8. พ่ายแพ้
กองทัพเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แม่ทัพหนุ่มยังคงอยู่บนรถม้าเพราะยังมีอาการบาดเจ็บ เสียงเคลื่อนขบวนดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณตามเส้นทางมุ่งสู่เมืองถาน
“ท่านแม่ทัพฝ่ายนั้นบุกมาประชิดเมืองแล้วขอรับ”
“อะไรนะ!! ไยพวกมันถึงได้ฮึกเหิมเช่นนี้ กำลังพลแค่หยิบมือ กล้าหารยกทัพมาต่อกรเราถึงนี่เชียวหรือ”
น้ำเสียงเดือดดาลของแม่ทัพสุ่ยแห่งแคว้นจิ้งดังขึ้น ทำเอาเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็พากันตื่นกลัวไม่น้อย
“ตระเตรียมคนของเราให้พร้อม ข้าจะเด็ดหัวแม่ทัพมันมาสังเวยคนของเราที่ตายไปเมื่อคืนให้ได้”
น้ำเสียงของเขาสื่อให้รู้ถึงความแค้นเคืองที่มีในใจ ก่อนจะออกไปที่กำแพงเมืองเพื่อเฝ้าดูอีกฝ่าย ซึ่งตั้งค่ายห่างออกไปเพียงแค่สิบลี้ และมีเวรยามเดินตรวจตราตลอด
“หึ! ตั้งค่ายใกล้เช่นนี้ก็เท่ากับวิ่งเข้าหากองไฟแล้ว”
เสียงหยันดังขึ้นมาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อมองเห็นฝ่ายศัตรูเคลื่อนมารนหาที่ตายเองเช่นนี้
“เตรียมคนของเราให้พร้อม ข้าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ในวันนี้ หึ! ซูฟางเหยียนผู้ที่ไม่เคยพ่ายทัพใดงั้นหรือ ข้าจะให้เจ้าจดจำนามของข้าจนสิ้นชีพเลยคอยดู” น้ำเสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างเป็นต่อ แม้จะสูญเสียไพร่พลมาก แต่ก็ยังเหลือเกือบสองแสนนาย ซึ่งมันยังมากกว่าทัพของฟางเหยียนอยู่ดี
เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม ทหารนับแสนก็ตั้งแถวรอที่หน้ากำแพงด้านนอก เสียงโห่ร้องเอาฤกษ์ดังกึกก้องไปทั่ว สร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าทหารของแคว้นจิ้ง แม่ทัพสุ่ย ยกยิ้มนึกถึงความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้น
ครานี้เขาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว หากสามารถเอาชนะทัพของแคว้นฉินได้ และมันคงไม่ใช่เรื่องยากเพราะอีกฝ่ายมีคนน้อยกว่า อย่างไรเสียก็ไม่อาจต้านทานกองทัพของเขาได้เป็นแน่
“ท่านแม่ทัพ จะไม่รอดูก่อนหรือขอรับ ฝ่ายนั้นมีอาวุธร้าย เมื่อคืนมันโจมตีเราไม่ถึงก้านธูปก็มอดไหม้ไม่เหลือซาก หากมันใช้สิ่งนั้นโจมตีเราอีก เราคง”
ผลั้วะ!!
ใบหน้าของรองแม่ทัพหันไปตามแรงปะทะทันที
“หากเจ้ากลัวก็กลับไปเป็นนายทหารคอยเฝ้าเสบียงในครัวนู่น อย่ามาเสนอหน้าให้ข้าเห็นอีก”
แม่ทัพใหญ่เอ่ยขับไล่รองแม่ทัพทันที ก่อนที่ทหารด้านนอกจะมาคุมตัวออกไป เสียงร้องเตือนยังคงดังลั่น แต่คนอย่างสุ่ยเหอมีหรือจะฟังคำของผู้อื่น เขารบชนะตียึดมาได้ถึงสองเมือง จะมาแพ้ให้ทัพที่มีน้อยกว่าตนได้เช่นไร
“เตรียมตัวบุก ฆ่าให้หมดอย่าได้ละเว้น” น้ำเสียงก้องกังวานดัง สร้างความฮึกเหิมตลอดแนวทหาร แม่ทัพสุ่ยนั่งบนอาชาตัวดำเมี่ยมในชุดเกราะ รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าอย่างกระหยิ่มใจไม่จางหาย ก่อนที่กองทัพจะเคลื่อนกำลังออกไปเบื้องหน้ามุ่งสู่ค่ายของอีกฝ่าย
เคลื่อนทัพมาถึงก็ไม่รีรอที่จะบุกเข้าตีทันที กลุ่มธนูพวยพุ่งเข้าไปหมายเอาชีวิตทุกคน แต่กลับไม่มีการโต้กลับอย่างที่ควรจะเป็น ชั่วอึดใจต่อมาเพลิงก็โหมลุกไหม้ค่ายไม่ต่างจากเมื่อคืนที่พวกเขาถูกจู่โจม
“น่าแปลกนะขอรับ เหตุใดถึงไม่มีการโต้กลับเลย” คำของนายกอง ทำให้ผู้เป็นนายอย่างสุ่ยเหออดสงสัยไม่ได้เช่นกัน แต่ยามนี้เขาหาได้ใส่ใจไม่ มีโอกาสเอาคืนมีหรือจะไม่รีบคว้าชัยชนะนี้เอาไว้
“บุกเข้าไป ฆ่ามันให้หมด” คำสั่งดุดันดังก้องอย่างฮึกเหิม พร้อมกับเหล่าทหารที่เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังค่ายของศัตรู แต่พอมาถึงกลับไม่มีผู้ใดอยู่ในค่ายแม้สักคน
“ท่านแม่ทัพ หรือว่านี่จะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำขอรับ ไม่มีทหาร อาวุธ เสบียงก็ไม่มีขอรับ ที่นี่คือค่ายเปล่ามีแค่กระโจมตั้งไว้เท่านั้น”
“อะไรนะ!! ถอย!! พวกเราถอย” สุ่ยเหอออกคำสั่งทันที เมื่อรู้ตัวว่าตนนั้นหลงกลอีกฝ่ายแล้ว
บึ้ม!! บึ้ม!! บึ้ม!!
เสียงดังสนั่นทั่วป่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองทัพนับแสนยังไม่ทันได้เคลื่อนตัวออกจากค่าย ก็ล้มระเนระนาดร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ทหารนับแสนเหลือไม่ถึงครึ่ง ต่างพากันตื่นกลัวอาวุธร้ายที่ไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใด
นั่นเป็นเพราะบางส่วนถูกฝังไว้ใต้ดิน บวกกับที่พลธนูยิงออกมา ทำให้กองทัพนี้เกิดความเสียหายมากมาย ทุกคนต่างก็ตื่นกลัวไม่เว้นแม้แต่ตัวแม่ทัพใหญ่ เพราะไม่เคยพบเห็นความร้ายกาจของอาวุธเช่นนี้มาก่อน
“บุก!!” ฟางเหยียนส่งเสียงนำคนของตนเข้าโจมตีขนาบหลัง เสียงดาบฟาดฟันกันดังก้องทั่วทุ่ง ยามนี้แต่ละฝ่ายมีทหารเทียบเท่ากัน
แต่ทางแคว้นจิ้งนั้นเสียขวัญจากอาวุธร้ายและเสียงของมัน จึงทำให้เสียเปรียบ และไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ ฟางเหยียนควบม้าเข้ามาหาแม่ทัพของศัตรู ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด คมดาบฟาดฟันกันไปมาเพื่อเอาชีวิตอีกฝั่ง
สุ่ยเหอยกดาบในมือขวางไม่ให้ฟางเหยียนฟาดคมลงมา เขาถีบเข้าที่ช่วงตัวอีกฝ่าย พอเห็นแม่ทัพหนุ่มล้มลงก็หมายจะซ้ำ แต่ร่างสูงที่นอนอยู่บนพื้นพลิกตัวหลบได้ทัน ก่อนจะใช้ขาเกี่ยวเขาจนเสียหลัก
ทำให้ได้โอกาสสวนดาบแทงเข้าที่ท้องของสุ่ยเหอ อีกฝ่ายล้มลงกระอักโลหิตออกมาทันที เหล่าทหารที่เห็นเช่นนั้นก็พากันขวัญเสีย จนพลาดท่าถูกสังหารตายกันมากมาย บางคนหนีไปอย่างน่าสมเพช
“เฮ้!! เฮ้!!” เสียงร้องยินดีในชัยชนะดังขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายแตกพ่ายหนีไปคนละทิศละทาง
“อย่าพึ่งดีใจไปทหาร ไปรวมพลกับทัพเสริม ตีชิงเมืองคืนมาให้ได้เสียก่อน” ฟางเหยียนเอ่ยบอกกับคนของตน ก่อนจะชักดาบออกจากร่างของแม่ทัพต่างแคว้น
ร่างสูงสง่ากระโดดขึ้นม้าอีกครั้ง ก่อนจะควบกลับไปยังเมืองถาน ซึ่งมีทัพเสริมจากตะวันออกมาช่วย และเขาสั่งให้โจมตีทางนี้ซึ่งมีกำลังพลอีกครึ่งของแคว้นจิ้งอยู่ด้านใน
กองทหารที่เหลือเกือบจะเท่าจำนวนเดิม มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง ซึ่งยามนี้การต่อสู้ยังคงสูสีกัน แต่พอทัพของฟางเหยียนบุกมาช่วย ฝ่ายนั้นก็เสียเปรียบ จนสามารถจับรองแม่ทัพได้สำเร็จ เหล่าทหารต่างก็กลายเป็นนักโทษ
ยามนี้ทัพจิ้งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และสูญเสียแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว ฟางเหยียนจึงนำกำลังส่วนหนึ่งยกทัพไปชิงอีกเมือง ซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าสิบลี้ ใช้เวลาเดินทางเกือบวัน
ยามนี้เขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมืองซึ่งดูรกร้าง กลุ่มทหารเฝ้าอยู่พอรู้ข่าวว่าแม่ทัพตนถูกสังหาร และทัพแตกพ่ายต่างก็พากันหนีกลับแคว้นของตนไปแล้ว
“จัดเวรยามให้ดี แจ้งข่าวไปที่เมืองหลวงได้เลย เราได้สองเมืองกับคืนมาแล้ว” ฟางเหยียนเอ่ยกับคนของตน เพื่อให้ม้าเร็วส่งข่าวให้ราชสำนักรู้
“เฮ้!! เฮ้!! เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว” เสียงของเหล่าทหารดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างก็โห่ร้องยินดี พร้อมกับร้องเรียกชื่อของแม่ทัพตนดังลั่นไปทั่วเมือง
“แม่ทัพซูเก่งกาจยิ่งนัก ดูเอาเถอะรบไม่ถึงสามวันก็ได้เมืองกลับคืนมาแล้ว ข้านับถือจริงๆ” เสียงของคนจากสำนักคุ้มภัยเอ่ยขึ้น แต่จูเต๋อกลับเลี่ยงไปเอ่ยอย่างอื่น
“จบศึกแล้วเราเดินทางกลับกันเลยดีกว่านะ เจ้าว่ายังไงมู่หราน” จูเต๋อหันมาเอ่ยกับคนตัวเล็กที่นั่งแกะเม็ดถั่ว
“อืม” ประโยคเดียวที่ตอบกลับมา มันก็ทำให้คนถามยิ้มกว้างได้แล้ว ก่อนจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพื่อมาดื่มฉลองกันหลังจากนี้
“พี่คิดว่าจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้เลย เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับรอคำตอบ
“แล้วแต่พี่เถอะ เราเองไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเหนียวตัวอยากไปอาบน้ำ ขอตัวก่อน” มู่หรานเอ่ยบอก ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องพักของตน คนฟังจึงยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินแยกไปพักเช่นกัน บ่ายคล้อยหลังจากจัดการชำระเนื้อตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงของจวนเจ้าเมือง พร้อมกับอาหารมากมาย
“แล้วท่านแม่ทัพล่ะ” คนในสำนักคุ้มภัยเอ่ยถาม
“เจ้าคงไม่รู้ว่าแม่ทัพของเราไม่เคยฉลองชัยชนะดื่มด่ำความสุขเช่นผู้อื่น ยามนี้คงอยู่กับทหารข้างนอก หรือไม่ก็บนกำแพงนู่นแหละ ยามศึกเช่นนี้ท่านแม่ทัพไม่อาจรื่นเริงได้หรอก เราเตรียมทุกอย่างให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว เชิญทานกันให้อร่อย ศึกครานี้ชนะได้ก็เพราะอาวุธร้ายของพวกท่าน พวกเราขอขอบคุณที่มาช่วยในครานี้”
นายกองหวัง ผู้ที่เคยเอ่ยถ้อยคำปรามาสสตรีตัวน้อย กล่าวพร้อมกับก้มคำนับทุกคนที่นั่งอยู่ กลุ่มของมู่หรานจึงลุกขึ้นคำนับตอบเช่นกัน ก่อนที่ทั้งหมดจะผละออกไป ปล่อยให้คนของสำนักคุ้มภัยดื่มกินกันต่อ
“มู่หรานไก่ผัดนี่อร่อยมากเลยนะ เจ้าชิมดูหรือยัง”
“พี่กินเถอะ ข้าจะกลับห้อง อยากพักแล้ว”
“อะไรกัน เจ้ากินไปนิดเดียวเองนะ” จูเต๋อเอ่ยเสียงดัง เพราะตอนนี้เขาดื่มไปมากแล้ว ซ้ำยังทำลุ่มล่ามกับนาง ด้วยการดึงมืออีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งที่เขาไม่เคยทำแบบนี้เลย
มู่หรานไม่ได้เอ่ยท้วงเพียงแค่มองกลับด้วยสายตาตำหนิเท่านั้น จูเต๋อจึงต้องรีบปล่อยมือ ก่อนจะมองตามร่างเล็กเดินออกจากห้องโถงนี้ไป
“ไยเจ้าถึงได้เย็นชากับข้าเช่นนี้” ชายหนุ่มตัดพ้อในใจ ตลอดเวลาแม้จะทำดีกับนางแค่ไหน มู่หรานก็ยังคงปฎิเสธความรู้สึกเขาอยู่ดี และไม่เคยมองเขาเป็นอย่างอื่นนอกจากพี่ชาย แม้จะผ่านมาหกปีแล้วที่รู้จักกัน
มู่หรานไม่ได้กลับห้องไปอย่างที่บอกกับจูเต๋อ นางออกไปเดินเล่นในเมือง ซึ่งมีทหารเดินยามไปทั่ว ทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม เพราะรู้ดีว่าชัยชนะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ก็เพราะอาวุธของพวกนาง
ใบหน้างามส่งยิ้มให้ทุกคนตอบรับคำขอบคุณ ก่อนจะเดินผละออกไปที่ประตูทางทิศใต้ เพราะที่นั่นไม่ค่อยมีทหารมากนัก ร่างเล็กนั่งลงบนพื้นพิงกำแพง มองท้องนภาซึ่งมีหมู่ดาวส่องแสงเป็นประกายมากมาย ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางๆ ให้กับความสวยงามเบื้องบน จนไม่รู้ว่ามีใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย
“ไยไม่อยู่ดื่มกินกับคนของเจ้าล่ะ ออกมานั่งตากน้ำค้างตากลมทำไม” เสียงทุ้มดังขึ้น ทำให้มู่หรานรีบหันมาทันที
“ทะ ท่านแม่ทัพมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้ เจ้ายังนั่งอยู่ตรงนี้เลย”
“เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องกลับแล้ว เริ่มดึกแล้วอากาศเย็น” มู่หรานหาทางเลี่ยงทันที
“จะรีบไปไหน นั่งคุยกันก่อนสิ” ร่างสูงเอาตัวเองบังไม่ให้คนตัวเล็กเดินหนี ทำเอาสองเท้านี่ต้องหยุดชะงักทันที มู่หรานยกมือขึ้นมาปิดปากทำท่าหาวใส่อีกฝ่าย
“หึ! ข้าไม่เชื่อเด็กเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าหรอกนะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน เขารั้งชายผ้าคนน้องให้นั่งลงข้างกัน ซึ่งเป็นการนั่งพิงกำแพงเหมือนที่นางทำตอนที่เขามาเห็นนั่นแหละ ตอนนี้มู่หรานเลยได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ เพราะอีกฝ่ายนั่งใกล้เหลือเกิน
“ทำไม ไยถึงไม่เอ่ยสิ่งใดเลย หรือไม่อยากอยู่กับข้า”
“ชายหญิงไม่อาจอยู่ใกล้กันเจ้าค่ะ” แม้จะตอบเขาไปอย่างนั้น แต่ในใจก็คิดไปอีกอย่าง “ขอเอาคำพูดของคนแก่มาใช้หน่อยเถอะ อยู่ใกล้แบบนี้รู้ไหมใจมันสั่น” เพราะยามนี้มู่หรานใจเต้นรัวจนกลัวเขาจะได้ยิน เลยต้องทำเป็นตื่นกลัวถดตัวหนี
“นั่นสินะ เจ้าเองก็เป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กสิบขวบเหมือนแต่ก่อน” เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับขยับออกห่างเล็กน้อย เพราะบนนี้มีเวรยามเดินตรวจตราทุกก้านธูป เขาเองก็ไม่อยากให้คนตัวเล็กถูกครหา
# แม่ทัพก็ช่างหาโอกาสดีจริงๆ