2.ชะตาลิขิต
ขบวนออกเดินทางอีกครั้ง โดยที่คนเจ็บก็รักษาตัวอยู่บนรถม้าและรถลาก คนที่เหลือก็บังคับม้าคอยระแวดระวังภัย จนกระทั่งถึงเมืองใกล้เคียง แม่ทัพหนุ่มจึงได้รับการรักษา ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะจำเป็นสักเท่าใดนัก
เพราะมู่หรานจัดการเย็บบาดแผลให้อย่างดี แม้มันจะไม่ได้สวยงามมากมายอะไร แต่สำหรับในยุคที่ยังไม่มีหมอทำเช่นนี้ ก็ถือว่าดีกว่าปล่อยให้มันปริออก
“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะไม่มีผลอันใด” เป่ยซูเอ่ยถาม เพราะเขาเองก็ถูกจับเย็บตรงช่วงแขนเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง วีธีนี้จะช่วยสมานแผลได้เร็วขึ้น แต่ต้องตัดเส้นไหมก่อนที่แผลจะหาย สักห้าวันก็ตัดได้เลย”
“ห้าวันหรือ แผลสดใหญ่เพียงนี้ ห้าวันก็จะหายดีหรือ” รองแม่ทัพยังคงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ใช่ แค่ห้าวัน” เสียงใสตอบกลับมา
“ว่าแต่ เจ้าไปเรียนมาจากที่ใด หรือท่านน้าสอนนาง”
เขาหันมาถามมารดาของมู่หราน ซึ่งดูเหมือนนางเองก็ไม่รู้จะตอบเช่นใด ตั้งแต่เด็กบุตรสาวไม่ได้เฉลียวฉลาดเช่นนี้ เป็นคนเอาแต่ใจขี้โวยวาย แม้แต่โลหิตเพียงหยดนางก็ยังหวีดร้องลั่นบ้าน แต่ยามนี้กลับใช้มือกดโลหิต อีกทั้งยังยิงธนูเป็นด้วย ราวกับไม่ใช่บุตรสาวของตนเสียอย่างนั้น
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่รู้เจ้าค่ะใต้เท้า มู่หรานคงไปจำผู้อื่นมากระมัง ท่านก็อย่าได้เชื่อคำพูดของนางนักนะเจ้าคะ” เหม่ยลี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาดุให้บุตรสาว
มู่หรานเลยได้แต่ยิ้มแหยออกมา เพราะดันอวดความรู้ที่มีเสียจนผู้คนสงสัย เพราะวัยแค่นี้มันดูรู้มากเกินไปจริงๆ ยามนี้เลยได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้ผู้ใหญ่พูดคุยกัน
“เราจะพักกันที่นี่ก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น” ประมุขเฉินเอ่ยบอกสองแม่ลูก
“ขอบคุณนายท่านที่ให้เราพักในโรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ” เหม่ยลี่กล่าวกับอีกฝ่ายทันที
“เรื่องนั้นไปขอบใจคนของท่านแม่ทัพเถอะ เขาเป็นคนจัดการ หาใช่ข้าไม่”
“เช่นนั้นมู่หรานขอเข้าไปดูท่านแม่ทัพได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ ไปพร้อมข้าเลย” จางลู่เอ่ยบอกก่อนจะจูงมือเด็กน้อยเดินเข้าไป ซึ่งยามนี้ฟางเหยียนรู้สึกตัวแล้ว
“ขอบใจเจ้านะเด็กน้อยที่ช่วยข้าไว้”
“ท่านแม่บอกว่าทหารปกป้องบ้านเมืองให้สงบสุข ข้าช่วยท่านก็เหมือนช่วยราษฎรแคว้นซ่ง” เสียงใสตอบกลับไป ก่อนจะยิ้มหวานส่งให้ หน้าก็ยังดูมอมแมมทั้งยังมีกลิ่นตัวตุๆ เพราะเสื้อผ้าไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวันแล้ว
แต่แม่ทัพหนุ่มก็มองนางอย่างเอ็นดู พร้อมกับบอกให้คนของตนเอาเงินให้สองแม่ลูกเพื่อเป็นการตอบแทน เด็กน้อยปฎิเสธทันที แต่มารดากลับรีบคว้าเอาไว้ เพราะถูกไล่ออกจากเรือนไม่มีเงินติดมาเลยสักสลึง
“ท่านแม่” มู่หรานส่งเสียงเรียกมารดา เพราะไม่ได้ทำเพื่อสินน้ำใจ แต่คนเป็นแม่ก็เดินออกจากห้องไปเสียแล้ว
“รับไว้เถอะ อย่างน้อยก็ไปซื้ออาภรณ์ใหม่ใส่ หรือไม่ก็ไปแช่บ่อน้ำร้อน ที่นี่มีอยู่หลายแห่งนะ”
“ชิ! ท่านจะบอกว่าข้าน้อยตัวเหม็นล่ะสิ ก็ได้เราจะรับไว้ ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านหายไวไวแล้วกันนะ” เด็กน้อยเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อตามหามารดา
“คำพูดคำจาดูไม่เหมือนเด็กสิบขวบเลยนะขอรับ” คำของคนสนิท ใช่ว่าแม่ทัพหนุ่มจะไม่คิดตาม แต่ยามนี้เขาเหนื่อยเพราะพิษบาดแผล จึงผล็อยหลับไปอีก
รุ่งสางของวันใหม่ขบวนคุ้มกันสินค้าก็เตรียมตัวออกเดินทาง เพราะมีทหารของจวนเจ้าเมืองมาเฝ้าที่นี่แล้ว ทุกคนเข้ามาบอกลาแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งมีมู่หรานยืนอยู่ด้วย แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป ฟางเหยียนก็เอ่ยเรียกนางเสียก่อน
“มู่หราน ข้ามีอะไรจะให้เจ้า” เสียงแหบพร่าดังขึ้น
“แบมือสิ สิ่งนี้ข้าให้เจ้าเก็บไว้ ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ ให้ไปหาข้าที่จวน แล้วส่งสิ่งนี้ให้พ่อบ้าน เขาจะช่วยเจ้าทุกอย่าง แม้ตัวข้าจะไม่อยู่”
แหวนหยกสีเขียวถูกวางลงพร้อมกับเชือกห้อยคอ เพราะแม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่ามู่หรานไม่มีทางใส่แหวนได้ในยามนี้ เด็กน้อยกำสิ่งของในมือแน่น ก่อนจะยิ้มส่งให้แล้วโบกมือลาเขา ซึ่งนอนมองนางเดินออกไปจนลับตา
หลังจากรักษาตัวครบห้าวัน เป่ยซูก็ตัดไหมให้เจ้านาย ซึ่งยามนี้แผลนั้นประกบกันหายดีแล้ว หากเป็นแต่ก่อนคงต้องนอนซมอยู่บนเตียงเป็นแน่
“แผลปิดสนิทดีเหลือเกินขอรับ มู่หรานฝีมือดีจริงๆ”
“นั่นสิ น่าเสียดายนะขอรับ หากรับนางเอาไว้เสียเอง เราคงมีผู้ช่วยดีๆ เพิ่มอีก” เสียงชื่นชมของจางลู่ดังขึ้น
“นางอาจจะไม่มีชะตาเกี่ยวพันกับเรามากกว่านี้ก็ได้ แต่ถ้าวันใดที่ข้าพบมู่หรานอีก ข้าจะไม่มีทางให้เด็กผู้นี้เดินจากไปอีกเป็นแน่” ฟางเหยียนเอ่ยเสียงหนัก คำพูดที่เปล่งออกมานั้นล้วนแต่ออกมาจากใจแม่ทัพหนุ่ม เพราะเขาคิดเช่นนั้นจริง บางสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตาของมู่หราน มันมีบางอย่างดึงดูดเขา และภาพจำเมื่อห้าเดือนก่อนก็ผุดขึ้น
“เป็นเจ้าหรือเปล่าสตรีที่เคยช่วยข้า หากชะตาฟ้าลิขิตให้เราได้เจอกันอีกครา ข้าจะถือว่าสวรรค์ส่งเจ้ามาให้ข้าแล้วกัน” แม่ทัพหนุ่มคิดในใจถึงใบหน้าที่เลือนลางของใครบางคนในความทรงจำ ภาพของนางผู้นั้นและเด็กน้อยช่างคล้ายคลึงกัน ท่าทางการยืนอันสง่างามคือสิ่งที่เขาจำได้ถนัดตา และไม่เคยลืมเลือนมันไปเลย
ด้านขบวนคุ้มภัยเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว สองแม่ลูกได้เข้าพักอยู่ที่เรือนของประมุขเฉิน จนกว่าจะหาบ้านได้ มู่หรานจึงได้มีโอกาสเจอเพื่อนใหม่ แต่ทุกคนก็ไม่ได้ต้อนรับเด็กบ้านนอกเช่นนางนัก
แต่มู่หรานหาได้สนใจไม่ เพราะนางไม่ใช่เด็กสิบขวบอย่างที่เห็น ผู้ที่อาศัยร่างนี้อยู่ไม่ได้เป็นคนในยุคสมัยนี้ แต่เป็นมู่ชิงที่เชี่ยวชาญทั้งการสู้และรักษา ตอนตกผาลงมามันเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับในยุคนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มู่หรานตัวจริงถูกคนของฮูหยินรองจับโยนลงผา จุดเดียวกันกับมู่ชิง ถูกกระหน่ำยิงตก ทำให้สองขั้วมิติสลับกัน
แต่คนในยุคปัจจุบันตายทันที ต่างจากร่างของมู่หรานที่จมน้ำลงไป และตะเกียกตะกายช่วยตนเอง ก่อนจะจมลงสิ้นใจในที่สุด แต่มู่ชิงยังไม่รู้ว่าตนนั้นเหลือแต่วิญญาณแล้ว ดันทะลุข้ามมิติมาอีกยุค จึงคิดจะช่วยเด็กน้อยในน้ำขึ้นมา แต่พอสัมผัสตัวอีกฝ่ายร่างกายกลับถูกดูดเข้าไป
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ยามนี้ผู้ที่อยู่ในร่างคือสตรีอายุยี่สิบสี่ หาใช่เด็กสิบขวบอย่างที่เห็น ความสามารถจึงมีมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน อีกทั้งยังมาจากอนาคตนางจึงเฉลียวฉลาดมากกว่าหลายร้อยเท่า
“มู่หราน แม่ถามเจ้าหน่อยเถอะ เจ้าไปฝึกเรื่องพวกนี้ตอนไหนกัน” เสียงของมารดากดต่ำราวกับว่ากำลังบังคับ ยามนี้เด็กน้อยหน้าตาสะอาดหมดจด อาภรณ์ที่สวมใสก็เปลี่ยนใหม่ เผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกปิดบังเอาไว้
“ท่านแม่กังวลสิ่งใดหรือเจ้าคะ ไม่ดีหรือที่ข้ามีความสามารถเช่นนี้” นางเอ่ยถามเสียงเบา เพราะกลัวว่ามารดาจะตำหนิไม่หยุด
“มันก็ดี แต่แม่เกรงว่าเจ้าจะได้รับอันตรายในวันหน้า อย่างไรก็อย่าแสดงตนให้ผู้อื่นเห็นอีกเชียว”
มู่หรานยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่ามารดาในยุคนี้ใส่ใจห่วงใยบุตรสาวตนเองอยู่บ้าง แม้บางทีนางจะเห็นแก่เงินและความสุขสบายมากก็เถอะ ที่ถูกไล่ออกมาจากบ้าน ก็เพราะเรื่องเงินจนสามีต้องเดือดร้อน แต่อันที่จริงคือถูกใส่ความโดยที่สามีก็ไม่สืบเสาะหาความจริง
“ลูกจะระวังตัว อย่าห่วงเลย” เสียงใสเอ่ยบอกมารดา ก่อนจะเอนตัวลงนอน ใจดวงน้อยก็ยังคงนึกถึงใบหน้าของใครบางคน แล้วก็นึกขำตนเองขึ้นมา
“เห้อ! ทำไมถึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้นะ แต่อย่างว่าแหละ หล่อขนาดนั้น ภาพไม่ติดตาก็คงเป็นไปไม่ได้” เสียงใสของเด็กสาวเปล่งออกมาเบาๆ ยามนี้นางนอนชันเข่า อีกข้างก็วางพาดกระดิกเท้าราวบุรุษ ท่าทีแบบนี้มารดาเหนื่อยจะตำหนิแล้ว เพราะมันเริ่มเป็นมาตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อน ที่บุตรสาวเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้
“ทำตัวให้เหมือนสตรีหน่อยได้ไหม หรือในตัวเจ้ามีบุรุษเข้ามาสิงสู่ในร่าง ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“ฮ่าฮ่า ทำตัวให้ชินเถอะท่านแม่ ข้าจะเป็นเช่นนี้จนตายนั่นแหละ” เสียงใสเอ่ยตอบ ก่อนจะเปลี่ยนท่านอนตะแคงมองมารดาที่นั่งเย็บเสื้อให้นางอยู่
สามวันต่อมาสองแม่ลูกก็ได้ที่พัก ซึ่งเป็นเรือนอยู่นอกเมืองและอยู่ใกล้ริมน้ำ ทำให้มู่หรานหมายจะปลูกผักทำสวน อย่างที่เคยตั้งใจในยุคสมัยปัจจุบัน มันคือชีวิตเรียบง่ายที่นางใฝ่ฝันว่าจะทำมันในตอนปลดเกษียณทหาร ชีวิตที่ไม่ได้วุ่นวายกับผู้คนและศึกสงครามมันคือที่สุดแล้ว
“ขาดเหลืออะไรไปหาข้าที่สำนักได้เลยนะ” ประมุขเฉินเอ่ยกับเหม่ยลี่ ซึ่งนางก็ส่งยิ้มให้เช่นเคย ทำเอาใจแกร่งของเฉินจีหลงถึงกับเต้นรัว เขาตกพุ่มหม้ายเมียตายมานาน ไม่รับผู้ใดเข้ามาแทนที่ภรรยา แต่ยามนี้กลับมาตกหลุมรักสตรีลูกติด ที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากสามีเสียได้ จึงจำต้องคอยเก็บงำความรู้สึกไปก่อน
“แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากพอแล้วเจ้าค่ะ เราสองแม่ลูกหาที่อยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ที่ถูกใจเสียที”
“ที่นี่เป็นของญาติข้าเอง เจ้าสองแม่ลูกอยู่ได้ ไม่ต้องเกรงสิ่งใดหรอก” เฉินจีหลงเอ่ยบอกกับสตรีตรงหน้า
มู่หรานยืนมองพร้อมกับยกยิ้ม ก่อนจะเดินเลี่ยงหนีออกไปด้านหลังของเรือน ซึ่งติดกับบึงน้ำใหญ่
“สวยจัง ถึงจะไม่ได้ทะลุมาเป็นองค์หญิงเหมือนในนิยาย แต่ถ้าได้ใช้ชีวิตอิสระไม่มีใครบีบบังคับแบบนี้ก็น่าจะดีกว่าต้องอยู่ในกรอบแหละน่า” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา พร้อมกับยิ้มร่าอย่างพอใจ
# ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ