บท
ตั้งค่า

บทที่7

เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน

"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา จึงทำให้ชาวนาส่วนมากได้รับความเสียหายจากการบุกรุกของพวกมัน"

"ท่านพี่มันอร่อยนะเจ้าคะ" หลี่หลิวพูดคลอเคลียข้างหูพี่ใหญ่ นางพูดด้วยสุ้มเสียงรื่นหูดุจดังสายน้ำทำให้พี่ใหญ่ต้องอุทานออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

"เอาอีกแล้วหรือ?" หลี่จงเอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย นี่น้องรองของข้าจะเอาทุกสิ่งอย่างมาทำเป็นอาหารเลยหรืออย่างไร

"ฮ่า ฮ่า ข้ารู้หรอกว่าท่านจะพูดอะไร แต่มันกินได้.."

"ได้ ๆ ข้าเชื่อเจ้าหมดใจ อะไรที่เจ้าบอกว่ากินได้ก็คือกินได้นั่นแหละ" หลี่หลิวกำลังจะอธิบายให้พี่ชายเข้าใจว่า ถึงมันจะกินใบไม้ใบข้าวเป็นอาหาร แต่พวกมันก็อร่อยไม่ต่างจากเนื้อสัตว์นัก มาบัดนี้พี่ชายกับยอมรับแถมบอกเชื่อมั่นในตัวนางเสียอย่างนั้น

"ดีเลย งั้นท่านช่วยข้าเอาเศษฟางที่มีอยู่มาขัดเปลือกพวกมันพอประมาณ แล้วจึงนำไปต้มใส่ขิงลงไปด้วยเพื่อดับกลิ่นคาวของมัน"

"ย่อมได้"

"ต้มเสร็จแล้วท่านค่อยเรียกข้า ข้าคันเนื้อตัวจะไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวก่อน"

"ตกลงข้าจะทำตามที่เจ้าบอก"

หลี่หลิวเกาะบ่าพี่ใหญ่แล้วอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ การมีพี่ชายแล้วตามใจเราทุกอย่างมันดีแบบนี้นี่เอง ถึงแม้ว่าพี่ชายข้าจะอายุเพียงเก้าปีเท่านั้น แต่กลับรู้ความรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ หากพี่ใหญ่ได้เล่าเรียนในเมืองจะดีแค่ไหนกันนะ

เรียนงั้นหรือ! ที่นี่ต้องมีโรงเรียนสิไม่เช่นนั้นจะมีหนังสือให้คนรุ่นหลังได้อ่านเช่นไร แล้วทำไมพี่ชายของข้าที่อายุก็ปาเข้าเกือบสิบปีแล้วถึงยังไม่ได้เข้าเรียนอีกล่ะ เมื่อหลี่หลิวสอบถามพี่ใหญ่ของนางกลับได้คำตอบที่ว่าเพราะครอบครัวของเราไม่มีเงินตรา ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้ส่งเสียให้เขาเข้าเรียน อีกอย่างหากจะเข้าเรียนต้องเทียวไปเทียวกลับระหว่างตัวเมืองกับชนบท และคงกินเวลามากเพราะที่บ้านไม่มีรถลาก ถึงแม้นจะมีรถลากหรือรถม้าข้าคิดว่าท่านย่าคงไม่ยอมปล่อยให้พี่ใหญ่ได้เล่าเรียนเป็นแน่

หลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความสนใจ นางจึงได้คิดทบทวนในระหว่างที่อาบน้ำแต่งตัว หากย้ายไปอยู่ในเมืองเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ และถ้าอยู่ไม่ไกลจากย่านการค้านักจะดีมากแค่ไหน พี่สามกับเจ้าเล็กคงได้เข้าเรียน และมีความรู้ติดตัวมาบ้าง

"ได้แล้วล่ะ ข้าต้มหอยทากพวกนั้นจนมันอ้าปากตามที่เจ้าบอกแล้ว ไปดูก่อนเถอะว่าได้หรือยัง" หลี่หลิวที่คิดวางแผนการอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ ก็พี่ใหญ่เล่นมาเงียบ ๆ เช่นนี้ถ้าข้าบ้าจี้ตกใจจนหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง

"ข้าตกใจหมดเลย!!"

หลี่หลิวโวยวายใส่พี่ใหญ่แต่ก็ยังเดินตามพี่ใหญ่ไปอย่างว่าง่าย เมื่อไปถึงนางบอกให้พี่ใหญ่ยกหม้อลง และปิดฝาหม้อให้สนิทเทน้ำออกจนหมดรอให้อุ่น ๆ แล้วชวนพี่ชายใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มหอยทากตัวอ้วน ๆ ออกมา จากนั้นทำความสะอาดใช้มีดปาดเอาเนื้อสีดำออกตัดส่วนหางทิ้งไป ก็จะได้หอยทากที่เนื้อขาวใส จากนั้นจึงหั่นบาง ๆ ตั้งเตาผัดด้วยไฟอ่อนใส่พริกหวานสีแดงสดใส ปรุงรสโรยด้วยงาขาวแล้วตักใส่จาน เมื่อหลี่จงชิมแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้น้องสาวอีกตามเคย เนื้อสีขาวเหนียวนุ่มกรุบกรอบหอมงาอร่อยมัน ๆ มีตัดเลี่ยนด้วยพริกสีแดงอร่อยลงตัวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายตัวเองหลี่หลิวก็รู้ได้เลยเมนูนี้เปิดตำนานได้อีกครั้ง นอกจากหน่อไม้แล้วหอยพวกนี้ก็ทำเงินได้เช่นกัน และหากมีเครื่องปรุงมากกว่านี้คงจะดีไม่น้อย หรือบางทีในตัวเมืองอาจจะมีเครื่องปรุงรสเช่นพวกซอส หรือน้ำจิ้มด้วยก็เป็นได้ ไว้ค่อยถามท่านพ่อตอนไปดูม้าพรุ่งนี้อีกทีก็แล้วกัน

"เที่ยงนี้ท่านอยากกินอะไรพิเศษไหม"

"น้องรองไม่ว่าเจ้าทำอันใดพี่ก็กินได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะถามว่าข้าชอบอะไรคงเป็นเกี๊ยวน้ำ" เจ้าใหญ่จำได้ว่าเมื่อครั้งลุงสามน้องชายคนเล็กของท่านพ่อแต่งออกไปเคยได้กินอยู่ครั้งหนึ่ง มันทั้งหอมหวานกลมกล่อมยิ่งมีเนื้อผสมอยู่ในนั้นด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มรสชาติได้เป็นอย่างดี เขายังจดจำรสในครานั้นได้ไม่ลืมเลือน

"เกี๊ยวหรือ"

"ใช่มันคือเกี๊ยวน้ำที่มีเนื้อผสมอยู่ข้างในด้วย มันอร่อยมาก ๆ เลยล่ะ"

"อืม งั้นท่านพี่ต้องรอพรุ่งนี้แล้วล่ะ เพราะบ้านเราไม่มีแป้ง ไว้พรุ่งนี้ข้าจะซื้อแป้งมาด้วยแล้วเราค่อยมาช่วยกันห่อเกี๊ยวนะ"

หลี่จงมองดูหน้าน้องรองอย่างสงสัย นางจะทำเกี๊ยวเนื้อเป็นจริง ๆ งั้นหรือ ข้าเคยได้ยินท่านแม่บอกว่าหากผสมแป้งไม่ดีเกี๊ยวก็จะแข็งไม่นุ่มจึงไม่ค่อยมีใครทำกันมากนัก อีกอย่างด้วยราคาแป้งที่มันค่อนข้างจะแพงกว่าข้าวหลายขุม การที่เขาบอกสิ่งที่ชอบไปแบบนี้จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันนะ

"แต่แป้งราคามัน.."

"นี่! พี่ลืมไปแล้วหรือ ข้าน่ะแค่ขายผัดหมูใส่ผักก็ได้เงินมามากมายกว่าวันแรกเสียอีก กะอีแค่แป้งแค่ไม่กี่ถุงขนหน้าแข้งท่านพ่อของเราไม่ร่วงหรอกน่า"

เมื่อนางรู้ว่าพี่ใหญ่ตัวน้อยกลัวที่จะเสียเงินมากเกินไป นางจึงรีบพูดตัดบทเขา ในเมื่อมีเงินเราก็ไม่ควรประหยัดจนเกินไป อะไรที่ทำแล้วมีความสุขไม่เดือดร้อนใครก็สมควรทำ ส่วนอะไรที่ทำแล้วครอบครัวเดือดร้อนก็มิควรทำเช่นกัน

"หากท่านอยากชดใช้ท่านก็หาเก็บหอยทากตัวใหญ่ ๆ อ้วน ๆ ให้มากสิเจ้าคะ แล้วคราวหน้าค่อยนำมันไปทำอาหารขายที่ตลาดเช้ากัน ข้าว่าท่านพ่อจะดีใจจนยิ้มไม่หุบเลยแหละ" หลี่หลิวเอานิ้วชี้เข้าไปดึงมุมปากตัวเองแล้วฉีกยิ้มกว้าง ๆ เหมือนกับเวลาที่ท่านพ่อได้รับเงิน เมื่อพี่ใหญ่เห็นเข้าจึงรีบให้นางเอามือลงหากท่านพ่อเห็นเข้าอาจจะติเตือนว่าเป็นเด็กเป็นเล็กหัดล้อเลียนผู้ใหญ่

"ได้ ข้าจะเก็บหอยพวกนี้ให้มากหน่อยในวันพรุ่ง และจะต้มล้างหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ไว้รอเจ้าด้วย"

พี่ใหญ่เข้าใจที่น้องรองจะบอก หากอยากช่วยครอบครัวก็ควรช่วยกันทำงาน เวลาใช้จ่ายจะได้ไม่เสียใจมากนัก เพราะว่ากว่าเราจะสามารถหาเงินมาเพิ่มได้อีกเรื่อย ๆ เช่นกัน

"เช่นนั้นท่านพี่อุ่นข้าวต้มเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะทำกับข้าวอีกสักอย่างจะได้ดูไม่ขี้เหนียวจนเกินไป"

พี่ใหญ่ใหญ่ตอบรับ และมองไปที่น้องรองที่กำลังหั่นนั่นทีหั่นนี่ที พอเห็นแบบนั้นในใจเขาก็คิดอยากช่วยนาง แต่กลัวว่าจะทำให้นางเสียเวลาไปซะเปล่า จึงได้แต่นั่งเฝ้าหม้อข้าวต้มรอจนมันเดือดแล้วยกลงจากเตา หลี่หลิวผัดเนื้อวัวใส่หน่อไม้หั่นพริกสไลด์ใส่เพิ่มสีสันปรุงรสเป็นอันเสร็จ แค่นี้ก็มีอาหารสามอย่างแล้ว

"ไปเรียกพวกท่านพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ"

หลังจากช่วยกันจัดจานบนโต๊ะไม้ไผ่ และตักอาหารวางไว้เรียบร้อยนางจึงชวนพี่ชายไปเรียกท่านพ่อ และทุกคนมาทานมื้อเที่ยง พอหันไปเห็นบ่อปลาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างสายตานางก็เปล่งประกายในทันที

มื้อเที่ยงจบลงทุกคนนั่งพักผ่อนครู่ใหญ่แล้วค่อยลงไปขุดบ่อต่อ ช่วงบ่ายนี้หลี่จงลงไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ด้วยอีกแรง ระหว่างขุดบ่อท่านลุงกับท่านป้าฉวีก็ชมบุตรสาวของหลี่หงที่ทำอาหารได้เก่งกาจไม่ขาดแม้แต่คำเดียว หากเปิดร้านอาหารในเมืองต้องขายดีไม่แพ้ร้านใหญ่อย่างแน่นอน ทำให้หลี่หงคิดไปว่าถ้าเปิดร้านอาหารในเมืองจริงรายได้ต้องมากมายก่ายกองขนาดไหน อีกทั้งบุตรชายทั้งสองยังจะมีโอกาสได้เข้าเรียนอีกด้วย สี่โมงเย็นโดยประมาณบ่อขนาดกลางของหลี่หลิวก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย ในระหว่างที่ขุดก็มีน้ำซึมออกมาด้วยทำให้ตอนนี้ในบ่อมีน้ำขังในระดับนึงแล้ว

"บ่อข้าเสร็จแล้วรึ"

หลี่หลิวได้ฟังจากปากน้องชายที่วิ่งมาบอกนาง นางจึงรุดหน้าไปดูให้เห็นกับตาตนเอง ใช่แล้วมันเสร็จแล้วจริง ๆ อย่างที่น้องเล็กกล่าว หลี่หลิวยิ้มร่าแล้วกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยใจจริง

"ค่ำนี้พวกท่านก็อยู่ทานมื้อเย็นกับพวกเราเถอะ ข้าจะทำหม้อไฟให้ท่านได้ลิ้มลองเดี๋ยวนี้แหละ" หลี่หลิวพูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปทางครัว

"ดูเอาเถอะ ลูกคนนี้ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้" หลี่หงมองตามบุตรสาวแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม

"ท่านพี่ ลูกเรายังเป็นเด็กจริง ๆ นี่เจ้าคะ" หวังลู่ถึงกับกลั้นขำ ลูกสาวตนพึ่งหกขวบเขากลับว่านางทำตัวเหมือนเด็ก นางยังเด็กอยู่จริง ๆ ต่างหากล่ะ ท่านลุงท่านป้าพากันหัวเราะชอบใจที่เขาคิดว่าบุตรสาวตนโตแล้วเพราะนางเก่งด้านอาหารเพียงเท่านั้น แต่กลับลืมไปว่านางพึ่งอายุได้เพียงหกปีเศษเท่านั้นเอง

"ท่านแม่ขอรับ หม้อไฟคืออะไรหรือขอรับ" หลี่เฉินได้ยินที่พี่สาวบอกเพราะเขาเล่นกับเพื่อนอยู่แถวนั้นพอดี จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

"เจ้าก็รู้หนิ ในใจพี่สาวเจ้ามีเมนูแปลกประหลาดอีกมากมายที่นางอยากทำ ไว้นางทำเสร็จเดี๋ยวพวกเราก็รู้เอง เอาล่ะพวกเราล้างแขนขากันสักหน่อยเถอะ" หวังลู่หันไปชวนท่านลุงท่านป้า และพวกเด็ก ๆ ไปล้างมือล้างเท้าที่โดนดินโคลนเปรอะเปื้อน จากนั้นนางค่อยเข้าไปช่วยบุตรสาวในครัว

"มีอะไรให้แม่ช่วยหรือไม่" หวังลู่ที่พึ่งเดินเข้าไปเห็นบุตรสาวกำลังหยิบห่อเนื้อวัวเนื้อหมูออกมาพอดีจึงอยากจะช่วยนาง

"ท่านมาถูกจังหวะมากเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านช่วยข้าหั่นเนื้อให้เป็นแบบนี้แล้วหั่นบาง ๆ หน่อยนะเจ้าคะ"

"แม่จะทำให้ดีที่สุดนะลูก" นางหวังเห็นบุตรสาวทำแล้วจึงรับเนื้อมานั่งหั่นอย่างตั้งใจ เมนูวันนี้ดูแปลกตานัก หลี่หลิวตั้งหม้อขนาดกลางแล้วปรุงรสในหม้อที่มีโครงไก่อยู่ในหม้อสองโครง พอนางปรุงเสร็จก็ถอยไม้ฟืนออกมาเกินครึ่ง แล้วจึงไปหั่นผักกาดที่เอามาจากในมิติมาหั่นให้พอดีคำ เห็ดโคนก็หมดไปแล้วจึงทำแบบพอกินไปก่อน หลี่หลิวหั่นผักกาดขาวเสร็จหนึ่งหัวแล้วจึงมาปอกกระเทียมแล้วทุบ และสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนละเอียดดีแล้ว จากนั้นนำมาใส่ถ้วยใบใหญ่เติมน้ำมันงาน้ำปลาน้ำตาลอ้อยที่พึ่งซื้อมาได้รสชาติมันหวานเค็ม และเติมน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยเวลาเคี้ยวโดนกระเทียมสับก็จะซ่า ๆ เผ็ดชาลิ้น จากนั้นใส่เมล็ดงาขาวคั่วหอม ๆ ลงไป คนจนเข้ากันดีก็จะได้น้ำจิ้มรสชาติที่ลืมไม่ลง

เมื่อเตรียมทุกอย่างจนพร้อมหลี่หลิวก็ให้ท่านแม่ช่วยก่อไฟอีกเตาวางไว้พื้นดินใต้ชายคา นำเสื่อไม้ไผ่มาปูล้อมรอบ ๆ เตาวางผัก และเนื้อไว้รอบ ๆ ด้าน จากนั้นค่อยเรียกทุกคนมานั่งล้อมวง หลี่หลิวบอกวิธีกินอย่างละเอียด น้ำเดือดแล้วใส่ผักใช้ตะเกียบคีบเนื้อใส่ พอเนื้อสุกคีบใส่ถ้วยตนเองตักผักตามชอบ คีบเนื้อจุ่มน้ำจิ้มที่นางแบ่งใส่ถ้วยเล็กไว้สี่มุม แล้วเอามาเป่าก่อนเข้าปากตักน้ำซุปใส่ถ้วยตนแล้วค่อย ๆ ซดตาม เมื่อทุกคนเข้าใจแล้วจึงลองทำตามนาง

"ฮาาา ร้อน ๆ ลิ้นข้าสุกแล้ว" หลี่เฉินที่รีบกินจนลืมเป่าส่งเสียงบอกอย่างร้อนรน เขากลืนเนื้อคำใหญ่ลงไปก่อนที่จะแลบลิ้นแล้วใช้มือพัดไปมาเพื่อหวังให้มันคลายร้อน หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นจึงเอาน้ำให้เขาได้ดื่มกิน

"เจ้าก็กินช้าลงหน่อย" หลี่หลิวบอกน้องชายพร้อมรับขันน้ำกลับมาวางที่เดิม

"มันอร่อยเกินไป ข้าเกือบกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยหลายทีแล้ว"

ท่านพ่อกับท่านแม่ และทุกคนพากันพยักหน้าไปตาม ๆ กัน มันอร่อยจนแทบจะกลืนลิ้นลงคอไปแล้วจริง ๆ เสียงแจ้ว ๆ ของเด็กชายคุยกันตามประสา พร้อมทั้งแย่งกันกินอย่างสนุกสนาน หวังลู่ที่กินไปด้วยพร้อมคีบผัก และเนื้อใส่ให้แทบไม่ทัน จนทุกคนเริ่มกินช้าลงนางถึงได้กินอย่างสะดวกขึ้น มิน่าล่ะเจ้าเด็กพวกนี้ถึงตักเอาตักเอาที่แท้มันก็อร่อยมากขนาดนี้เชียว เมื่อสิ้นสุดมื้อค่ำลงดวงตะวันก็คล้อยลงต่ำ ท่านลุงท่านป้าขอตัวลากลับบ้านแถมยังกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ที่บ้านหลี่ให้พวกเขากินเนื้ออย่างดีมากมายจนพวกเขาอิ่มหนำสำราญ และมันก็อร่อยมากจนพวกเขาน้ำตาไหลเลยทีเดียว หลี่หลิวยังใจดีมอบโคลงไก่ที่เหลือให้พวกเขาไปอีกหนึ่งโคลง แน่นอนว่าไก่ยังคงมันมีเนื้อติดอยู่ไม่น้อย

"เดินทางปลอดภัยนะขอรับ" หลี่เฉินเดินออกมาส่งเพื่อนหน้าประตูพร้อมกับพี่ใหญ่และท่านพ่อ เขาโบกมือหยอย ๆ ส่งเพื่อนกลับบ้าน จากนั้นท่านพ่อปิดประตู และพาหนุ่มน้อยทั้งสองเข้าบ้าน หลี่หงไม่ลืมที่จะจุดคบเพลิงที่หน้าบ้านเพื่อให้ความสว่างในตอนกลางคืนที่จะมาถึง

หวังลู่ และหลี่หลิวช่วยกันล้างถ้วยชามโดยใช้ใยบวบจนเสร็จก็พากันล้างเนื้อตัวเข้านอน ล้างด้วยน้ำเปล่าเช่นนี้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก พรุ่งนี้ต้องลองดูว่ามีอะไรสามารถทำสบู่ได้บ้างเสียแล้ว

เมื่อตอนอายุยี่สิบที่โลกก่อนเธอเคยลองทำสบู่กวนเย็นใช้เองอยู่หลายครั้ง เพราะว่าไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่ฉุนจนเกินไปที่วางขายตามท้องตลาด จากนั้นก็เธอผันตัวมาทำสบู่เก็บไว้ใช้เองเสียเลย ในตอนนั้นเพื่อนที่พักห้องด้วยกันได้ลองใช้ก็พากันชอบในกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่ที่เสี่ยวเหมยทำ ถึงมันจะฟองน้อยไปจนแทบไม่มีเลย แต่มันก็ปลอดภัยกว่าสบู่ที่ทำจากอะไรบ้างก็ไม่รู้ในท้องตลาด พอใช้แล้วผิวก็นุ่มชุ่มชื่นดีอีกด้วยจากนั้นมาพวกเขาก็ไม่ซื้อสบู่มาใช้กันอีกเลย

"พี่รองขอรับ พรุ่งนี้ให้ข้ากับพี่ใหญ่ไปดูม้าด้วยได้หรือไม่"

หลี่เฉินที่เตรียมจะเข้านอนนั่งอ้อนวอนพี่สาวตาละห้อยด้วยความน่าสงสาร นางจึงเห็นอกเห็นใจเพราะว่าน้องชายคงอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตา และเรียนรู้สิ่งใหม่จากภายนอกจึงตอบตกลงไป

"พี่รองของข้าใจดีที่สุดเลยขอรับ" หลี่เฉินกอดแขนเล็ก ๆ ของพี่สาวด้วยความดีใจ ส่วนหลี่จงเอามือเรียวงามที่เริ่มมีสุขภาพดีหยอกล้อหลี่เฉินจนเขาหัวเราะลั่นเพราะโดนจั๊กจี้เอวอย่างบ้าคลั่ง

"ฮา ฮ่า ฮ่า พอ.. พอแล้วขอรับ"

สามพี่น้องเล่นกันอยู่พักหนึ่งจึงพากันดับไฟเข้านอน หลี่หลิวมองพวกเขาที่หลับสนิทดีแล้วก็แอบเข้ามิติไปรดน้ำผักที่นางปลูกไว้ พอมาสังเกตดูดี ๆ ผักกาดขาวที่โตเต็มที่แล้วไม่แก่ลงเลยสักนิดนางก็รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนี้ถึงเธอจะปลูกไว้เต็มกำแพงน้ำมันก็คงไม่มีทางที่จะแห้งโรยรา หลี่หลิวจึงตัดสินใจว่าจะคอยสังเกตดูอีกสักสองสามวัน รอให้มั่นใจมากกว่านี้อีกหน่อยค่อยปลูกเพิ่มก็ยังไม่สาย ต้นหอมที่อวบอั๋น แตงโม และผักอื่น ๆ ก็โตมากแล้ว ใบและกิ่งก้านของแตงโมกับฟักทองเลื้อยยาวเป็นวา หรือจะเป็นเพราะน้ำที่รดต้นไม้พวกนี้กันนะมันถึงได้โตเร็วข้ามวันเช่นนี้ วันข้างหน้าถ้าทำแปลงผักแล้วค่อยลองเอาน้ำในบ่อออกไปรดดูสักหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร หรือจะซื้อตุ่มเล็ก ๆ ใส่น้ำในนี้ออกไปวางไว้หน้าบ้านให้ท่านพ่อท่านแม่ได้กินจะได้แข็งแรง จากการวิเคราะห์ของหลี่หลิวแล้วหลังจากกินน้ำในบ่อนี้ไม่กี่วันรอยฟกช้ำดำเขียวก็มลายหายไปจนหมด ร่างกายกลับมาแข็งแรงแถมยังรู้สึกว่าแข็งแรงกว่าร่างกายเก่าของเด็กคนนี้เสียอีก ขนาดพี่ใหญ่ที่โดนทุบตีพร้อมข้ารอยฟกช้ำที่หลังยังมีเหลืออยู่เล็กน้อย น้ำในมิตินี่อาจจะช่วยอะไรได้มากกว่าที่ข้าคิดก็เป็นได้ หลี่หลิวมองดูยอดอ่อน ๆ ของฟักทองก็กลืนน้ำลายลงคอถ้าเก็บไปผัดคงหวานกรอบอร่อยแน่ ๆ ขนาดผักกาดขาวยังหวานขนาดนั้น จนท่านลุงท่านป้าฉวีชมว่าผักกาดสดช่างหวานอร่อยมากไปซื้อมาจากร้านไหนอยู่เลย เสียดายที่ข้าทำคนเดียวจึงปลูกได้ทีละเล็กทีละน้อยเพียงเท่านั้น หากข้าเอาของที่ปลูกด้านในออกไปมากเกินไปทุกคนจะสงสัยเอาได้ หรือข้าควรจะบอกท่านพ่อว่าข้ามีมิตินี้ดีนะ

หลี่หลิวรดน้ำผักจนครบจึงนั่งคิดทบทวนถึงความหลังไม่รู้ว่าตอนนี้ทางครอบครัวที่โลกนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง หากตนตายจากไปพ่อแม่ และน้องชายจะเสียใจมากแค่ไหน โดยเฉพาะท่านยายที่รัก และเอ็นดูเสี่ยวเหมยมากที่สุดจะซึมเศร้ามากหรือไม่

หลี่หลิวรีบล่ะทิ้งความอาลัยอาวรณ์แล้วกลับออกมาจากมิติ นางนอนลงห่มผ้าแล้วปิดตาทว่าน้ำตากลับไหลออกมาเป็นสาย นางกลั้นเสียงสะอื้นจนมิดนอนตะแคงหันหลังให้พี่ชายจนพล็อยหลับไป

หลี่จงที่ยังไม่หลับสนิทดีเห็นภาพในความมืดอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน น้องสาวของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พอกลับมานางก็นอนร่ำไห้แล้วหลับไป นี่ข้าเห็นอะไรที่แปลกประหลาดเข้าให้แล้วรึ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel