บท
ตั้งค่า

10. อบอุ่น

ยามนี้จันทราสาดแสงลงมา ให้ความสว่างแก่กลุ่มของแม่ทัพหนุ่มแล้ว จึงง่ายต่อการเดินทาง

“หนาวหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้า ยามนี้มู่หรานตกอยู่ในอ้อมกอดแกร่ง เขาไม่ยอมให้นางนั่งม้าไปเอง เพราะนางดูอ่อนเพลียมาก

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ เพราะตอนนี้ตัวนางแทบจะหลอมเป็นร่างเดียวกับเขาอยู่แล้ว ก็คนตัวโตเล่นนั่งเบียดจนตัวติดกัน จะรับรู้ถึงความหนาวเย็นด้านนอกได้เช่นไร

“ท่านแม่ทัพ ม้าเราคงเดินไม่ไหวแล้วขอรับ ตรงนั้นมีเนินถ้ำอยู่ พอให้บังลมได้บ้าง ข้าน้อยคิดว่าเราพักที่นี่ก่อนเถอะ” เป่ยซูเอ่ยแนะ ฟางเหยียนจึงพยักหน้า เพราะดูท่าคนตัวเล็กคงอยากจะหลับเต็มทีแล้ว

“อืม งั้นก็พักกันที่นี่ก่อน” สิ้นคำสั่งทุกคนก็บังคับม้าหันไปที่เชิงเขา ซึ่งมีผาสูงตั้งอยู่ และมีช่องลึกเข้าไปพอให้หลบลมเย็น ม้าถูกมัดรวมกันไว้ พร้อมกับก่อกองไฟให้ความอบอุ่นอยู่ไม่ไกล หน่วยเกราะดำแบ่งกันเฝ้ายามและหาอาหาร เพราะยังไม่ดึกมากนัก ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกวางตัวใหญ่

“เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ ชานเหลียง” จางลู่เอ่ยชมสหาย

“หึ! ไปไหนกับคนผู้นี้ไม่ต้องกลัวอดหรอก มีแต่ของดีให้กินทั้งนั้น” สหายอีกคนเอ่ยขึ้น ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบสงบของผืนป่า

“ง่วงมากก็นอนเถอะ ข้าจะให้คนเก็บไว้ให้ตอนเช้า” เสียงทุ้มดังขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็ก ที่เอาแต่จ้องกวางบนเตาไฟ หนังของมันกำลังถูกความร้อนจนน้ำมันแตกกระเซ็น แลดูคงจะนุ่มกรอบไม่น้อย

ความหิวทำให้นางยังคงถางตารอ เพราะหนีจากคนร้ายตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลยสักนิด แต่เปลือกตานี่สิไม่รักดีเอาซะเลย มันคอยแต่จะปิดอยู่เรื่อย จนคนตัวโตอดขันไม่ได้กับการกระทำของนาง

“เอาเถอะ นอนเสียข้าจะให้เป่ยซูเก็บน่องใหญ่นั่นไว้ให้เจ้าแล้วกัน นอนเถอะนะ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับจับมือเล็กที่ถางตาตนเองลง แล้วรั้งนางเข้ามากดให้นอนลงบนตัก เสื้อคลุมผืนหนาถูกปลดออกมาห่มให้อย่างเบามือ เพราะหัวถึงตักคนตัวเล็กก็หลับไปเลย

“คงจะล้ามากนะขอรับ ตัวก็แค่นี้เอง” จางลู่เอ่ย ทำให้ทุกคนหันมามองอย่างเอ็นดู ในหน่วยเกราะดำนี้ ไม่มีคนใดไม่รู้ว่าเจ้านายของพวกเขาพึงใจมู่หราน

“ถ้าเรามาช้ากว่านี้ ไม่รู้ว่านางจะถูกจับไปที่ใดนะขอรับ จะว่าเป็นคนจากแคว้นจิ้งก็ไม่น่าใช่”

“นั่นสิ ทีแรกก็ลืมคิดเรื่องไต่สวน ดันสังหารพวกมันเสียหมดเกลี้ยง เลยไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่บงการ”

เหล่าลูกน้องคนสนิทของฟางเหยียนต่างก็พูดคุยหารือกัน เป็นเช่นนี้เสมอเพราะแม่ทัพหนุ่มเคารพความคิดของทุกคน สามารถพูดคุยออกความคิดเห็นได้ แต่ต้องเป็นยามที่ไม่ได้อยู่กับผู้อื่นเท่านั้น

“อย่างไรก็อย่าประมาท พวกมันอาจไม่ได้มีแค่นี้ก็ได้” เพราะเคยพลาดมาแล้ว ฟางเหยียนจึงคิดรอบคอบมากกว่าเดิม ตั้งแต่เติบโตมารอบตัวเขาไม่เคยมีคำว่าปลอดภัย ไม่รู้เหตุใดถึงถูกลอบฆ่าบ่อยครั้ง มากกว่าราชวงศ์คนอื่นๆ ทั้งที่ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเลยสักครา

“อย่าลืมเก็บน่องไว้ให้มู่หรานด้วยนะชานเหลียง” เป่ยซูเอ่ยกำชับสหาย ก่อนจะผละไปนั่งเอนหลังไม่ไกล เพราะเขาจะเป็นเวรต่อไปที่จะเฝ้ายามในช่วงหลังเที่ยงคืน

“แล้วเจ้าไม่กินหรือ” อีกฝ่ายถามกลับ

“มีน้ำใจก็เหลือไว้ให้ข้าสักครึ่งตัวแล้วกัน”

เสียงเย้าดังมา ก่อนที่คำตอบจะลอยไปกระทบกับผนังผาข้างกายคนที่พึ่งเอ่ยจบ มันคือก้อนกรวดเล็กๆ ที่สหายโยนไปแกล้ง ไม่ได้หมายจะให้ถูกร่างกายนั้นหรอก เป่ยซูยกยิ้มทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ไม่นานลมหายใจก็สม่ำเสมอ

“นายน้อยนี่ขอรับ” จางลู่ส่งเนื้อกวางให้ ซึ่งฟางเหยียนก็รับมากินก่อนจะตามด้วยน้ำและล้างมือ

“ขอบใจ เจ้าไปพักเถอะ ข้าฝากดูแลด้วยนะ ใครที่เป็นยามผลัดแรก” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ก็พอให้ทุกคนได้ยิน ร่างสูงสามนายรับคำ ก่อนจะหามุมนั่งเฝ้ายาม ซึ่งผลัดกันคนละหนึ่งชั่วยาม {= 2 ชั่วโมง }

นัยน์ตาคมก้มลงมองคนตัวเล็กบนตัก ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา เขาอยากให้ช่วงเวลานี้คงอยู่นานๆ สุขใจเหลือเกินยามที่มีนางอยู่ใกล้เช่นนี้ แต่! จู่ๆ ใบหน้าที่หันออกไปด้านนอก ก็พลิกเข้ามาหาตัวเขา

พร้อมกับปีนขึ้นมาหาความอบอุ่น ซึ่งการกระทำของนางทุกคนที่ยังไม่ทันได้หลับต่างก็พากันตะลึงงัน รอดูว่ามู่หรานจะทำเช่นไรต่อไปจากนี้ แน่นอนนางขึ้นมาอยู่บนตักแม่ทัพแล้ว พร้อมกับหดขาเอาไว้ราวกับลูกแมวก็ไม่ปาน และยามนี้ใบหน้างามซุกอยู่ที่ซอกคอของอีกฝ่าย

ฟางเหยียนใบหน้าแดงก่ำจนรามมาถึงหู ลมหายใจหอบถี่ไม่รู้ต้องวางมือไว้ตรงไหน สุดท้ายก็ยกขึ้นมาโอบกอดเอาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้นาง

“ดูท่าคืนนี้นายน้อยคงไม่หนาวแล้วนะขอรับ”

“นั่นสิ เช่นนี้เราก็คงขาดเวรยามไปอีกหนึ่งแน่ๆ เพราะนายน้อยคงลุกไม่ได้จนกว่านางจะตื่น”

“นอนไปเลยพวกเจ้า พูดมากข้าจะตัดเงินเดือนให้เข็ด” เสียงเอ็ดแหบพร่าแว่วมา พร้อมกับก้อนหินเล็กๆ ตามมาปะทะร่างให้พอเจ็บๆ คันๆ ทำเอาลูกน้องที่เอ่ยเย้าต่างก็พากันหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นผู้เป็นนายเขินอายเป็นครั้งแรก

“คอยดูเถอะ ข้าเอาคืนเจ้าแน่มู่หราน โทษฐานทำให้ข้าถูกล้อ” ฟางเหยียนนึกในใจ แต่ก็มีความสุขเหลือเกินที่มีคนน้องนอนอยู่บนตักเช่นนี้ อ้อมแขนแกร่งกระชับกอดเบาๆ เกรงอีกฝ่ายจะอึดอัด ก่อนจะปิดเปลือกตาลง

จิ๊บ!!จิ๊บ!!

นกตัวน้อยบินโฉบไปมาบนอาหารที่คาอยู่บนเตาย่าง ปลุกให้คนที่หลับไปก่อนใครๆ ตื่นขึ้นมา ดวงตาสวยเปิดขึ้นก็มองเห็นเพียงแค่ผิวกายบางส่วน พร้อมกับบางสิ่งที่มันเคลื่อนตัวไปมาตามแรงหายใจ

“ยะ แย่แล้วมู่หราน นี่แกนอนซบใครอยู่ คงไม่ใช่” ไวกว่าความคิดก็ร่างกายนี่แหละ นางดีดตัวออกจากซอกคออีกฝ่ายทันที ถึงได้รู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่บนตัวของแม่ทัพหนุ่ม

“ตื่นแล้วก็ลุกเถอะ ขาข้ามันเริ่มไม่รู้สึกอันใดแล้ว”

“อ่ะ! ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ” เสียงติดขัดดังขึ้น พร้อมกับเหยียดตัวออกจากตักของคนตัวโต มายืนทำหน้าเหวออยู่ไม่ไกล มองซ้ายขวาก็เห็นแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคน

“ตรงนั้นมีลำธาร เจ้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ จะได้มากินเนื้อกวางที่เก็บไว้ให้” เป่ยซูเอ่ยเพื่อไม่ให้นางต้องอายมากกว่านี้ เพราะแต่ละคนก็ดูเหมือนพยายามกลั้นขำกันอยู่ เกรงว่าถ้าระเบิดออกมามู่หรานคงไม่กล้าสู้หน้าแน่

ร่างเล็กไม่รีรอรีบเดินไปทันที ยามนี้รู้สึกอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแล้ว ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าขึ้นไปนอนบนตัวอีกฝ่ายได้ยังไง น้ำเย็นในลำธารไม่อาจลดความกระดากอายลงได้เลย มันถูกกวักขึ้นมาชำระใบหน้าถี่รัว

“เบาๆ เปียกหมดแล้วนั่น มีอาภรณ์เปลี่ยนหรือ”

คนด้านหลังตำหนิเสียงเบา ทำให้นางได้สติ แต่ก็ไม่กล้าหันกลับมา เพราะรู้ดีว่าใครที่เอ่ยถ้อยคำนี้

“หึหึ ทำไม ไม่กล้าหันมามองหน้าข้าเลยหรือ ทีเมื่อคืนปีนขึ้นมาซุกคอข้าไม่เห็นกะ อื้อ”

มือเล็กปิดปากคนตัวโตทันที

“ห้ามพูดนะ แค่นี้ข้าน้อยก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว”

ฟางเหยียนยกยิ้มภายใต้อุ้งมือเล็ก ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วห่มเสื้อคลุมให้นาง เพราะอากาศยังคงหนาวเย็นอยู่ แม้แสงอาทิตย์จะเริ่มสาดส่องลงมาแล้ว

“ขะ ข้าน้อยขออภัยที่เสียมารยาทนะเจ้าคะ” มู่หรานเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป แม่ทัพหนุ่มมองตามพร้อมกับยิ้มเอ็นดู

“อีกหน่อยเจ้าจะได้ทำมากกว่านี้มู่หราน” เสียงทุ้มเปล่งออกมา ก่อนจะนั่งลงชำระล้างใบหน้าของตนเช่นกัน บางคราเขาก็อยากเว้นระยะห่างกับนาง แต่พอได้ใกล้ชิดมากขึ้นมันก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้

หลังจากกินอาหารในช่วงเช้าเรียบร้อย ทั้งหมดก็ออกเดินทางกลับค่ายที่เมืองหวาย ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด และคนของสำนักคุ้มภัยที่เหลือสามคนก็พักรักษาตัวที่นี่ รวมถึงจูเต๋อ ที่ฟางเหยียนพบในระหว่างเดินทางมา จึงให้หน่วยเกราะดำนำตัวมาส่งรักษา

“มู่หรานเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่พวกท่านอาล่ะ หายไปไหนตั้งหลายคน” นางรีบถามถึงคนอื่นๆ ทันที แต่ก็ได้พบกับสีหน้าเศร้าที่ตอบกลับมา พาให้ใจหดหู่จนไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใด

“เป็นเพราะพี่เองที่ประมาท ทำให้พวกท่านอาต้องจากไปเช่นนี้” จูเต๋อเอ่ยเสียงเศร้า

“อย่าโทษตัวเองเลย ใครจะคิดว่าพวกมันจะวางยาเช่นนี้ล่ะ” เสียงของคนที่รอดชีวิตดังขึ้น เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ใดคาดคิด เพราะคนเหล่านั้นบอกว่าตนเป็นพ่อค้า ต้องการเดินทางไปเมืองหลวง แต่ยังไม่ชำนาญเส้นทาง จึงขอติดตามไปด้วย พวกตนจึงไม่ได้ระวังเท่าที่ควร

พอหยุดพักก็ดื่มน้ำกันตามปกติไม่คิดว่าจะถูกวางยา ดีที่พวกตนไม่ได้หิวในยามนั้นจึงต่อสู้จนรอดคมดาบมาได้

“ทุกคนยังบาดเจ็บอยู่ พักรักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยเดินทางเถอะ” เป่ยซูเอ่ยกับทุกคน ก่อนที่เขาและผู้เป็นนายจะแยกตัวกลับไปที่เมืองถาน

“ชิ! ไปก็ไม่ลาเลยนะ” มู่หรานคิดในใจ มองบุรุษร่างสูงที่ควบม้าออกจากเมืองโดยไม่หันกลับมามองนางสักนิด

“หรือเขาจะโกรธเราเรื่องเมื่อคืน นั่นสินะ คนสูงส่งเช่นนั้นเขาไม่สั่งโบยเราก็ถือว่าบุญแล้วล่ะมู่หราน” นางตำหนิตนในใจ ก่อนจะเศร้าหนักกว่าเดิมเมื่อเจอคำของพี่ชายคนสนิทเอ่ยออกมา

“เขาก็แค่มาช่วยคนเท่านั้นสินะ พอเห็นว่าปลอดภัยก็รีบกลับทันที ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองคนใหม่เดินทางมาถึงเมืองถานแล้ว บุตรสาวก็มาด้วย นางงามมากเลยนะมู่หราน อย่างกับเทพธิดาเลยล่ะ เห็นทีครานี้ท่านแม่ทัพคงได้ฮูหยินเข้าจวนเป็นแน่แท้”

“งั้นหรือ ก็ดีแล้วนี่” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา เพื่อตามบ่าวรับใช้ไปยังห้องพัก เพราะฟางเหยียนสั่งให้จัดไว้ที่จวนรับรอง โดยมีคนของเขาอีกห้านายคอยเฝ้าอยู่ แต่ยามนี้มู่หรานไม่ได้สังเกตสิ่งใด

ในใจมันวุ่นวายสับสนจนไม่อยากพูดคุยกับผู้ใด จูเต๋อยังคงเดินตามมาจนถึงห้อง มือเล็กรีบปิดประตูใส่เขาในทันที เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายจะเอ่ยสิ่งใดต่อ

“ข้าเหนื่อยอยากพัก พี่ก็ควรไปพักจะได้หายเร็วๆ เราจะได้ออกเดินทางกลับบ้านกัน” เสียงสั่นตะโกนตอบกลับมาจากอีกฝั่งประตู ก่อนที่จะเงียบไป 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel