5. ชะตาวนเวียน
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะวางมือลงข้างตัว เพราะต้องใช้แรงยกแขนขึ้น บาดแผลตรงไหล่ลงมานั้นมันลึกพอดู เสื้อที่สวมอยู่จึงถูกรั้งลงมา แต่คราวนี้ความรู้สึกของคนรักษามันกลับต่างออกไปจากเมื่อก่อน
“ไม่ต้องอาย ต่อไปเจ้าจะได้เห็นมากกว่านี้” แม้เสียงนั้นจะแหบพร่าแต่ก็ยังเอ่ยเย้าคนตัวเล็กจนอายแก้มแดง มู่หรานไม่ได้ตอบกลับสิ่งใด นางรีบใส่ยาให้อีกฝ่าย แต่ก็ยังลังเลไม่กล้าจะเย็บแผลให้ เพราะเขายังมีสติดีอยู่
“จัดการเถอะข้าทนได้” เขาเอ่ยบอกเพราะพอจะเข้าใจท่าทีของคนตรงหน้า มือเล็กขาวเนียนจึงเริ่มเย็บแผลเหมือนเมื่อหกปีก่อน ความทรงจำที่เคยมีจึงย้อนกลับมาอีกครา คนเจ็บก็ได้แต่ยิ้มมองการกระทำของคนตัวเล็ก
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอก ก่อนจะดึงเสื้อขึ้นให้แม่ทัพอย่างแผ่วเบา พร้อมกับตั้งท่าจะลุกออกไป
แต่มือเรียวก็รั้งไว้ได้ทัน ทำให้ร่างเล็กเซถลาลงมานั่งอยู่ข้างกายเขา มู่หรานตกใจเล็กน้อยแต่ก็นั่งนิ่งเพราะยามนี้ไหล่นางไม่ว่างแล้ว เพราะแม่ทัพหนุ่มพิงลงมา
“ขอข้านอนพักสักครู่นะ”
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอันใด ใบหน้านี้มีแต่รอยยิ้มที่ปรากฏออกมาให้เห็นเท่านั้น มือแกร่งก็ยังคงไม่ยอมปล่อยออกจากแขนเล็ก ทำเอาใจดวงน้อยเต้นรัวราวกับคนตีกลอง แต่ก็ไม่รู้จะหนีจากตรงนี้ได้ยังไง
“ปกติเขาเป็นคนแบบนี้หรือเปล่านะ เจอสตรีก็รั้งเอาไว้ข้างกาย ว่าแต่ทำไมถึงถามเรื่องแต่งงานล่ะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการพบกันอีกครั้งเลย” มู่หรานนึกในใจ ครุ่นคิดหาเหตุผลแต่ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย
แม้คนที่อยู่ในร่างนี้จะอายุมากกว่าคนที่หลับอยู่ แต่ก็ยังไม่เคยมีความรักกับใครเลยสักครั้ง พอจะปิ๊งใครสักคนเขาก็ดันไม่ชอบกลับ ก็เลยอยู่เป็นโสดจนกระทั่งตาย พอตอนนี้ได้มาอยู่ข้างกายบุรุษที่นางจำฝังใจจึงตื่นเต้นมาก
สองชั่วยามต่อมารถม้าก็ได้หยุดพัก เป่ยซูขึ้นมาดูก็เห็นว่าผู้เป็นนายโอบสตรีตัวน้อยเอาไว้ และยังยกนิ้วขึ้นมาส่งสัญญาณไม่ให้เอ่ยเสียงดัง คนสนิทจึงลงจากรถม้ามาแจ้งข่าวกับคนของสำนักคุ้มภัย โดยเฉพาะจูเต๋อที่ดูเป็นห่วงกังวลเรื่องของมู่หรานเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องกังวลหรอก นางอยู่กับท่านแม่ทัพ อย่างไรก็ปลอดภัย” เป่ยซูเอ่ยก่อนจะเอาอาหารขึ้นไปให้ผู้เป็นนาย จูเต๋อก็ได้แต่มองตามเพราะไม่กล้าจะยื่นหน้าเข้าไปดู
“ไม่คิดว่าจะได้เจอนางในสถาณการณ์เช่นนี้อีกนะขอรับ หกปีแล้วแท้ๆ แต่ยังวนมาเจอกันอีกจนได้”
“นั่นสิ เจ้าอย่าเสียงดังเดี๋ยวนางจะตื่น” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับคนสนิทของตน พร้อมกับก้มลงมองใบหน้าหวานของนาง ที่แม้จะแต่งกายด้วยชุดบุรุษ แต่ก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าจิ้มลิ้มนี่ได้ แพขนตางอนยาว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรือโดยไม่ต้องแต่งแต้ม ทำเอาแม่ทัพหนุ่มไม่อาจละสายตาออกจากใบหน้านี้ได้เลย
เป่ยซูเห็นเช่นนี้จึงผละออกไป แต่ก็ยังนั่งอยู่ด้านหน้า เพราะจูเต๋อวนเวียนอยู่รอบรถม้า และชะเง้อมองราวกับว่าจะเห็นความเป็นไปด้านในเสียอย่างนั้น
“มู่หรานหลับอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไยใต้เท้าไม่ให้นางลงมาตั้งแต่แรก อย่างไรมู่หรานก็เป็นสตรีนะ ให้อยู่กับบุรุษลำพังได้อย่างไร” ยังไม่วายท้วง
“นางก็แค่อยู่รักษาบาดแผลให้ท่านแม่ทัพ เมื่อตื่นแล้วก็จะลงมาเองนั่นแหละ” เป่ยซูเอ่ยตัดปัญหา
และเสียงของทั้งคู่มันก็ปลุกให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา เปลือกตาสวยเปิดขึ้นพร้อมกับท่าทางงัวเงียเช่นทุกครา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ในรถม้ากับผู้อื่น ร่างเล็กขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งทันที นางไม่เอ่ยสิ่งใด แต่รีบลงจากรถม้ามาทันที จูเต๋อเห็นก็รีบคว้าแขนเล็กเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น ไยเจ้าทำหน้าตาตื่นเช่นนี้”
“ไม่มีอันใด ข้าพึ่งตื่นนอน เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ มีอะไรกินบ้างหรือไม่พี่จูเต๋อข้าหิวแล้ว”
มู่หรานเฉไฉกลบเกลื่อนท่าทีของตน ซึ่งถ้าอีกฝ่ายสังเกตคงเห็นว่านางหน้าแดง ก็ทันทีที่ตื่นมาก็อยู่ในอ้อมกอดบุรุษซึ่งจะบอกว่าแปลกหน้าก็คงไม่ผิดนัก
“มีสิ ข้าเก็บส่วนของเจ้าเอาไว้แล้ว”
มู่หรานเดินตามคนตัวโตไปทันที ก่อนจะไปนั่งข้างต้นไม้ ซึ่งมีคนของสำนักคุ้มภัยรายล้อมอยู่ คำถามจึงเริ่มตามมา ซึ่งมันเกี่ยวกับคนบนรถม้านั่นแหละ กว่าจะตอบหมดทุกอย่างที่พอจะรู้ก็ได้เวลาออกเดินทางอีก
มู่หรานไม่ได้ขึ้นไปดูคนเจ็บอีก จนกระทั่งเดินทางมาถึงค่ายที่ตั้งห่างออกมาจากเมืองสิบลี้ ยามนี้เหล่าทหารมีขวัญและกำลังใจดีขึ้นมาก เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ของตน
ก่อนนี้ได้แต่ออกรบแบบไร้แผน เพราะอ๋องสี่เอาแต่สั่งให้โจมตีแต่ตนเองกลับนอนรออยู่ที่ค่าย แต่ผิดคาดตรงที่อีกฝ่ายบุกมาชิงเสบียง จนทำให้เกิดการปะทะจนบาดเจ็บ และต้องรีบนำตัวกลับไปเมืองหลวงอย่างที่รู้กัน
“ท่านแม่ทัพมาแล้ว!!” เสียงของเหล่าทหารรักษาค่ายดังขึ้น แม้จะมีกำลังเหลือแค่สองหมื่นนาย แต่ก็หึกเหิมมากพอดูยามที่เห็นผู้นำของตน
“ข้าน้อยนายกองหวัง ดีใจเหลือเกินที่แม่ทัพใหญ่มาขอรับ” หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเอ่ยกับแม่ทัพรุ่นน้อง ซึ่งเขาเลื่อมใสในกลยุทธ์และฝีมือของฟางเหยียนมาก
“ลุกขึ้นเถอะ สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง ชาวบ้านอพยพออกไปหรือยัง” เสียงแหบเหนื่อยเอายถาม เพราะร่างกายนี้ยังไม่ทันได้ฟื้นตัวนัก
“ยังมีบางเรือนที่ไม่ยอมอพยพไปขอรับ”
“ไม่เกรงกลัวสงครามบ้างหรือคนพวกนี้” เป่ยซูเอ่ยเสียงขุ่น เพราะนั่นเท่ากับเพิ่มภาระให้เหล่าทหารไปอีก หากไม่มีชาวบ้านอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
“คงห่วงทรัพย์สมบัติกระมัง” แม่ทัพหนุ่มเอ่ย ก่อนจะมองไปยังเหล่าทหารที่ยามนี้รวมพลกันแน่นขนัด รวมถึงทัพเสริมที่เดินทางมาถึงก่อนเขาเพียงแค่หนึ่งคืน
“ฝ่ายนั้นมีกำลังมากแค่ไหน”
“เอ่อ! เกือบสามแสนขอรับ ดูเหมือนจะมีมาเพิ่ม คงหมายจะยึดเอาแคว้นเราไว้ในมือเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้ที่พึ่งมาถึงก็ตาโต โดยเฉพาะกลุ่มของคนคุ้มภัย จูเต๋อหน้าถอดสีทันที เพราะอีกฝ่ายมีมากกว่าหลายเท่านัก
“มู่หราน พี่ว่าเจ้ากลับไปเมืองหลวงเถอะนะ” เขาหันมาบอกคนน้องที่ยืนนิ่งไม่ตื่นตระหนกอะไรเลย
“ไยข้าต้องกลับมาถึงนี่แล้ว คนแค่นี้ไม่เห็นต้องกลัว”
เสียงเรียบไร้อาการตื่นตระหนกนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนเป็นอย่างมาก จนต้องหันมาหาเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดผู้นี้ในทันที นายกองหวังจึงรีบเอ่ยถาม
“เจ้าหนุ่ม คนสามแสนจะบอกว่าไม่น่ากลัวกระนั้นหรือ เจ้าคงไม่เคยลงสนามรบสินะถึงได้กล้าเอ่ยเช่นนี้” คำสพประมาทดังมาจนทหารที่ยืนอยู่ต่างก็พากันหัวเราะ ผู้ที่มาจากยุคอื่นยืนยิ้มให้กับเสียงหยันของทุกคน
เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครรู้ที่มาของตน ซึ่งเคยออกรบด้วยอาวุธที่น่ากลัวและตายเร็วกว่าดาบมากนัก ต่างจากใครบางคนที่ยืนมองด้วยสีหน้าเรียบขรึม เพราะเขาอยากรู้ว่าคนตัวเล็กขนสิ่งใดมา นางบอกว่ามันคืออาวุธที่สังหารคนได้มาก แต่จะจริงอย่างที่นางเอ่ยหรือไม่นั้นต้องรอดูอีกที เพราะยังไม่ทันได้เห็นถึงประสิทธิภาพของมัน
“เช่นนั้นขอข้าน้อยทดสอบหน่อยได้หรือไม่” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาเสียงท้วงดังขึ้นทันที
“นี่เจ้าเป็นสตรีหรือถึงว่าทำไมหน้าตาหมดจดนัก”
เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้น ทำเอาในค่ายต่างก็พากันแตกตื่นทันที พร้อมกับตั้งท่าจะขับไล่นาง เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสิ่งอัปมงคลแต่ทุกอย่างก็เงียบลง เมื่อร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มเอาตัวมายืนขวางไว้
“นางคือหมอที่รักษาข้า ไม่มีนางข้าคงตายไปแล้ว เอาเป็นว่าข้าอนุญาตให้นางอยู่ หากเราจะแพ้ศึกก็คงไม่เกี่ยวกับที่นางอยู่ในค่ายหรอก “แม่ทัพเอ่ยเสียงแหบพร่า
สื่อให้รู้ถึงความตั้งใจที่จะปกป้องคนด้านหลังเป็นอย่างมาก มู่หรานแอบยิ้มเล็กน้อยก่อนจะดึงชายเสื้อเขา พร้อมกับเดินออกมาเผชิญหน้ากับทุกคนอีกครั้ง
“คือข้าตั้งใจมาช่วย แม้จะเป็นสตรีแต่ก็เชื่อเถอะข้าคือตัวนำโชค รับรองว่าเราสามารถเอาสองเมืองที่เสียไปคืนมาได้ในเร็ววันนี้แน่นอน” เสียงหวานใสเอ่ยอย่างมั่นใจ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือการส่ายหัวของเหล่าทหารนับหมื่น ก็ใครจะไปเชื่อคำพูดของสตรีตัวน้อยเช่นนี้กันล่ะ
“ไร้สาระ หากเจ้าเป็นหมอรักษาท่านแม่ทัพ ก็ทำแค่หน้าที่ของเจ้าเถอะ เรื่องการศึกอย่ามายุ่งเลย” นายกองหวังยังคงเอ่ยเสียงหยันไม่สิ้นสุด
“จริงด้วย ดูท่าเจ้าน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาแล้วด้วยซ้ำ ไยถึงไม่ออกเรือนแต่งงานมีบุตรไปเสีย”
“ใช่ๆ หรือเป็นเพราะเจ้าแต่งตัวเช่นนี้เลยไม่มีบ้านใดรับเอาไปเป็นสะใภ้ ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะของเหล่าทหารดังมา ทำเอาทุกคนพากันเห็นด้วยกับถ้อยคำของสหาย
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่ขบขันถูกใจกันเสียเหลือเกิน แม่ทัพหนุ่มยืนกำหมัดแน่น หมายจะเอ่ยถ้อยคำปกป้องคนตัวเล็ก แต่ก็ไม่ทันผู้ที่โพรงปากออกมาก่อน
“มู่หรานมีข้าเป็นคู่หมายอยู่แล้ว เราแค่นำอาวุธมาส่งให้เท่านั้น คิดหรือว่าอยากจะอยู่ที่นี่ นางอุตส่าห์เสียสละเวลามาแรมปีเพื่อทำของเหล่านี้ขึ้นมา หวังแค่มันจะช่วยให้ชนะศึกเร็วขึ้น พวกเจ้าจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัว แต่มาตอนนี้ข้าอยากปล่อยให้พวกเจ้าตายนัก จะได้ไม่ต้องมีทายาทปากเช่นนี้เกิดมาให้ต้องอับอายในภายหน้า”
คำพูดของจูเต๋อทำเอาเหล่าทหารต่างก็เงียบปาก ไม่ใช่ว่าสำนึกได้หรอก แต่กำลังประมวลผลว่าเขาเอ่ยสิ่งใดบ้าง เพราะมันรัวเร็วจนไม่อาจจะจับคำพูดได้ทุกประโยค แม้แต่มู่หรานยังยืนอ้าปากค้างมองพี่ชายที่สนิท ราวกับคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฟางเหยียนมองหน้าตาของคนน้องก็พาให้นึกขัน ก่อนจะใช้นิ้วเตาะคางนางให้ปากหุบเข้าหากัน ใบหน้าหวานหันมายิ้มให้ทันที
“เอ่อ! ท่านแม่ทัพมีพื้นที่ให้ข้าน้อยลองอาวุธหรือไม่เจ้าคะ หากปล่อยไว้เช่นนี้คงได้ถกเถียงกันไม่จบสิ้นแน่”
“น่าจะมีนะ หรือยังไงนายกองหวัง” เขาหันไปหาคู่อริของมู่หราน ซึ่งดูจะไม่ชอบใจนางเอามากๆ
“คงมีแต่ทุ่งหญ้าฝั่งนั้นขอรับ”
“ใช้ได้หรือไม่” เขาหันกลับมาถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งมองไปทางที่เขาชี้
“เจ้าคะ พี่จูเต๋อขอธนูกับอาวุธด้วย” เสียงหวานหันไปบอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำตามอย่างว่าง่าย
# ว่าน้องก็ดูหน้าแม่ทัพหน่อยนะนายกอง ระวังจะถูกทำโทษไม่รู้ตัว
#ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ