บท
ตั้งค่า

6. อาวุธร้าย

เมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างครบ ร่างเล็กก็ขึ้นไปยืนบนรถม้า เพราะมองจากพื้นนั้นเห็นไม่ชัด ต้องให้แน่ใจด้วยว่ายิงออกไปแล้วจะไม่ถูกผู้ใด ท่วงท่าสง่างามราวนักรบในภาพจำของฟางเหยียนปรากฏขึ้นอีกครา เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหุบลงทันที เมื่อนายกองหวังคนเดิมเอ่ยขัดจังหวะช่วงอภิรมย์ที่กำลังเกิดขึ้น

“เจ้าจะทำอะไร จะมายิงกระบอกไม้ไผ่เล่นในค่ายไม่ได้หรอกนะ ไม่ใช่ที่ให้เจ้าเล่นสนุก” คนท้วงก็ท้วง แต่คนยิงนั้นไม่ได้ฟังถ้อยคำของอีกฝ่ายเลย เพราะยามนี้ชนวนถูกจุดแล้ว จำเป็นต้องรีบปล่อยลูกศรออกไปให้ถึงที่หมาย ไม่เช่นนั้นคงมีคนได้บาดเจ็บเป็นแน่

บึ้ม!!....เสียงดังสนั่นพร้อมกับพื้นดินและใบหญ้ากระจัดกระจายไปทั่วจนเป็นหลุมกว้าง ทำเอาทุกคนต่างก็พากันยืนนิ่ง

ก่อนที่สายตาจะหันมาหาสตรีตัวน้อยอีกครั้ง และนางยังคงยิงลูกศรติดต่อกันจนเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วพื้นป่าแถบนี้ และเชื่อว่ามันคงดังไปถึงอีกค่ายที่อยู่ห่างไปสามสิบลี้เป็นแน่ เพราะมันก้องกังวานไปทั่ว

บึ้ม!!บึ้ม!!

ก่อนที่ทุกคนจะพากันแห่มาดูที่ทุ่งหญ้า เพื่อสำรวจพื้นที่ซึ่งมันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นซากของกวางนอนตายแขนขาไปคนละทาง

“มะ มันคืออะไรกัน” นายกองหวังเอ่ยเสียงสั่น หลังจากที่แห่กันมาดูหลุมขนาดเล็กที่เกิดจากแรงของอาวุธที่ยิงมา ยามนี้ทุกคนต่างก็ยืนรอคำตอบจากมู่หราน

“มันคือระเบิด ข้าทำขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการรบ หากต้องการสังหารคนจำนวนมากก็ต้องใช้วิธีนี้ แต่ต้องเป็นคนที่ยิงธนูแม่นนะ และอย่าลังเล เพราะถ้าชนวนนี้ถูกจุดแล้วถึงจุดสิ้นสุดเมื่อใดมันก็จะระเบิดแตกออกทันที”

“มีอาวุธร้ายเช่นนี้ด้วยหรือ”

“หึ! ท่านคงไม่รู้ว่าข้าน้อยสามารถคิดหาวิธีเอาคืนผู้ที่ชอบพูดจาดูถูกได้ด้วย นายกองหวังอยากลองหรือไม่เจ้าคะ ข้าสอนให้ฟรีเลยนะ” เสียงหวานกระซิบกับอีกฝ่ายน่าฟัง แต่ผู้ที่ได้ยินกลับขนลุกเกลียวแล้วยามนี้

“มะ..ไม่ดีกว่า เจ้าเป็นหมอรักษาท่านแม่ทัพไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ทำหน้าที่ต่อไปเถอะ” คนที่เคยสบประมาทเอ่ยเสียงเบา ต่างจากคราแรกยิ่งนัก คงเป็นเพราะเห็นซากกวางที่กระจายอยู่บนทุ่ง เลยนึกขยาดไม่ต่างจากคนของตน ยามนี้จึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตน

“นายกองหวังสั่งให้ทุกคนห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้เด็ดขาด คนในสำนักอาจจะไม่ปลอดภัยในวันหน้าเข้าใจหรือไม่”

“ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทราบดี”

“เจ้าพักอยู่กระโจมข้างข้าแล้วกัน ที่นี่มีแต่บุรุษ”

“ท่านแม่ทัพก็บุรุษไม่ใช่หรือ ให้มู่หรานอยู่กับข้าน่ะดีแล้ว อย่างไรนางก็เป็นคู่หมายข้า” จูเต๋อเอ่ยย้ำอีกครั้ง

คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที เพราะไม่รู้ตนไปเป็นคู่หมายกับอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะส่ายหัวกับคำโป้ปดของเขา

“ว่าแต่นายน้อยหมั้นหมายกับมู่หรานตั้งแต่เมื่อใดขอรับ ไยพวกเราถึงไม่มีใครรู้เลย” คนในสำนักเอ่ยถามบุตรชายของผู้เป็นนาย ทำเอาจูเต๋อถึงกับหน้าถอดสี ก่อนจะเห็นสายตาดุของมู่หรานที่จ้องมา

“ก็ท่าไม่เอ่ยออกไปเช่นนั้นมู่หรานก็แย่น่ะสิ”

“ขอบคุณพี่จูเต๋อที่ช่วย แต่วันหน้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้อีก การทำให้ผู้คนเข้าใจผิดมันไม่ดี เพราะถ้าหากวันข้างหน้าข้ากับท่านไม่ได้ตบแต่งกัน คนคงครหาข้าเป็นสตรีมากรัก”

เสียงเย็นเฉียบของมู่หรานดังขึ้นมา ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าซีด เพราะหลายคราแล้วที่จูเต๋อเอ่ยเช่นนี้กับผู้อื่น โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่เข้ามาข้องแวะกับนาง จนยามนี้ในหมู่บ้านต่างก็เข้าใจว่าทั้งคู่หมั้นหมายกันจริง

แต่ตัวมู่หรานเคยพูดคุยกับเขาต่อหน้าพ่อแม่แล้วว่านับถืออีกฝ่ายเช่นพี่ชาย และจะไม่มีทางเปลี่ยนความรู้สึกนี้แน่ คนที่คิดเช่นนี้แล้วจะให้มานอนร่วมเรียงเคียงหมอนเช่นสามีภรรยาได้อย่างไร

“เจ้าก็แต่งกับพี่สิ จะได้ไม่มีคนครหา” จูเต๋อยังไม่วายตื้อด้วยถ้อยคำเช่นเดิม สำหรับมู่หรานหากไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์สองครอบครัว คงไม่ได้อยู่ใกล้เขาเป็นแน่

“ข้าจะไม่พูดซ้ำอีก” เสียงหวานที่เคยดัง ยามนี้มันเริ่มขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด ฟางเหยียนได้แต่ยืนมองนิ่งๆ เรื่องเช่นนี้เขาไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ แม้ในใจนั้นอยากเข้าไปแทรกมากก็เถอะ อย่างไรเสียก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน นางอยู่ตรงหน้าแล้วอย่างไรเสียเขาก็ต้องมีโอกาส

“ตกลงว่าเจ้าพักกระโจมข้างท่านแม่ทัพเลยนะ ข้าจะให้ทหารเตรียมถังน้ำไว้ให้ด้านใน อย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี แยกพักคนเดียวน่าจะดีกว่า” เป่ยซูเอ่ยตัดบท เพราะเขาเองก็รู้ว่าผู้เป็นนายคงไม่อยากให้สตรีผู้นี้อยู่ไกลหูไกลตา

“ขอบคุณพี่เป่ยซู” นางเอ่ยเสียงเบา หลังจากพยายามข่มอารมณ์ของตนลงแล้ว ก่อนจะผละออกมาที่รถลาก

เพื่อดูการขนย้ายของทหารเพราะกลัวจะเกิดทำบางสิ่งผิดพลาด จนกลายเป็นการวางระเบิดค่ายเสียเอง

“พวกพี่ทำเบาๆ นะ และอย่าเข้าใกล้ไฟเด็ดขาด หากทั้งหมดนี้ระเบิดมาพร้อมกันคือตายหมดแน่”

“เช่นนั้นเราแยกเก็บได้หรือไม่มู่หราน ข้าเกรงว่าอาจจะมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ และลักลอบเข้ามาทำลาย ที่นี่คนมากมายไม่อาจตรวจสอบได้ว่าเป็นใครบ้าง”

“ก็ดีนะเจ้าคะ ให้คนเฝ้าระวังมากหน่อยก็น่าจะดี หากอาวุธนี้ถูกชิงไปเราคงเสียเปรีบฝ่ายนั้น”

“ไยเจ้าถึงคิดและรอบรู้เรื่องพวกนี้นัก”

“ข้าน้อยเก่งกระมังเจ้าคะ อย่าถามให้มากความเลย ได้เวลาใส่ยาแล้วรีบไปเถอะเจ้าค่ะ”

“เจ้าเป็นหมอของข้าไม่ใช่หรือ ไยถึงไล่ให้ข้าไปคนเดียว” แม่ทัพเอ่ยเสียงนุ่ม ทำเอาคนฟังถึงกับชะงัก ก่อนจะยิ้มแหยออกมาแล้วเดินเข้ากระโจมของเขา เพื่อทำหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งหมาดๆ ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ที่นี่ลำบาก

จูเต๋อมองตามด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา เพราะเขาหมายจะให้มู่หรานเป็นแม่ของลูกให้ได้ แม้บิดาจะเตือนอยู่หลายคราว่าให้รักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ยิ่งได้เห็นท่าทางสนิทสนมของแม่ทัพและคนตัวเล็ก มันยิ่งทำให้เขาอยากเอาชนะให้ได้

ค่ำคืนแรกของการพักในค่าย มันดูสงบเงียบราวกับไม่ใช่สนามรบ แต่ยังไม่ทันถึงค่อนคืน กระโจมเสบียงด้านทิศใต้ก็กลายเป็นกองเพลิง แหล่งน้ำก็อยู่ไกลเป็นลี้ จึงทำให้การดับไฟเป็นไปอย่างล่าช้า

“แย่แล้วขอรับ พวกอาหารแห้งทั้งนั้น” แม่ทัพซิงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล เขารักษาตัวอยู่ในเมือง พึ่งเดินทางออกมาหลังจากทราบข่าวฟางเหยียนมาถึง

“น้ำคงไม่พอดับไฟเป็นแน่ แต่อย่างไรก็ช่วยกัน รีบไปตักน้ำมา” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยบอก คนเป็นหมื่นจึงลุกขึ้นมาช่วยกันดับไฟ มู่หรานมองความโกลาหลและร้อนรน

ก็รีบบอกให้ต่อแถวมาจากต้นน้ำ ยื่นถังส่งต่อกันมา ซึ่งมันรวดเร็วมากกว่าจะวิ่งสวนกันอยู่เช่นนี้ บางคนก็ล้มจนน้ำไม่อาจเหลือมาดับไฟ

“มีคนเฝ้าอาวุธหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามทันที เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารเข้าใจสิ่งที่บอกและปฎิบัติตามแล้ว

“อย่ากังวล ข้าให้เป่ยซูตรวจดูแล้ว”

“ข้าน้อยขอไปดูได้หรือไม่”

“ได้ ข้าจะไปด้วย” มือเรียวกระชับดาบ ก่อนจะพาคนตัวเล็กเดินไปยังกระโจมเก็บอาวุธทั้งสามทิศ ซึ่งดูเหมือนมันจะอยู่ดี เพราะหีบยังตั้งอยู่

“มีบางอย่างผิดปกติ” ฟางเหยียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะเปิดหีบที่ตั้งทับซ้อนกันออกดู ด้านในกระบอกไม่ไผ่ผล้องไปมาก เขาจึงรีบออกคำสั่งหน่วยเกราะดำทันที

“มีคนลักลอบเข้ามาเอาอาวุธรีบตามมัน เป่ยซูไปตรวจดูที่กระโจมอื่นเดี๋ยวนี้” เสียงเดือดดาลของฟางเหยียนดังขึ้น ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าแหย่หนวดเสือตั้งแต่เดินทางมาถึงเช่นนี้ ดูท่าฝ่ายนั้นคงกำลังนั่งหัวเราะเยาะอยู่เป็นแน่

“ดับไฟได้แล้วขอรับ อาหารเสียหายไปแค่บางส่วน ผลกระทบมีไม่มากนัก” นายกองหวังวิ่งกระหื่นกระหอบมารายงาน ก่อนจะมองมาที่มู่หรานพร้อมกับคำนับน้อยๆ เพราะในใจยังละอายเรื่องเมื่อบ่ายไม่หาย

“อืม สั่งเวรยามตรวจตราให้เข้มงวดอีก ดูท่าน่าจะยังมีคนของมันแฝงตัวอยู่เป็นแน่”

“ท่านแม่ทัพ คนพวกนั้นคงไปยังไม่ไกลนัก ข้าน้อยขอตามไปได้หรือไม่ ในเมื่อพวกมันกล้าบุกเข้ามาเช่นนี้ ไยเราถึงไม่ทักทายกลับบ้างล่ะเจ้าคะ”

“เจ้าหมายถึงแอบลอบเข้าไปกระนั้นหรือ ที่นั่นทัพใหญ่ มีถึงสามแสนเชียวนะ” แม่ทัพซิงเอ่ยขึ้น เขาเป็นแม่ทัพภาคของที่นี่ รู้ถึงภูมิศาตร์เป็นอย่างดี ที่ตั้งค่ายฝ่ายนั่นเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง การจะแอบเข้าไปโดยใช้ผืนป่ากำบังทำไม่ได้แน่

“นั่นสิ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เราแค่ตามไปเอาอาวุธคืนมาก่อนก็น่าจะพอ” นายกองหวังเอ่ยท้วง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจลอบเข้าไปได้แน่

“กลัวอะไร เรามีอาวุธร้ายอยู่ในมือ ข้าน้อยไม่อยากให้คนเหล่านั้นรู้วิธีผลิต ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำก็เถอะ แต่กันไว้ก่อนก็ดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ หรือว่ายามนี้คนของเราไม่พร้อมหากจะต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ การศึกไม่เลือกเวลาไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงของมู่หรานดูจริงจังและห้าวหาญ ต่างจากรูปลักษณ์ที่เห็นเป็นอย่างมาก

“สั่งคนของเรา เตรียมตั้งรับ หากต้องเกิดศึกในค่ำคืนนี้ก็อย่าได้ตื่นกลัวไป” ฟางเหยียนสั่งคนของตนทันที แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครทำศึกในยามค่ำคืนกันหรอก

เพราะหากสู้รบกันคงแยกไม่ออกเป็นแน่ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน เว้นเสียแต่ว่าถูกโจมตีในค่ายเลยเท่านั้น เขาหันกลับมายังร่างเล็กที่ตอนนี้สะพายคันธนูเรียบร้อย

พร้อมกับคนของสำนักคุ้มภัยที่เตรียมตัวไม่ต่างกัน

เขาจึงได้แต่กระชับดาบในมือเท่านั้น ยามนี้ไม่อาจง้างคันธนูได้แน่ บาดแผลถึงจะปิดแต่ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ถนัด

ม้าถูกเตรียมมาให้ครบกับผู้ที่จะออกล่าคนขโมยอาวุธ ทางทิศตะวันออกถูกขนไปทั้งหีบ การเดินทางแน่นอนต้องช้าอยู่แล้ว กลุ่มคนกว่าห้าสิบควบม้าออกไปทันที มุ่งหน้าไปยังค่ายของฝ่ายศัตรูอย่างอาจหาญ

เส้นทางรถม้ากลางดึกสงัด คบไฟส่องสว่างพร้อมกับกลุ่มคนนับสิบ กำลังมุ่งหน้าไปยังค่ายของตน หลังจากลักลอบขนเอาหีบอาวุธออกมาในช่วงชุลมุน

“นี่พวกเจ้าระวังหน่อย ไม่เห็นหรือว่าอาวุธนี้ร้ายแรงแค่ไหน หากมันระเบิดขึ้นมาแม้แต่ร่างก็หาไม่เจอหรอกนะ” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยกับคนของตน พร้อมกับนึกกระหยิ่มในใจที่เขาจะได้สร้างผลงานอีกครา หลังจากลอบวางเพลิงเผาที่เก็บเสบียงตามคำสั่งของผู้เป็นนายแล้ว

“พวกมันคงกำลังงวนอยู่กับการดับไป จนไม่รู้ว่าเราขนอาวุธมานะขอรับ”

“นั่นสิ เจ้าพวกโง่ คิดว่าตนเองฉลาด สร้างอาวุธร้ายกาจขึ้นมาได้ มีหรือจะเฉลียวเท่าหัวของข้า ฮ่าฮ่า อึก!”

สิ้นเสียงลูกศรก็ปักลงกลางหลังทันที มันพวยพุ่งออกมาจากชายป่านับสิบ เพราะมัวแต่หัวเราะพูดคุยลั่นป่า จึงไม่ได้ยินเสียงของม้าที่ตะบึงห้อเข้ามาใกล้

“แย่แล้วเราถูกโจมตี” เสียงของคนที่ยังรอดลูกศรดังขึ้น แต่ไม่ถึงอึดใจก็เงียบหายไป ท่ามกลางคบไฟที่ร่วงลงระเนระนาด เป็นจุดชี้เป้าอย่างดีให้อีกฝ่ายได้เอาชีวิต 

#ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel