที่มีมันกำลังจะเลือนหายไปแล้ว แน่นอนว่ามันต้องเป็นอุปสรรคต่อการยิง แต่น่าจะง่ายต่อการแฝงตัว
“เราคงต้องหาที่ซ่อนก่อน ไม่งั้นแย่แน่” เอ่ยจบนางก็มุดเข้าไปใต้โพรงรากไม้ ก่อนจะดึงกิ่งไม้มาปิดเอาไว้ ค่ำคืนที่เหน็บหนาวกำลังคืบคลานเข้ามา สองแขนกอดรัดตนเองเอาไว้ เพราะอาภรณ์นั้นไม่ได้หนามากมายอันใด เพราะยามกลางวันอากาศร้อน นางจึงสวมใส่เสื้อผ้าเบาบาง เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง
“หนาว ทำไมมันหนาวแบบนี้นะ” เสียงสั่นเครือดังขึ้นในโพรงไม้ ทำให้กลุ่มคนร้ายได้ยิน เพราะทั้งหมดกำลังควานหาแถวนี้พอดี ยิ้มร้ายจึงผุดขึ้น ก่อนจะดึงเอาพุ่มไม้ออก ร่างเล็กถูกลากออกมาทั้งที่ยังหลับอยู่ เพราะความเหนื่อยล้าที่มีมาก จึงทำให้นางไม่ทันได้ระวังตัว
“อ่ะ! ปล่อยนะ มาจับข้าทำไม”
“หึ! เจ้าไม่รู้หรือว่าตนเองมีค่ามากแค่ไหน”
“มีค่าอันใด ข้าก็แค่คนธรรมดาเท่านั้น”
“เสียเวลาพูดคุยทำไม จับตัวไป” หัวหน้าคนร้ายเอ่ยขึ้น พร้อมกับจับสตรีตัวน้อยมัดไว้ เพราะนางคงฤทธิ์มากพอดู กว่าพวกเขาจะหาเจอ ก็เล่นเอาเหนื่อยล้าจนแทบถอดใจ
ทั้งหมดเดินตรงมาที่ม้าของตน แต่ยังไม่ทันได้ปลดเชือกเลยสักตัว บางคนก็ถูกลูกศรพุ่งมาปักอกเสียก่อน เสียงควบมาดังมาท่ามกลางความมืด หากอีกฝ่ายไม่จุดคบเพลิงเอาไว้ ก็อาจจะยิงพลาดเป้าได้ แต่มือยิงอันดับหนึ่งอย่างฟางเหยียนอย่างไรก็คงไม่พลาดยิงถูกสตรีตัวน้อยเป็นแน่ เพราะแสงสว่างจากแหวนหยกเขียว มันทำให้เขารู้ว่านางยืนอยู่ตรงไหน
“หาที่หลบเร็ว” เสียงหนึ่งในคนร้ายพูดขึ้น ก่อนจะปล่อยมือจากมู่หราน ทำให้นางวิ่งไปยังผู้ที่เข้ามาช่วย ท่ามกลางความมืด ร่างสูงกระโดดลงจากม้าทันที เขาตรงเข้ามาโอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า” เขาถามทันที ยามนี้มู่หรานอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม โดยที่แขนยังถูกมัดไปด้านหลัง แต่ใบหน้านั้นก็ซบอยู่ที่อกแกร่ง หัวใจดวงน้อยพองโตคับอก ดีใจที่เขามาช่วยทัน
“เจ็บแขน” นางเอ่ยบอกเสียงเบา พร้อมกับกะพริบตาถี่ เมื่ออีกฝ่ายดันร่างนางออก
“ขะ ขอโทษ มาข้าจะแกะให้” เชือกถูกแก้ปมในทันที ก่อนที่เขาจะลูบลงยังแขนเล็กเบาๆ
“ไม่เจ็บแล้วนะ ข้าดีใจที่เจ้าปลอดภัย” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยอีกครั้ง ก่อนจะสวมกอดนางไว้อีก สองแขนเล็กยกขึ้นหมายจะกอดตอบ แต่ก็วางลงแนบตัวเช่นเดิม