3. ไม่เคยได้พัก
ผ่านมา กว่าห้าปี เด็กน้อยที่เคยทำตัวมอมแมมยามนี้เริ่มโตเป็นสาวและนางก็เลยวัยปักปิ่นมาแล้ว แต่ก็ยังดื้อซนไปตามเรื่องเช่นเคย มารดาก็ไม่อาจตำหนิสิ่งใดได้มาก เพราะยามนี้มู่หรานคือเรี่ยวแรงหาเงินเข้าบ้าน
“ไยเจ้าไม่แต่งกายให้เหมือนเด็กสาวทั่วไปนะ แม่ล่ะปวดหัวกับเจ้าจริงๆ” เสียงบ่นเช่นทุกวันดังขึ้น เมื่อเห็นบุตรสาวเดินออกมา มู่หรานมัดผมขึ้นแล้วปล่อยลงมาเช่นบุรุษทั่วไป แต่งกายทะมัดทะแมงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“ท่านแม่ ทำใจให้ชินเถอะเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยบอกมารดา ก่อนจะเดินมาดมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งเหม่ยลี่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ เพื่อฉลองที่สามียอมเขียนจดหมายหย่าให้เสียที หลังจากที่ดำเนินการเรื่องนี้มานาน
“ท่านลุงจะมาทานด้วยใช่หรือไม่ ท่านแม่ถึงได้ทำอาหารมากมายเพียงนี้”
“อืม เห็นว่าพี่จูเต๋อจะมาด้วยนะ”
“เขากลับมาจากคุ้มกันสินค้าแล้วหรือ”
เด็กสาวเอ่ยถาม พร้อมกับแอบหยิบอาหารในชามไปด้วย ทำเอามารดาต้องตีลงที่มือเล็กเพื่อหยุดการกระทำของบุตรสาวทันที
“โอ๊ย!! เจ็บนะท่านแม่”
“ใครบอกให้เจ้าไร้มารยาทเช่นนี้ ข้าเหนื่อยใจกับสามีเจ้าในวันหน้าจริงเชียว” เหม่ยลี่เอ่ยเสียงเหนื่อยอย่างที่บอก เพราะบุตรสาวหาได้มีจริตเช่นสตรีทั่วไปไม่ ขนาดกับสหายหรือบุตรชายรูปงามของประมุขเฉิน นางก็ยังไม่อ่อนโยน
“ท่านน้าอาหารน่าทานมากเลย กลิ่นหอมก็ลอยออกไปข้างนอก” ชูเต๋อเอ่ยเอาใจเช่นเคย ก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างคนตัวเล็ก ซึ่งทำหน้ามุ้ยอยู่
“เจ้าเป็นอะไรมู่หราน ไยทำหน้าเยี่ยงนี้”
“ไม่มีอะไร ว่าแต่พี่ได้ของที่ข้าสั่งหรือไม่” นางกระซิบถามกลับไป ยามนี้ด้านหลังจึงมีการยื่นของบางอย่างให้กัน ราวกับคนส่งของผิดกฎหมาย
“เจ้าสองคนทำอะไรลับๆ ล่อๆ คิดหรือว่าข้าไม่รู้ เจ้าคงสั่งให้พี่เจ้าหาสิ่งใดมาให้อีกล่ะสิ” ประมุขเฉินเอ่ยขึ้นทันที
“ท่านลุง ท่านเป็นหมอดูกระนั้นหรือ” มู่หรานเอ่ยเย้า ก่อนจะนั่งลงข้างมารดา ทำให้เสียงหัวเราะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นทุกวันที่สองครอบครัวได้พบหน้ากัน
“เสียดายที่ลุงมาไม่ทันพิธีปักปิ่นของเจ้า”
“นั่นสิ เรือที่ขนส่งสินค้าก็เกิดรั่ว จนต้องจอดรอที่เมืองเปี้ยนนานแรมเดือน ไม่เช่นนั้นคงมาทันงานเจ้าแล้ว” เสียงทุ้มของจูเต๋อบ่งบอกความรู้สึกออกมาด้วย ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างก็พากันยิ้มเอ็นดู
“ปักปิ่นแล้วเช่นนี้ก็ออกเรือนได้แล้วน่ะสิ” เฉินจีหลงเอ่ย ทำเอาบุตรชายยิ้มกริ่มทันที เพราะวันนี้บิดาตั้งใจจะมาทาบทามสู่ขอคนตัวเล็กให้เขาด้วย แต่ผู้ที่กำลังคีบอาหารอยู่นี่สิ ถึงกับชะงักมือรีบตอบกลับทันควัน
“หลานยังไม่อยากแต่ง และคงไม่ใช่ตอนนี้” เสียงเรียบเปล่งออกมา
ทำเอาผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะถึงกับหน้าถอดสี เพราะน้ำเสียงของมู่หรานมีความขุ่นเคืองแอบแฝง ก็แน่ล่ะคนในร่างอยู่ในยุคปัจจุบัน ย่อมไม่ชอบถูกบังคับเรื่องนี้อยู่แล้ว แม้อายุจะย่างสิบหก แต่มันยังเด็กไปสำหรับคนในยุคปัจจุบันที่จะมีครอบครัว แม้นางจะรู้ว่าคนในยุคนี้แต่งงานตั้งแต่อายุสิบสามก็เถอะ แต่ต้องไม่ใช่มู่หรานคนนี้เป็นแน่
“อะ เออเรื่องนี้เอาไว้ค่อยหารือกันทีหลังเถอะเจ้าคะ อาหารชืดหมดแล้วรีบทานดีกว่า” เหม่ยลี่เอ่ยตัดบท เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้บุตรสาวไม่ชอบใจนัก เพราะนางเอ่ยบอกเอาไว้แล้วว่าจะไม่แต่งงานจนกว่าจะถึงวัยสมควรที่มู่หรานเป็นผู้กำหนดเอง และห้ามจับนางคลุมถุงชนเด็ดขาด
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย สองแม่ลูกก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ปลูกผักขายและสมุนไพรบางชนิด ที่หมอในเมืองต่างก็มาขอซื้อเอาไปปรุงยาเรื่อยๆ จึงพอมีรายได้มีเงินออม แต่ก็ยังอาศัยอยู่ที่เรือนนี้
“ท่านพี่เฉินได้ยินว่ายามนี้แคว้นฮั่นคิดจะทำศึกกับเราอีกแล้วหรือ” เหม่ยลี่เอ่ยถามอีกฝ่ายที่นั่งดื่มชากันอยู่ ซึ่งข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วแคว้น ชาวเมืองทั่วทุกหนแห่งจึงเริ่มกักเสบียง ทำให้ทุกอย่างขาดแคลน จนเกิดโกลาหลในเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อืม เป็นจริงเช่นที่ได้ยินมา ยามนี้กองทัพยกไปประชิดชายแดนแล้ว อีกไม่นานคงได้นองเลือดอีกเป็นแน่”
“แต่เราก็มีแม่ทัพดีเก่งกาจไม่ใช่หรือท่านพ่อ” เสียงทุ้มเอ่ยถามในสิ่งที่ได้ยินมา
“ข้าก็หวังว่าครานี้แม่ทัพคงจะเอาชนะได้เช่นเคย”
“ได้ยินว่าท่านแม่ทัพไม่ได้กลับมาเมืองหลวงเลย ตั้งแต่พบกันครานั้น” เหม่ยลี่เอ่ยถึงผู้ที่บุตรสาวเคยช่วยไว้
“นั่นสิ ทำศึกทิศเหนือจบ ก็ลงไปใต้ ได้ยินว่าเป็นเพราะท่านอ๋องสี่ใช่หรือไม่ท่านพ่อ” บุตรชายถามเสียงกระตือรือร้น เพราะปกติถามแล้วบิดาไม่เคยตอบ จึงกะว่าจะอาศัยช่วงนี้สืบข่าวเสียหน่อย
“อืมเป็นเช่นนั้น แม่ทัพซูต้องออกรบไม่ได้กลับจวน ก็เพราะคำสั่งของอ๋องผู้นี้ เขาเป็นคนกระหายสงคราม ดีแต่ออกคำสั่งแต่ไม่เคยทำศึกด้วยตนเอง”
“แต่ก็เอาความชอบใส่ตัวใช่หรือไม่ท่านพ่อ”
“เจ้านี่รู้ดีเสียจริง” การพูดคุยเป็นไปอย่างออกรส เมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องของราชสำนัก
ต่างจากคนที่นั่งแกะเม็ดถั่วใส่ปาก ซึ่งนั่งฟังเงียบๆ ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เพราะอยากรู้ว่าบุรุษที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อห้าปีก่อนเป็นเช่นไรในยามนี้
“มีใครไม่รู้เรื่องนี้กันล่ะขอรับ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยกันเท่านั้นเอง ขนาดองค์หญิงที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แม่ทัพ ยังถูกท่านอ๋องชิงตัวไปเป็นสนมของตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าเอาผิดเขาเลย แม้แต่ท่านแม่ทัพก็ยังไม่เคยทักท้วงเอ่ยถึงสตรีเหล่านั้นเลย ข้าล่ะนึกสงสารนัก”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือพี่จูเต๋อ” คนที่นั่งเงียบอยู่นานจู่ๆ ก็พูดขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเล่าจบ
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าน่ะสนิทกับคนดูแลจวนแม่ทัพนะ ทุกคนต่างก็รอคอยให้มีนายหญิงกันทั้งนั้น แต่ดูท่าคงอีกนาน เพราะสตรีใดเข้าใกล้ท่านแม่ทัพ ล้วนแต่ถูกอ๋องผู้นี้ชิงตัวไปเป็นนางบำเรอของตนทั้งนั้น” คนเล่าเรื่องเอ่ยอย่างเมามัน เมื่อได้พูดถึงเรื่องบุรุษใจทรามผู้นี้ที่พอจะได้ยินมา
“อ๋องผู้นี้มีความแค้นกับท่านแม่ทัพกระนั้นหรือจูเต๋อ” เหม่ยลี่อดไม่ได้จึงเอ่ยถาม
“พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วท่านแม่ทัพก็เป็นหนึ่งในพระโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อน มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เช่นบุตรคนอื่นๆ แต่เหตุผลที่ไม่ขออยู่ในฐานันดรศักดิ์ก็เพราะไม่อยากแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น แต่ก็ยังไม่วายถูกอ๋องผู้พี่กลั่นแกล้งไม่หยุดหย่อน ยังดีที่มีฮ่องเต้ใส่ใจ แต่ถึงกระนั้นบางคราก็มองไม่เห็นเรื่องที่เกิด หรือไม่ท่านแม่ทัพก็ไม่อยากให้เรื่องของตนรบกวนพระทัยฝ่าบาทก็เป็นได้” เฉินจีหลงร่ายยาวบอกเล่าให้สองแม่ลูกฟัง ถึงเรื่องราวของราชวงศ์นี้ที่น้อยคนนักจะล่วงรู้
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วเป็นเดือน มู่หรานคอยสืบข่าวการศึกจากนักเดินทาง และคนในสำนักคุ้มภัย
“ไยเจ้าถึงยังไม่นอนอีก” เหม่ยลี่เอ่ยถามบุตรสาว พร้อมกับยื่นมือมาลูบหัวบุตรสาวเบาๆ
ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นมองมารดาเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มให้เช่นทุกวัน หมู่นี้นางไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวซนข้างนอก เพราะรู้ว่ามารดาต้องเป็นห่วงแน่ๆ
“ลูกกำลังดูแผนผังแคว้นเราอยู่เจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นสตรีนะมู่หราน ไยถึงชอบทำตัวเยี่ยงบุรุษ สนใจแต่การใช้อาวุธเช่นนี้”
“ก็ข้าบอกแล้วอย่างไรท่านแม่ ว่าข้าชอบ คนเราชอบสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้น มันถึงจะมีความสุข อย่างท่านแม่ชอบเงิน ยามที่ขายของได้เงินมากๆ ท่านแม่ก็สุขใจไม่ใช่หรือ”
“เจ้านี่นะ” เสียงอ่อนโยนเปล่งออกมาอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่จะดูไปทำไม คิดจะทำการสิ่งใดอีก”
“ข้าได้ยินว่ายามนี้เรามีศึกสองด้าน กองทัพที่เคยมีก็ถูกแบ่งออกไปเป็นสองกลุ่ม ข้าเลยอยากลองคิดประดิษฐ์อาวุธที่จะช่วยทำให้เรารบชนะได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ”
“มู่หราน! เจ้าเป็นสตรีนะ จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ท่านแม่ เชื่อข้าเถอะว่าลูกทำได้ หากท่านจะเข้านอนก็รีบไปเถอะ อย่าห่วงลูกเลย” เสียงหวานเอ่ยก่อนจะหันมาสนใจแผ่นหนังตรงหน้า ที่อุตส่าห์เสียเงินซื้อมาตั้งหลายชั่ง
“ถ้าเราทำระเบิดมูลค้างคาวอัดในกระบอกไม่ไผ่เล็กๆ แล้วลองยิงออกไปมันจะเป็นยังไงนะ” นางเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนจะม้วนแผนที่เก็บไว้ ร่างเล็กออกมายืนที่นอกระเบียงด้านหลังของเรือน แหงนมองจัทราที่กำลังสาดแสงส่องประกายลงมาระยิบระยับบนคุ้งน้ำ
“ยามนี้สนามรบจะเป็นเช่นไรบ้างนะ สมัยไหนก็ยังเข่นฆ่ากันไม่หยุดหย่อน สงสารพวกทหารจัง”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ เมื่อนึกถึงยุคสมัยที่ตนอยู่ แม้จะไม่ได้รบกันเองเช่นคนในยุคนี้ แต่ก็สูญเสียไม่ต่างกัน มีสงครามคราใดโลหิตก็นองพื้นทุกครา
เป็นเวลาเดียวกันกับผู้ที่อยู่ในสนามรบ ร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มก็กำลังยืนมองท้องนภาในยามค่ำคืนเช่นกัน นัยน์ตาคมจ้องมองจันทราเต็มดวงราวกับจะดูให้เห็นอะไรบางอย่าง แต่ทุกอย่างมันก็ดูเลือนลางเหลือเกิน
“ป่านนี้เจ้าคงแต่งงานออกเรือนไปแล้วสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้ากระโจม ฟางเหยียนออกรบมาไม่ได้หยุดหย่อน ตั้งแต่อายุสิบหกปี จนยามนี้ยี่สิบห้าปีแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ติดจวนเลยสักครา
“นอนไม่หลับหรือขอรับ” จางลู่เอ่ยถามผู้เป็นนาย
“ไม่มีอันใดหรอก เจ้าไปพักเถอะข้าจะเข้านอนแล้ว” เขาบอกเสียงเรียบ ก่อนจะเดินไปยังเตียงนอน ทำเอาคนสนิทถึงกับหันมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพราะผู้เป็นนายมักเป็นเช่นนี้เสมอในยามค่ำคืน
#ท่านแม่ทัพดูท่าจะตกหลุมรักน้องเข้าแล้ว
#ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ติชมได้นะคะ