ชะตารักข้ามมิติ

87.0K · จบแล้ว
หลินซี
31
บท
38.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"พบเจอสามครามิแยกจาก" เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคู่ชีวิตอยู่ที่ไหน เมื่อพบกันคราหนึ่งแล้ว ขอเจอเจ้าอีกได้หรือไม่ ถึงยามนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอีกเป็นอันขาด ใครจะคิดล่ะว่าคำพูดเขามันจะทำให้ทุกอย่างวนมาอีก

นางเอกเก่งโรแมนติกรักหวานๆนิยายรักโรแมนติกแม่ทัพจีนโบราณข้ามมิติ18+เกิดใหม่รักแรกพบ

1. เชื่อมมิติ

ยุคปัจจุบัน

“จงหยวนแกไปทางนั้น ฉันจะไปอีกด้าน ขืนอยู่แบบนี้เอาชีวิตไม่รอดแน่” เสียงหอบเหนื่อยดังขึ้น เพราะหนีการตามล่าของอีกฝ่ายมาจนถึงเขตชายแดน แต่ยิ่งเข้าใกล้ฝั่งตัวเองมากแค่ไหน ก็ดูเหมือนคนจากอีกฝ่ายจะมากขึ้น

“จะบ้าเหรอ กระสุนก็เหลือไม่กี่นัด ถ้าแยกกันก็ยิ่งอันตรายน่ะสิ” เพื่อนสนิทตอบกลับทันที

“แต่ตอนนี้ถ้าไปคู่เราไม่รอดแน่” ทั้งคู่ยังคงถกเถียงกัน ท่ามกลางความมืดของผืนป่า มู่ชิงคือหมอทหารของหน่วยหยกเพลิง ทีมรักษาดินแดนของประเทศ ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดสงครามใหญ่ ซึ่งมันมีมานานนับปีแล้ว

“อย่ามัวพูดมากเลย เราแยกกันตรงนี้แหละ ถ้าไม่ตายเราคงได้เจอกันอีกนะจงหยวน” เสียงสั่นเอ่ยบอก เธอไม่อยากเป็นภาระให้อีกฝ่าย เพราะตอนนี้ถูกยิงเข้าที่ช่วงท้อง

เลือดในตัวกำลังไหลออกมา ยังไงก็ไม่มีทางรอดไปได้แน่ คนเป็นหมอต้องรู้อาการของตัวเองดี ร่างเล็กในชุดทหารผละตัวออกมาอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเพื่อนสนิทเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเขามีครอบครัวที่รออยู่ต่างจากเธอ ตายไปก็ไม่เสียดายถ้าได้ช่วยให้เพื่อนรอด นั่นคือสิ่งที่มู่ชิงคิด

“มันอยู่ทางนั้นตามไป” เสียงตะโกนของกลุ่มทหารนับสิบ พุ่งตรงไปทิศทางเดียวกัน ทำให้คนที่แอบซุ่มอยู่พาร่างที่บาดเจ็บกระเสือกกระสน ออกจากที่ซ่อนตรงไปยังชายแดนของตัวเอง

“ขอบใจนะมู่ชิง ฉันขอให้แกปลอดภัยเหมือนกัน” ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างที่พูด แต่เขาก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะรอดเหมือนกัน

ร่างเล็กตะเกียกตะกายพาตัวออกมาจนสุดทาง สุดท้ายก็จนมุมที่หน้าผา พร้อมกับกลุ่มคนนับสิบที่เล็งปืนใส่ เธอทรุดอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง

“หึ! เป็นผู้หญิงซะด้วย อยากมีผัวก่อนตายไหมน้อง” หนึ่งในศัตรูพูดขึ้น ก่อนที่เสียงหัวเราะจะตามมา

“ฉันยอมตายดีกว่าจะมีผัวแบบพวกแก” เธอยังคงแผดเสียงใส่ พร้อมกับเล็งปืนมาที่พวกเขา ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือด มือไม้สั่นเทาไร้เรี่ยวแรง

“ฮ่าฮ่า จะตายอยู่แล้วยังปากดีอีก”

“เฮ๊ย!!นั่นอะไรวะ!!” เสียงร้องเอะอะดังขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงฟาดฟันของดาบ ซึ่งมันอยู่ทางด้านหลังของพวกเขาในยามนี้ มู่ชิงมองดูชายหนุ่มแต่งตัวด้วยชุดนักรบโบราณอยู่นิ่งๆ เธอคิดว่าตอนนี้คงใกล้ตายแล้วถึงได้เห็นภาพแบบนี้ ยิ้มบางๆ เผยออกมาก่อนมันจะเลือนหายไป

ยุคโบราณ

“ท่านแม่ทัพระวังขอรับ” เป่ยซูร้องเรียกผู้เป็นนาย เมื่อเห็นฝ่ายศัตรูกำลังถือทวนพุ่งเข้ามา โดยที่แม่ทัพหนุ่มกำลังรับดาบจากอีกคนอยู่ แต่ร่างคนทั้งสามที่หมายจะเอาชีวิตเขา กลับล้มลงสิ้นใจตายไม่ทราบสาเหตุ

ในขณะนั้นเองเขาก็มองเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าผา พร้อมกับเสียงดังสนั่นก้องไปทั่ว ก่อนที่ร่างนั้นจะเซเพราะแรงปะทะจนต้องตกผาไป ซูฟางเหยียนจดจำภาพตรงหน้าได้ดี เขาแน่ใจว่านางคือคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ก่อนที่ภาพทุกอย่างมันจะเลือนหายไปต่อตา ร่างสูงวิ่งมายังหน้าผามองไปเบื้องล่าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏ

“มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่จางลู่” เป่ยซูหันมาหาสหายทันที

“ข้าเห็นทุกคนก็เห็นนั่นแหละ ท่านแม่ทัพ?” จางลู่หันมาหาผู้เป็นนาย

“นางช่วยข้า จนตัวตาย คนเหล่านี้คงเป็นผู้ที่อยู่อีกมิติอย่างที่ท่านยายเคยเอ่ย” แม่ทัพหนุ่มบอกออกมาเบาๆ

“มันมีจริงหรือขอรับ”

“เจ้าก็ช่างถาม ลืมไปแล้วหรือบรรพบุรุษท่านแม่ทัพเป็นใคร” เป่ยซูท้วงสหายทันที

“หากนางหลุดมาอยู่ในยุคของเราเช่นท่านยายก็คงดีข้าจะปกป้องนาง ไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายได้เช่นนี้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นบนหน้าผาสูงชัน

ห้าเดือนต่อมา

ทุ่งหญ้าที่เคยเขียวขจียามนี้มันแปลเปลี่ยนเป็นทะเลโลหิตสีแดงฉาน ทุกย่างก้าวดูน่ากลัวยิ่งนัก ร่างของเหล่าทหารบาดเจ็บล้มตายนอนเกลื่อนอยู่ทั่วทุกพื้นที่ สงครามครานี้คร่าชีวิตผู้คนไปมาก สองแคว้นห้ำหั่นกันมานานนับปียังหาผู้ชนะไม่ได้ ต่างก็สูญเสียไพร่พลไปมาก

แต่วันนี้ทั้งสองฝ่ายยื่นสาส์นขอสงบศึก เพราะยามนี้เป็นฤดูเหมันต์ ความหนาวเหน็บมาเยือน เหล่าทหารต่างก็ไม่มีแรงต่อสู้ จึงเป็นการดีที่จะสงบศึกกัน เมื่อสองแคว้นเห็นพ้องจึงได้ลงนามสัญญา โดยมีอนุชาของฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ เป็นผู้แลกเปลี่ยนสาส์นในครานี้

“ฝากขอบพระทัยฮ่องเต้ ที่ยินยอมลงนามในครานี้”

ซานหลงเอ่ยขึ้น พร้อมกับคำนับอีกฝ่ายที่อายุมากกว่า แต่คนตรงหน้ากลับเอ่ยถ้อยคำต่างกัน

“หึ! เอาไว้เจอกันอีกสองปีข้างหน้าเถอะ” เสียงหยันเปล่งออกมา ก่อนจะเดินผละออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

ที่ไม่อาจทำศึกต่อไปได้อีก ทั้งที่เขาตีพ่ายมาสองเมืองแล้วแท้ๆ แต่ฝ่ายนั้นดันส่งสาส์นสงบศึกเสียก่อน ทำให้ต้องถอยทัพกลับ โดยได้รับสองเมืองเป็นของกำนัล แต่ก็ไม่เป็นที่พอใจของอ๋องจงไห่

“ท่านอ๋องจะเสด็จกลับเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่าย ซึ่งมีท่าทางฉุนเฉียวไม่น้อยกับการหย่าศึกครานี้ เพราะจงไห่เป็นบุรุษกระหายสงคราม

“หึ! จะให้ข้าอยู่ทำไมในเมื่อไม่ได้ทำศึกแล้ว” เขาตอบเสียงดุดัน ก่อนจะเดินออกไปจากกระโจมเพื่อตรงเข้าเมือง

“ท่านแม่ทัพคนของเราจัดการส่งศพของเหล่าทหารกลับบ้านตามคำสั่งแล้วขอรับ”

“อืม อย่าลืมค่าชดเชยขอเบิกกับกรมคลังด้วยล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รูปร่างของเขาสง่างามสูงโปร่ง สวมใส่ชุดเกราะดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มรูปงามเป็นที่หมายปองของสตรี

“แล้วท่านแม่ทัพจะกลับเลยหรือไม่ขอรับ”

“ยังก่อน ข้าอยากตรวจดูความเสียหายของราษฎรเสียก่อน ถอยกองทัพกลับไปรอที่ค่ายเถอะ”

“ขอรับ” นายกองรับคำ ก่อนจะเดินออกไป

“ข้าน้อยออกไปเตรียมม้าเลยนะขอรับ” เป่ยซูเอ่ยกับผู้เป็นนาย อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ แม่ทัพหนุ่มจึงจัดการเปลี่ยนชุดเช่นชาวบ้านทั่วไป แต่ก็ยังปิดความสง่างามของคนวัยหนุ่มไม่ได้ เขาออกเดินทางกับคนสนิททั้งสอง

“นายน้อย พักที่นี่ก่อนดีหรือไม่” จางลู่เอ่ยกับผู้เป็นนาย หลังจากเดินทางมาจนพลบค่ำ

ซูฟางเหยียนมองดูศาลาพักม้าที่ทรุดโทรมก็พาให้ถอนใจยาว เพราะดูท่าคงจะไม่มีใครผ่านทางมานานแล้ว ก่อนที่คนสนิทจะก่อกองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยของคนใกล้เข้ามา

“ผู้ใดกันมาก่อไฟแถวนี้” เสียงแหบพร่าของยายแก่ดังขึ้น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาแสงไฟที่ส่องสว่าง

“พ่อหนุ่มมาจากไหนกันหรือ”

“พวกเรากลับจากรบกับแคว้นเหวินท่านยาย จะไปที่ใดหรือขอรับ ค่ำมืดเช่นนี้แล้ว” เป่ยซูเอ่ยถามทันที

“ยายพึ่งกลับมาจากไปเก็บผักที่สวนด้านโน้น กำลังจะกลับเรือนนี่แหละ ว่าแต่กินอะไรกันหรือยัง” นางเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน เพราะเห็นว่าบุรุษทั้งสามเป็นทหาร

“เอ่อ เรากินผลไม้ไปบ้างแล้วล่ะท่านยาย ข้ารู้ว่ายามศึกเช่นนี้ชาวบ้านต่างก็ลำบาก เราไม่ขอรบกวนหรอก”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เรามีอาหารมากพอ ไปเถอะ ตามยายมา” นางเจียงเอ่ยบอกกับบุรุษทั้งสาม

“นายน้อยเอาอย่างไรดีขอรับ”

“เจ้าเชื่อหรือว่าค่ำป่านนี้นางจะออกมาเก็บผัก ในมือก็ไม่มีสิ่งใดเลยสักนิด” ฟางเหยียนเอ่ยกับคนของตน

“จริงด้วย” เมื่อคิดได้ดังนั้นทั้งสามก็กระชับดาบในมือ ก่อนจะตั้งตารอผู้ที่คิดร้าย และไม่ถึงอึดใจก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมาจนได้

“หึ! ต่อให้พวกเจ้ารู้ทัน ก็ไม่มีทางรอดได้หรอก” เสียงที่เคยแหบพร่าแปลเปลี่ยนเป็นดุดันเย้ยหยันทันที

“หากข้าโง่เขลาถึงเพียงนั้น พวกเจ้าก็คงสังหารข้าได้ตั้งแต่สองปีก่อนแล้วกระมัง” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยหยันกลับไปบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับขบกรามแน่น ก่อนจะสั่งให้คนของตนโจมตีทั้งสาม อาวุธลับถูกยิงออกมา

คนที่เหนื่อยล้าเพราะการศึกและยังไม่ได้หยุดพักจากการเดินทาง ทำให้ทั้งสามพลาดพลั้งเสียทีจนบาดเจ็บ แต่โชคยังดีที่มีขบวนของคนคุ้มภัยผ่านมาช่วย เพราะรู้จักกับแม่ทัพผู้นี้ดี การปะทะกันจึงเกิดขึ้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ

“ท่านแม่หมอบลงเจ้าค่ะ” เด็กน้อยวัยสิบขวบเอ่ยบอกมารดา ซึ่งทั้งสองขอติดขบวนมาด้วยเพื่อเดินทางไปเมืองหลวง แต่ดันมาเจอการฆ่าฟันกันเสียก่อน

“อย่าออกจากที่ซ่อนเชียวนะพวกเจ้า” ผู้คุมรถลากเอ่ยขึ้น ก่อนจะชักดาบออกไปต่อสู้กลับกลุ่มคนเหล่านั้น ดวงตาสวยจ้องมองภาพเบื้องหน้าโดยไม่ตื่นกลัว

“ไยถึงฆ่ากันอย่างกับผักปลาเช่นนี้นะ” เด็กน้อยคิดในใจ นางไม่ได้ตื่นกลัวเช่นมารดาที่กอดรัดตนเอาไว้ ดวงตาสวยมองไปยังร่างสูงซึ่งบาดเจ็บจนทรุดลงที่พื้น ดูท่าอีกฝ่ายคงอยากให้เขาตายวันนี้ให้ได้

แม่ทัพหนุ่มถอยหนีไปยังต้นไม้ใหญ่ เพราะมียอดฝีมือถึงสองคนหมายจะเอาชีวิต คนอื่นๆ ก็ถูกต้อนไปอีกด้าน ทำให้ยามนี้คนที่บาดเจ็บสาหัสถึงกับหมดแรง เป็นโอกาสให้อีกฝ่ายห้ำหั่นเขาให้ตายคามือ

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ลูกศรพุ่งมาปะทะร่างของสองมือสังหาร โดยที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด เพราะคนที่ยิงออกไปถูกดึงลงมาหลบข้างรถลากอีกครั้ง

“มู่หรานเจ้าไม่กลัวตายเลยหรือ”

“ท่านแม่ คนผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพนะ เขาบาดเจ็บเพียงนั้น จะปล่อยให้ตายไปต่อหน้าได้เช่นไร ข้าจะออกไปช่วย ท่านนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” เด็กน้อยเอ่ยกับมารดา ก่อนจะหอบเอาลูกธนูติดมือมายืนบนรถลาก

ชายผ้าพัดปลิวไปตามแรงลม แม้จะแต่งกายมอซอเนื้อตัวมอมแมม แต่ท่าทางของมู่หรานก็สง่างามนัก เด็กน้อยวัยสิบขวบยิงธนูไม่พลาดเป้าสักดอก จนกลุ่มคนเหล่านั้นบาดเจ็บและพากันล่าถอยไปในที่สุด

มู่หรานกระโดดลงจากรถลาก ก่อนจะตรงเข้าไปหาร่างสูงซึ่งนั่งพิงต้นไม้มองนางอยู่ มือเล็กกดลงที่แผลซึ่งมีโลหิตออกมากจนน่ากลัว แต่นางกลับไม่มีท่าทางนั้นเลยสักนิด

“ยานี้แสบหน่อยนะเจ้าคะ แต่มันห้ามโลหิตได้” เอ่ยจบมือเล็กก็รั้งเสื้อของแม่ทัพหนุ่มลง เขามีสติดี และมองทุกการกระทำของนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อผงยานั้นถูกโรยลงที่บาดแผล มือแกร่งคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กทันที พร้อมกับนัยน์ตาแดงก่ำที่จ้องมองมา

“อ่ะ! ข้าเจ็บนะ”

“ขะ ขอโทษ” เขาเอ่ยได้แค่นั้นก่อนจะหมดสติไป

“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ” เป่ยซูรีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายทันที ก่อนจะหันมาหาเด็กน้อย

“ข้าน้อยแค่ใส่ยาห้ามโลหิตให้เท่านั้นนะเจ้าคะ”

“ขอบใจเจ้า ขอบใจประมุขเฉินที่ยื่นมือมาช่วยในครานี้ขอรับ” จางลู่เอ่ยกับผู้ที่เข้ามาช่วย

“อย่ามัวแต่ชักช้าอยู่เลย รีบออกเดินทางกันเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ยามนี้พาท่านแม่ทัพไปหาหมอเสียก่อน เจ้าสองแม่ลูกขึ้นไปนั่งบนรถม้าเถอะ เผื่อเกิดการโจมตีขึ้นอีกจะได้มีที่กำบัง ว่าแต่เจ้าตัวแค่นี้ฝีมือดีกว่าคนของข้าเสียอีกนะ” เฉินจีหรงเอ่ยกับเด็กน้อยที่เขาให้ติดขบวนมาด้วย พร้อมกับมองอย่างเอ็นดู 

# ฝากกดใจติชม เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ