4..ชะตาชักพา
ผ่านไปอีกสิบเดือน ชัยชนะก็เกิดแก่แคว้นซ่งตามที่ได้คาดการณ์ แต่ครานี้อ๋องสี่ไม่ได้อยู่ด้วย เพราะมัวแต่นำทัพทางทิศใต้ และทำให้สูญเสียไพร่พลจำนวนมาก อีกทั้งยังเสียเมืองไปถึงสองเมือง ต่างจากที่เคยคุยเอาไว้
ราชสำนักยามนี้เลยค่อนข้างปั่นป่วนเป็นอย่างมาก เพราะอ๋องสี่นั้นบาดเจ็บสาหัส หลังจากหนีตายจนตกหน้าผา ทำให้แขนขาหักจนเดินไม่ได้ และกำลังถูกส่งตัวกลับมา
“ฝ่าบาท ยามนี้ทิศเหนือได้ชัยแล้ว กระหม่อมว่าเรียกตัวแม่ทัพซูกลับมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรกันเสนาขวา ท่านแม่ทัพรบไม่เคยได้หยุดพัก ไยถึงคิดจะให้ไปทำศึกทางทิศใต้อีก”
“นั่นสิ จะรังแกกันเกินไปแล้วนะ” สองขุนนางซึ่งมียศต่ำกว่าผู้ที่เอ่ยคราแรกท้วงขึ้น ซึ่งมีหลายคนที่เห็นพ้องกับคำพูดนี้จึงพยักหน้าให้กัน
“รังแกอันใดกันใต้เท้า ซูฟางเหยียนคือแม่ทัพ ให้คำสัตย์ว่าจะปกป้องบ้านเมือง สิ่งที่ข้าเอ่ยถึงมันก็คือหน้าที่ของแม่ทัพที่พึ่งกระทำไม่ใช่หรือ”
“หึเอาแต่เรื่องนี้มาอ้าง ไม่เหนื่อยบ้างหรือ ยามนี้เจ้านึกถึงฟางเหยียน แต่ยามไม่มีศึกเจ้ากลับต่อว่าเขาไร้ประโยชน์ ไม่อายบ้างหรือท่านมหาเสนา” เสียงทุ้มของอ๋องห้าเอ่ยขึ้น เขาคือคนที่คอยหนุนหลังฟางเหยียนมาตลอด
คำพูดนี้ทำเอาเหล่าขุนนางต่างก็พากันเงียบเสียง เพราะเป็นจริงเช่นที่อ๋องฟูหรงเอ่ย
“เอาเถอะ ส่งสาส์นไปถึงแม่ทัพซู ให้นำทัพส่วนหนึ่งไปช่วยทางทิศใต้ ยามนี้จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ของผู้ที่กรำศึกมานาน เราคงหาผู้อื่นมาแทนไม่ได้ในยามนี้”
เสียงจากเบื้องบนดังก้องกังวานทั่วท้องพระโรง ทำให้ทุกคนต้องรีบก้มหน้า แต่บางคนก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหุบลงเมื่อเสียงนั้นเปล่งออกมาอีกครั้ง
“หากครานี้ฟางเหยียนชนะศึก ข้าก็จะปล่อยให้เขาพัก ถึงยามนั้นพวกเจ้าเหล่าขุนนางที่เอาแต่ค่อนแคะฝ่ายบู๊ ลองมองหาคนมาทำหน้าที่นี้ดูแล้วกัน ข้าอยากจะรู้ว่าหากมีศึกอีกครั้ง คนที่พวกเจ้าเลือกมา จะสามารถปกป้องบ้านเมืองได้หรือไม่” เสียงเย็นเฉียบดังขึ้น
เรียกได้ว่าขุนนางทุกคนต่างก็พากันเสียวสันหลังเป็นอย่างมาก เพราะรับรู้กันดีว่าไม่มีผู้ใดเก่งกาจการรบดีเท่าแม่ทัพซูอีกแล้ว แต่ก็ทำได้แต่ก้มหน้ารับ เพราะนายเหนือหัวเอ่ยจบก็เดินออกไปทางหลังแท่นบัลลังก์
“หึ! เลือกคนให้ดีล่ะ เพราะดูท่าวันข้างหน้าอาจจะต้องรบกับหลายแคว้น คนที่พวกเจ้าหนุนหลังยามนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ลองส่งบุตรหลานไปรบดูบ้างก็ดีนะ จะได้เข้าใจหัวอกของผู้อื่นยามที่เขาสูญเสีย” อ๋องห้าเอ่ยเสียงหยัน ก่อนจะเดินออกจากท้องพระโรงไป โดยมีสายตาของเหล่าขุนนางมองตามอย่างแค้นเคือง
“หึ! ข้าก็หวังว่าแม่ทัพซูจะรอดจนถึงวันนั้นแล้วกัน” เสียงหยันเปล่งออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินแยกย้ายตามคนอื่นๆ ลงมาจากท้องพระโรง
อีกด้านในเขตแดนทางทิศเหนือ ยามนี้ราชโองการเดินทางมาถึงแล้ว หลังจากการประชุมผ่านมาแล้วสามวัน เสียงถอนหายใจดังขึ้นเมื่อฟังสิ่งที่ผู้นำสาส์นเอ่ยจบ
“แม่ทัพซู ฝ่าบาทให้เดินทางไปทันที เพราะยามนี้ทิศใต้เสียไปสองเมืองแล้ว ทหารก็เหลือกำลังไม่มาก เกรงว่าหากยึดเมืองเหลียงได้เราคงเสียเปรียบมากกว่านี้เป็นแน่”
หลิวไห่ฉู ใต้เท้ากรมวังเอ่ยเสียงอ่อน เขาเองก็รู้ดีว่าคนตรงหน้าเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ดูจากใบหน้าที่อิดโรยแล้ว ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคงกร่ำศึกไม่ได้พักจริงๆ
“อืม ข้ารู้แล้ว จางลู่ เจ้าตามใต้เท้าหลิวกลับเมืองหลวง แล้วเลยไปนำกำลังเสริมทางฝั่งตะวันออกไปเพิ่มสักสามหมื่นนาย ข้าจะล่วงหน้านำกำลังไปก่อน”
“เอ่อ ท่านแม่ทัพบาดแผลท่านยังไม่หายดีเลยนะขอรับ หากเดินทางยามนี้แผลอาจจปริได้” เป่ยซูเอ่ยท้วง
“นี่เจ้าบาดเจ็บหรือ เช่นนี้จะเดินทางได้เช่นไร ข้าจะกลับไปทูนฝ่าบาทให้หาคนไปแทน”
“ไม่ต้อง บาดแผลแค่นี้ไม่ส่งผลต่อการเดินทาง กว่าจะไปถึงก็น่าจะหายดีแล้ว เป่ยซูออกไปเตรียมไพร่พลเถอะ เอาคนที่อาสาจะเดินทางแล้วกันนะ”
“เจ้าไหวแน่หรือ รอให้แผลแห้งก่อนก็ได้ การศึกไม่ได้มีแค่เจ้าที่ทำเป็น อย่างไรก็อย่ากังวลให้มากนักเลย”
หลิวไห่ฉูเอ่ยเตือนสหายของตน ซึ่งดูร่างกายซูบผอมลงมาก หนวดเคราก็ขึ้นเขียวครึ้มมองหาความสง่างามเช่นแต่ก่อนไม่เจอ ในใจรู้สึกผิดไม่น้อยที่ตนได้อยู่สุขสบายในเมืองหลวง แต่สหายกลับต้องมาลำบากเช่นนี้
“ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบกลับไปรายงานฝ่าบาทเถอะ เตรียมไพร่พลเสร็จข้าก็จะออกเดินทางเช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าจะรอไปพร้อมกับเจ้าแล้วกัน อย่างไรก็ต้องผ่านแยกที่เมืองหลวงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“หึ! แล้วแต่เจ้าเถอะ” เสียงเหนื่อยดังขึ้น ก่อนจะนั่งลงเพื่อรอคนของตนเตรียมพร้อม ผ่านไปหนึ่งชั่วยามทหารห้าหมื่นนายก็เริ่มเคลื่อนพล แต่ครานี้ฟางเหยียนต้องนั่งอยู่บนรถม้า และการเดินทางก็ไม่ได้เร่งรีบเหมือนทุกครา มีแค่กองทัพเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปก่อน เพราะต่างก็รู้ว่าผู้เป็นนายนั้นบาดเจ็บมาก จนไม่อาจควบม้าไปเองได้
สองวันในการเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเข้าเขตแดนเมืองหลวง ที่ขบวนต้องผ่านไปยังทิศใต้ ผู้คนที่รู้ข่าวต่างก็พากันมาส่งแม่ทัพผู้ที่คอยปกป้องบ้านเมือง หนึ่งในนั้นคือมู่หราน นางยืนอยู่บนเนินเขาหลังจากได้ข่าวว่าแม่ทัพหนุ่มจะเดินทางผ่านที่นี่
“เป็นแม่ทัพหรือว่าคนเหล็ก ทำไมถึงออกรบไม่หยุดพักเช่นนี้” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ยามนี้นางก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษ แม้จะอายุสิบหกแล้วก็เถอะ
“มู่หรานเจ้าจะตามไปจริงหรือ” จูเต๋อเอ่ยท้วงทันที
“ข้าไม่ไปใครจะสอนทหารใช้อาวุธล่ะ”
“เช่นนั้นให้พี่ไปเองเถอะ”
“ไม่ได้ เกิดผิดพลาดจะทำเช่นไร ข้ารู้จักกับท่านแม่ทัพ ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า”
“หึ! นั่นแหละที่พี่ห่วง นั่นมันเรื่องหกปีก่อนแล้วนะ คิดหรือว่าท่านแม่ทัพจะจดจำเจ้าได้” คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาคนฟังถึงกับนิ่ง แต่อย่างไรเสียมู่หรานก็ตั้งใจแล้วว่าจะช่วย
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรข้าก็จะไปเอง” นางบอกเสียงแข็ง ก่อนจะถอยกลับไปยังรถลากซึ่งมีอาวุธ ที่ทำขึ้นมาจากมูลค้างค้าวอัดแน่นด้วยดินปะสิว ซึ่งมันคือระเบิดไดนาไมท์ที่บรรจุในปล่องไม้ไผ่ขนาดเล็ก
เพราะวัตถุแบบยุคปัจจุบันไม่สามารถหาได้ในยามนี้ เลยต้องใช้เท่าที่มีไปก่อน ทุกอย่างล้วนถูกทดลองว่าใช้งานได้จริง โดยมีท่านอ๋องฟูหรงเป็นกำลังสนับสนุนจัดหาสถานที่ให้ แต่เรื่องของคนผลิตอาวุธถูกปิดเป็นความลับ
เรื่องนี้มีประมุขสำนักคุ้มภัยคอยดูแล มารดาของมู่หรานก็จำต้องยอมให้บุตรสาวออกเดินทาง เพราะมีจูเต๋อและยอดฝีมือของสำนักไปด้วย หลังจากผู้ส่งสาส์นแยกทางกลับเข้าเมืองหลวง รถลากสามคันก็ตามขบวนของแม่ทัพไปห่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยและตื่นตระหนก แต่หารู้ไม่ว่าฟางเหยียนสั่งคนของตนดักซุ่มอยู่ เพราะเขาเห็นกลุ่มคนตามมานานแล้ว
“เอ๋! ทำไมขบวนของท่านแม่ทัพหายไปล่ะ” จูเต๋อเอ่ยยังไม่ทันได้ขาดคำ ผู้ที่ซุ่มอยู่ก็โผล่ออกมา ทำเอาทุกคนต้องรีบชักดาบทันที ต่างจากมู่หรานที่ยังนั่งนิ่งบนรถลาก
รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไร และอยากรู้ว่ารถม้าหายไปที่ใด ไม่นานเกินรอสิ่งที่มองหาก็ปรากกฎออกมาจากมุมป่า แต่คนด้านบนกลับไม่ลงมา
“ช้าก่อนใต้เท้า พวกเรามาดีนะขอรับ” จูเต๋อรีบเอ่ยบอก ก่อนจะหันมาสั่งคนของตนลดอาวุธลง แต่อีกฝ่ายยังคงชี้ดาบมาที่พวกเขา
“เจ้าตามพวกเรามาทำไม ไม่รู้หรือว่านี่คือขบวนของท่านแม่ทัพ” เป่ยซูเอ่ยเสียงดังทันที
“พวกเรามาจากสำนักคุ้มภัยขอรับ นำอาวุธมาสมทบเพื่อใช้ในการศึก ขอท่านแม่ทัพอนุญาตให้พวกเราติดตามไปด้วยเถอะ” จูเต๋อเอ่ยบอก ก่อนจะคำนับผู้ที่อยู่บนรถม้า แต่ก็ยังไม่มีการปรากฏตัวให้เห็นแต่อย่างใด
“แผลปริหรือขอรับ” เป่ยซูรีบขึ้นมาดูผู้เป็นนายที่เงียบไป
“เล็กน้อย อย่ามัวเสียเวลาเลย หากไม่ใช่พวกมือสังหาร ก็ออกเดินทางต่อเถอะ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา
“แต่บาดแผลมีโลหิตออกนะขอรับ” คนสนิทยังคงทักท้วงด้วยความเป็นห่วง และเสียงนี้ก็ได้ยินไปถึงข้างล่าง
“ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่” เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างกายคนเจ็บ อาภรณ์น้ำตาลเข้มไม่อาจปกปิดโลหิตที่ซึมออกมาจนมองเห็นเป็นรอยได้
“เจ้าเป็นใครขึ้นมาได้เช่นไร” เป่ยซูเอ่ยถามพร้อมกับตั้งท่าจะขับเด็กหนุ่มนี้ลงจากรถม้าทันที
“ข้าน้อยมู่หรานเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยบอกเพียงเท่านั้น คนที่อ่อนเพลียอยู่ก็มีแรงขึ้นมา บุรุษทั้งสองหันมาหาผู้ที่ก้มหน้ามองบาดแผลอยู่ทันที
ฟางเหยียนยกมือขึ้นจากบาดแผลของตน ก่อนจะยื่นออกไปเชยคางมนของอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมาสบสายตา ทำเอาเด็กสาวถึงกับนิ่งไป ใจดวงน้อยเต้นรัวเพราะใบหน้าอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งแววตาคนตัวโตมันสื่อให้รู้ว่าเขาดีใจเพียงใดที่ได้พบกันในครานี้
“มู่หราน เป็นเจ้าจริงหรือ” เขาถามเสียงเหนื่อย
“ขะ ข้าน้อยเอง เอ่อ บาดแผลต้องใส่ยานะเจ้าคะ” เสียงสั่นตอบกลับไป เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมผละมือออกจากคางของตนเลย ยามนี้ก็เหลือกันอยู่แค่สองคน
เพราะเป่ยซูรู้ว่าเป็นนางก็ลงจากรถม้าไปเลย พร้อมกับสั่งให้ออกเดินทาง ทำเอาจูเต๋อถึงกับหน้าเสีย แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ภายในรถม้ายามนี้มือเรียวของแม่ทัพหนุ่มยังอยู่บนใบหน้างามของคนที่เขาเฝ้าคนึงหามาตลอดหกปี ทั้งที่ตอนนั้นนางยังเด็กนักห่างจากเขานับสิบปี
“เอ่อ! ท่านแม่ทัพข้าน้อยจะทำแผลให้เจ้าค่ะ”
“เจ้าแต่งงานหรือยัง” คนเจ็บไม่ได้สนใจบาดแผลหรือคำพูดของคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย ทำเอามู่หรานถึงกับทำตัวไม่ถูก ใบหน้าก็แดงก่ำเพราะอีกฝ่ายทำให้อาย
“ข้าถามไม่ได้ยินหรือ” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น
“คะ ใครเขามาถามกันตอนนี้ล่ะ ไม่รีบใส่ยาประเดี๋ยวก็โลหิตหมดตัวกันพอดี” เสียงสั่นเอ่ยท้วง
“หากเจ้าไม่ตอบก็ไม่ต้องใส่ยา” แม่ทัพหนุ่มยังคงต่อรอง แม้จะรู้ว่าโลหิตกำลังไหลออกมาก็เถอะ
“ยะ ยังเจ้าค่ะ ข้าน้อยพึ่งจะสิบหกเองนะ”
“ดีจัง”
ข้อชี้แนะ เนื้อหาที่เขียนถึงการทำระเบิด ไรท์สมมติขึ้นมาเท่านั้น หวังว่าจะไม่ทำให้การอ่านของริ้ดสะดุดลงนะคะ
# อ้าว..อีพี่ เจอหน้าก็ถามเรื่องนี้เลย อะไรกันเนี่ยะ!!
#ฝากท่านแม่ทัพกับน้องมู่หรานด้วยนะคะ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ