7. ทะเลเพลิง
ความตายของคนนับสิบ ไม่ได้ทำให้สตรีตัวน้อยตื่นตระหนกอย่างที่ทุกคนกังวล โลหิตและคนตายแค่นี้มันเล็กนักหากเทียบในยุคปัจจุบันที่นางเคยผ่านมา
“ดับไฟเสีย อาจมีพวกเวรยามเดินมาพบ”
เพราะใกล้เขตค่ายของฝั่งศัตรู แม่ทัพหนุ่มจึงรีบออกคำสั่ง ก่อนที่รถลากจะถูกนำกลับไปยังค่าย เหลือแค่คนที่จะลอบเข้าไปสร้างความอลหม่านให้อีกฝ่าย
“ตรงไหนน่าจะเป็นกระโจมเสบียงของพวกมัน” จูเต๋อเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่ซุ่มมองอยู่บนเนินทุ่งหญ้า ที่มันขึ้นปกคลุมแค่ครึ่งขาเท่านั้น แต่เพราะทุกคนนอนราบอยู่กับพื้น และยังเป็นคืนเดือนมืดอีก เลยสามารถพรางตัวได้อย่างแนบเนียน แม้จะมีเวรยามเดินผ่านไปมาก็ไม่อาจมองเห็นพวกเขา
“กระโจมเสบียงน่าจะอยู่ไม่ไกลโรงครัว นั่นตรงนั้นมีคนกำลังทานอาหารอยู่ คงเป็นพวกยามที่ออกสำรวจและพึ่งเปลี่ยนกะมาเป็นแน่ ค่ายของเราก็ทำเช่นนี้” เป่ยซูเอ่ยแนะ
“หวังว่าเจ้าจะเดาถูก คุ้มกันให้ข้าด้วย” เอ่ยจบมู่หรานก็จุดชนวนทันที ครานี้ระเบิดที่มัดติดไปมีถึงห้า มันทำให้มีน้ำหนักมาก จึงจำต้องเข้าใกล้ให้มากที่สุด
นางจึงต้องออกไปยืนยิงที่หน้าค่าย เพราะให้คนอื่นไปคงทำไม่ได้แน่หากไม่เคยฝึกยิงเช่นนี้มาก่อน เสียงตะโกนร้องเรียกคนของตนดังขึ้นทันที เมื่อศัตรูปรากฏตัว กลุ่มเกราะดำรีบยิงธนูสกัด ฟางเหยียนไม่รีรอที่จะพุ่งไปยืนอยู่ข้างคนตัวเล็ก ซึ่งมีจูเต๋อยืนอยู่อีกฝั่งเช่นกัน
ลูกศรถูกปล่อยออกไปยังเป้าหมาย ก่อนที่เสียงดังจะตามมา ให้ทุกคนในค่ายนี้ได้ตื่นตกใจจนแตกฮือ และทั่วทุกจุดก็ดังระงม จากฝีมือของสำนักคุ้มภัย ที่ฝึกการยิงกระบอกไม่ไผ่นี้แล้ว ทำเอากระโจมติดไฟจนโหมลุกไหม้ราวกับทะเลเพลิง
เพราะสายลมในยามค่ำที่พัดกรรโชกมาบนลานกว้างแห่งนี้ เป็นแรงกระตุ้นราวกับก่อไฟในเตาแล้วเอาพัดมาวีนั่นแหละ กลุ่มทหารที่มุ่งหน้าจะมาเอาชีวิตก็ต้องถอยร่น เพราะถูกยิงสกัดด้วยระเบิด จนบางคนแขนขาหลุดออกจากร่าง ทำให้เกิดความตื่นกลัวเป็นอย่างมาก จึงได้ถอยร่นกลับไปช่วยกันดับไฟในค่ายแทน
“พวกเราถอย” ฟางเหยียนหันมาสั่งคนของตน พร้อมกับดึงเอาแขนเล็กให้เดินตาม จูเต๋อเห็นเช่นนั้นก็ไม่พอใจ แต่ยามนี้จำต้องรีบถอยออกมาก่อน และฐานะอย่างตนก็ไม่อาจจะไปงัดข้อกับคนที่เป็นถึงแม่ทัพได้ ทั้งเขายังเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย รอให้เสร็จศึกกลับเมืองหลวงค่อยว่ากัน
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว เป็นเช่นไรบ้างขอรับ สำเร็จใช่หรือไม่ ท้องฟ้าแดงไปทั่วเช่นนี้” แม่ทัพซิงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง แต่ก็พอจะเดาได้แหละว่าสำเร็จแน่นอน เพราะฝั่งของศัตรูยามนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิง จนสว่างจ้าไปทั่วอาณาบริเวณ
ฝูงนกออกบินว่อนแม้จะเป็นยามค่ำคืนที่พวกมันควรจะได้นอนหลับพักเอาแรง
“นี่แม่ทัพซิง เจ้ายังจะถามอีกหรือ ท้องฟ้าแดงโล่ขนาดนี้ คืนนี้เราไม่ต้องหนาวกันแล้วนะ ค่ายของแคว้นจิ้งก่อกองไฟให้เราแล้ว ฮ่าฮ่า” เป่ยซูเอ่ยอย่างชอบใจ พร้อมกับหัวเราะออกมาดังๆ จนเหล่าทหารต่างก็โห่ร้องยินดีในชัยชนะเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามนี้
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างห่วงใย มู่หรานแหงนหน้ามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัวไปทำแผลให้พี่จูเต่อก่อนนะเจ้าคะ” อีกฝ่ายตอบก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปหาคนที่เอาตัวรับลูกศรจากข้าศึก จนได้รับบาดเจ็บที่แขน ซึ่งอันที่จริงเขาสามารถหลบมันได้ แต่ก็ยังยื่นแขนออกไปรับ เรื่องนี้มู่หรานรู้ดี แต่นางก็ไม่อาจทำเฉยชากับคนที่โตมาด้วยกันได้ จึงต้องเข้าไปดูอาการของเขาเสียหน่อย
“มาข้าจะใส่ยาให้” มือเล็กแย่งเอาขวดยามาถือไว้เอง ก่อนจะบรรจงใส่มันลงไป พร้อมกับเป่าเบาๆ เพราะรู้ว่ามันคงแสบมาก คนตัวโตก็เอาแต่จ้องมองใบหน้าสวย
“ทีหลังอย่าทำเช่นนี้อีก ถึงพี่จะรับคมดาบจากข้าจนต้องสิ้นชีพ มันก็เปลี่ยนความรู้สึกของข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรโง่ๆ อีก” เสียงเรียบเปล่งออกมา ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าถอดสี ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
“เจ้าชอบท่านแม่ทัพกระนั้นหรือ สตรีธรรมดาเช่นเจ้ามีหรือจะคู่ควรกับคนสูงศักดิ์เช่นนั้น เขาเป็นใครเจ้าก็รู้ดี คิดหรือว่าคนสามัญจะสามารถเข้าไปอยู่ในตระกูลของราชวงค์ได้ เจ้าอย่าเพ้อฝันไปเลยนะ เชื่อพี่เถอะ”
ไม่มีคำตอบใดจากปากอิ่ม เพราะมู่หรานเข้าใจในข้อนี้ดี เรื่องของคนในยุคโบราณแม้จะไม่เคยเรียน แต่ก็ได้ยินมาว่าสามัญชนไม่อาจเป็นได้แม้กระทั่งอนุของผู้สูงศักดิ์ ต้องอยู่ในฐานะสตรีอุ่นเตียงเท่านั้น
“เสร็จแล้ว อย่าให้โดนน้ำล่ะ เดี๋ยวจะติดเชื้อเอาได้ ข้าไปนอนพักก่อน เหนื่อยมาทั้งวัน พี่ก็รีบนอนเถอะ”
“มู่หราน เจ้าไม่ฟังคำพี่เลยหรือ” จูเต๋อเอ่ยเสียงแผ่ว
“หึ! ไม่ใช่ข้าไม่ฟัง แต่ระหว่างข้ากับท่านแม่ทัพไม่ได้มีอันใด มันก็แค่ช่วยเหลือกันตามหน้าที่ ข้าเคยช่วยชีวิตเขา จึงไม่แปลกที่ท่านแม่ทัพจะใส่ใจเพราะข้าเป็นสตรี ส่วนเรื่องอื่นข้ารู้ฐานะของตนดี พี่อย่าได้ห่วงกังวลเลย”
มู่หรานเอ่ยเสียงเรียบตามปกติ แต่ในใจนั้นก็วูบไหวไม่น้อย ความจริงของยุคสมัยมันย้ำเตือนให้ใจหวั่น แต่ก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเท่าใดนักในยามนี้ นางเดินออกมาจากกระโจมซึ่งเป็นที่พักรวมของคนในสำนัก ก่อนจะมองดูการขนย้ายของเหล่าทหารเบื้องหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที ก่อนที่เป่ยซูจะเดินเข้ามาหา
“ท่านแม่ทัพให้ย้ายเข้าเมือง รอดูสถานการณ์วันพรุ่ง”
“ก็ดีนะ อย่างน้อยก็มีกำแพง ฝ่ายนั้นคงลอบเข้ามาได้ยาก” เสียงหวานเอ่ยตอบ ในใจก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดไม่ตั้งค่ายในเมืองตั้งแต่คราแรก พึ่งมารู้ที่หลังตอนย้ายเข้ามาแล้วนี่แหละ ว่าอ๋องสี่เป็นผู้ออกคำสั่ง
เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ด้านในไม่เคยออกรบเลยสักครั้ง มีนางรำคอยปรนนิบัติอยู่ไม่ขาด แต่กรรมคงตามสนองถึงได้ถูกไล่ฆ่าจนตกผาเช่นนั้น คิดไปคิดมาตรงนี้ ไม่รู้ฝ่ายศัตรูหรือคนแคว้นเดียวกันที่คิดสังหารเขา
“เจ้าพักที่เรือนนี้นะ” ฟางเหยียนเอ่ยกับคนตัวเล็ก ยามนี้สีหน้าเขาซีดเซียวลงอีกครั้ง คงเพราะออกไปตากลมและอากาศก็เย็น จึงทำให้มีไข้ขึ้นมา
“ข้าจะไปต้มยาให้นะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปพักเถอะ เรื่องพวกนี้บอกให้คนของข้าจัดการได้ เชื่อข้าเถอะนะ” เขาย้ำเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคนตัวเล็ก ทำเอาใจแกร่งอดเต้นรัวไม่ได้
“จริงด้วย ก่อนนี้ท่านแม่ทัพก็มีคนคอยดูแลอยู่แล้วนี่หน่า เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวนะเจ้าคะ” เอ่ยจบร่างเล็กก็หันหลังให้เดินเข้าห้อง ทำเอาคนที่ยืนอยู่ถึงกับขมวดคิ้วทันที
“ข้าพูดอันใดผิดหรือเป่ยซู” เขาหันมาถามคนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้างงไม่ต่างกัน และได้แต่ส่ายหัวเป็นคำตอบ
ฟางเหยียนเดินกลับห้องตนไปทั้งงงๆ โดยมีคนสนิทติดตามมาด้วย พร้อมกับเช็ดตัวใส่ยาให้ผู้เป็นนาย ไม่นานยาที่สั่งก่อนเข้าห้องก็ถูกยกเข้ามา
“เจ้าว่ามู่หรานมีท่าทีแปลกไปหรือไม่” เขาเอ่ยถามคนสนิททันที เมื่อทหารรับใช้ออกไปแล้ว
“ข้าน้อยก็ไม่รู้ขอรับ เราพึ่งเจอนางแค่สามวัน ไหนเลยจะล่วงรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร” คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาผู้เป็นนายถึงกับนิ่งไป เป็นจริงดั่งคำของเป่ยซูเอ่ย เพราะเขาและนางพึ่งจะได้พบกันอีกครา
“เจ้าไปพักเถอะ ข้าก็จะนอนแล้ว” เสียงเหนื่อยเอ่ยขึ้น เป่ยซูจึงคำนับก่อนจะออกไปจากห้องพักของผู้เป็นนาย ยามนี้เขานอนก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงสีหน้าของคนตัวเล็ก เพราะมันดูหม่นต่างจากทุกคราที่อยู่ใกล้กัน
กว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบรุ่งสาง ต่างจากใครบางคนที่ชำระเนื้อตัวเสร็จก็หลับเป็นตาย เพราะความเหนื่อยล้าที่มี จึงทำให้นางหลับไปอย่างง่ายดายจนถึงเช้า
“มู่หรานเมื่อคืนหลับสบายหรือไม่” จูเต๋อเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองออกไปยังทิศทางของกลุ่มควันที่ยังคงคุกรุ่นให้มองเห็นอยู่บนท้องฟ้า
“อืม แล้วพี่กับคนอื่นๆ ล่ะ” นางเอ่ยถามเสียงปกติ
“พวกเราหลับสบายดี กองทัพต้อนรับพวกเราอย่างดี ยามนี้เราไม่ต่างจากวีรบุรุษเลยนะมู่หราน”
หนึ่งในผู้คุ้มภัยเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าภูมิใจที่รู้สึกไม่ต่างกันเพราะเมื่อคืนสร้างผลงานใหญ่ ฝ่ายศัตรูถอยกลับไปตั้งค่ายยังเมืองถาน ซึ่งถูกตีแตกเป็นเมืองแรก
“หึ! พวกท่านอาดูดีใจมากเหลือเกินนะ เช่นนี้คงไม่กลับไปทำงานกับท่านพ่อข้าแล้วสิ” จูเต๋อเย้าคนของตน
“ไยเจ้าเอ่ยเช่นนี้ อย่างไรข้าก็อยากกลับไปคุ้มกันสินค้าตามเดิมนั่นแหละ เพราะนั่นหมายถึงเราไม่มีสงครามแล้ว”
อีกฝ่ายตอบกลับมา ทำเอาทุกคนที่ได้ยินถึงกับนิ่งไป เพราะมันเป็นอย่างที่คนตรงหน้าเอ่ย
“ได้ยินว่าท่านแม่ทัพสั่งเคลื่อนพลไปประชิดเมืองถานแล้วนะ พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่กันอีกหรือ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อะไรกัน ไยไม่มีคนแจ้งข่าวพวกเราเลย” จูเต๋อเอ่ยเสียงดัง เพราะไม่พอใจที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมบอกกล่าว
“เอาเถอะ เรารีบลงไปสมทบกับกลุ่มทหารเถอะ” มู่หรานเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินลงมารวมกับกลุ่มทหารที่เข้าแถวรอเพื่อออกเดินทาง
“มู่หราน เรารออยู่ที่นี่ดีกว่านะ” จูเต๋อท้วงทันที
“หากพี่ไม่อยากไปก็รออยู่ที่นี่เถอะ” มู่หรานเอ่ยก่อนจะก้าวขึ้นม้าที่ถูกจัดเตรียมให้
# ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ