บทที่8
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ
"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"
หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น
"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ
"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในที่สุดหลี่หลิวก็ยอมปริปากออกมา แล้วเงยหน้ามองพี่ใหญ่ที่ขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า สายตาคู่หนึ่งได้ผสานเข้ากับสายตาที่แหลมคมของหลี่จงพี่ชายคนโต
"อืม ข้าเห็นแล้ว" หลี่จงตอบกลับไปด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความสงสัยอยู่มากมาย
"ท่าน ไม่กลัวข้ารึ" หลี่หลิวจ้องตาพี่ชายตัวน้อยด้วยสายตาระยิบระยับอย่างคาดหวัง ในเมื่อเขาเห็นข้าหายตัวได้เขาควรหวาดกลัวสิถึงจะถูก แต่นี่เขากลับมานั่งจับเข่าคุยกันกับข้าแบบนี้ เขาช่างเป็นเด็กน้อยที่กล้าหาญอะไรเช่นนี้นะ
"ข้ากลัว กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป ห่วงว่าเจ้าจะบาดเจ็บตรงไหน และกังวลว่าเจ้าจะหายไปแล้วไม่กลับมา"
หลี่หลิวได้ฟังพี่ชายพูดออกมาเช่นนั้นก็น้ำตาคลอแท้ที่จริงแล้วท่านห่วงใยข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ คงเป็นเพราะข้าอยู่ในร่างของน้องสาวท่านท่านจึงคิดแบบนั้น หากรู้ว่าข้าเป็นคนอื่นไปท่านจะต้องเสียใจมาก ๆ เป็นแน่ที่รู้ว่าน้องแท้ ๆ ได้จากไปไม่หวนคืนอีกแล้ว ในเมื่อข้าก็กลับไปไม่ได้ข้าจะเป็นน้องที่ดีให้ท่านเอง หลี่หลิวกระโจนสวมกอดพี่ชายความด้วยรัก จากความรู้สึกลึก ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ได้กลายเป็นครอบครัวที่แท้จริงของนางไปเสียแล้ว
"ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นกังวล จริง ๆ แล้วตั้งแต่ที่ข้าถูกท่านย่าทุบตีข้าก็ได้รับพรจากสวรรค์มา เมื่อข้าหายตัวไปข้าจะไปโผล่ในกำแพงน้ำ และในนั้นข้าก็ปลูกผักไว้หลายอย่างเลยด้วย"
"เจ้าเข้าไปในกำแพงน้ำอะไรนั่นได้อย่างไร" หลี่จงไม่ได้หัวเราะเพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องตลก แต่เขากลับกลัวว่าหากน้องรองเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้อีกจะทำเช่นไร
"ข้าแค่พูดว่า พาข้าเข้าไป ก็ได้แล้ว" พอหลี่หลิวพูดจบสองพี่น้องที่นั่งโอบกอดกันก็หลุดเข้ามิติไปทั้งอย่างนั้น
"ที่นี่หรือที่เจ้าบอกข้า" หลี่หลิวที่ก้มกอดพี่ชายจนไม่ทันได้สังเกตอะไรก็ถึงกับเบิกตากว้าง นี่ข้าพาคนอื่นเข้ามาได้ด้วยงั้นรึ!!
"พี่ใหญ่ ท่านเข้ามาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ" หลี่หลิวรีบดีดตัวยืนขึ้นอย่างตกใจจนหัวน้อย ๆ ของนางเสยคางพี่ใหญ่เข้าอย่างจัง
"ซี๊ดดดด นี่เจ้าจะฆ่าข้าปิดปากหรือไงถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้"
หลี่จงที่พูดจาทีเล่นทีจริงกับผู้เป็นน้องก่อนจะเอามือกุมคางที่รู้สึกเจ็บแปล๊บแปล๊บ พร้อมกับสำรวจมองซ้ายแลขวาเขาพบว่าที่นี่ฟ้าสว่างมาก แต่ข้างนอกกับยังมืดอยู่เลย
"ข้าไม่ทันระวัง พี่ชายท่านเจ็บมากไหมดื่มน้ำนี่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวเดินไปที่บ่อน้ำตักน้ำมาให้พี่ชายตัวน้อยที่นั่งกุมคางแล้วลูบไปมาอย่างน่าสงสารได้ดื่มกิน แต่ทว่าหลี่หลิวกลับไม่รู้เจ็บเลยสักนิดเดียว
"หวานจัง นี่น้ำอะไรรึ?" หลี่จงดื่มน้ำที่น้องสาวถือมาไปอึกนึง ด้วยความหวานนุ่มชุ่มใจ พอกินเข้าไปแล้วเขาค่อย ๆ หายเจ็บปวดไปในไม่ช้า นี่คงไม่ใช่น้ำวิเศษอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหม ความเหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนก็ค่อย ๆ มลายหายไปกลายเป็นความกระฉับกระเฉงแทน
"ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่กินได้นะ แถมรดน้ำผักก็ทำให้ผักโตไวขึ้นได้ด้วย" หลี่หลิวนั่งลูบคลำผักพวกนั้นอย่างกับว่าพวกมันเป็นของมีค่า
"ผักพวกนี้เจ้าพึ่งไปซื้อมาไม่กี่วันก่อนใช่หรือไม่" หลี่จงมองดูผักที่โตเต็มวัยพร้อมที่จะผลิดอกออกผลได้ในไม่ช้าด้วยความอยากรู้
"ใช่แล้วล่ะ ข้าซื้อมาพร้อมกับตุ่มน้ำนี่"
หลี่หลิวชี้ไปที่ตุ่มน้ำขนาดกลางข้าง ๆ กับบ่อน้ำ หลี่จงเดินไปดูที่ตุ่มน้ำปรากฏว่ามีน้ำอยู่ไม่มาก พอน้องสาวบอกว่านางพยายามจะตักน้ำใส่ให้เต็มเพื่อเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ท่านพี่ก็จะอาสาช่วย แต่นางบอกว่าอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วเดี๋ยวท่านพ่อจะรอนาน หลี่จงจึงบอกว่างั้นเราออกไปก่อนช่วงไหนว่างงานเขาจะมาช่วยตักน้ำใส่ตุ่มให้
"พาข้าออกไป" หลี่หลิวออกมาจากมิติแต่กลับไม่เห็นผู้เป็นพี่จึงรีบกลับเข้าไปข้างในอีกที นางสรุปได้ความว่า หากจะพาใครเข้าออกนางต้องแตะต้องตัว หรือสัมผัสคน ๆ นั้นด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะถูกทิ้งไว้ข้างในนั้นเหมือนกับพี่ชายตัวน้อยเอาได้
"เมื่อครู่ข้าใจหายใจคว่ำ นึกว่าข้าเข้าไปด้านในกำแพงน้ำได้แต่กลับออกมาไม่ได้เสียแล้ว" หลี่จงวางมือทาบหน้าอกทิ้งตัวนั่งลงหายใจถี่ด้วยความตกใจ
"ข้ารู้แล้ว ๆ คราวหน้าข้าจะจับมือท่านให้ดี ๆ" หลี่หลิวขำกลิ้งที่เห็นพี่ชายยืนหน้าเหวอหวาอยู่ข้างในมิติ พอออกมาได้เขาถึงกับเข่าทรุดเลยทีเดียว
"ยังดี ๆ ที่ข้าออกมาได้" หลี่จงหัวเราะในลำคอแห้ง ๆ พร้อมกับยิ้มแก้มปริ แล้วก็อดขำไม่ได้ว่าตนร้อนรนเพียงใดในข้างในนั้น
"พี่ใหญ่พวกท่านขำอะไรกันหรือ" หลี่เฉินขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่งทั้งที่ตายังปิดอยู่ ได้แต่เอ่ยถามอย่างสงสัยเหมือนคนละเมอ
"ข้าก็ขำที่เจ้านอนน้ำลายไหลเช่นนั้นไงล่ะ" หลี่หลิวหยอกล้อกับน้องเล็ก และคงยังกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง
"เอาเถอะ ๆ ไม่คุยกับเจ้าแล้ว รีบไปล้างหน้าล้างตากันได้แล้ว"
หลี่จงเห็นน้องสาวที่เส้นตื้นของตนไม่ยอมหยุดหัวเราะเสียทีจึงพูดตัดบทไปแล้วพาน้องเล็กเดินออกไปล้างหน้าล้างตา หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนทำเกิดกว่าเหตุ แต่จะทำเช่นไรได้ก็มันหยุดไม่ได้นี่เนาะ พอนางทำใจได้แล้วก็ตามออกไปล้างหน้าล้างตาทีหลัง ทว่าบนใบหน้านางยังมีความสุขหลงเหลืออยู่
"เล่นอะไรกันแต่เช้ามืดเช่นนี้ พ่อได้ยินเสียงดังมาถึงนี่เลย"
เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสามเดินออกันมาหลี่หงจึงถามขึ้น
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" หลี่หลิวคลี่ยิ้มบาง ๆ ด้วยใบหน้าเล็ก ๆ
"ดีแล้วดีแล้ว งั้นก็รีบไปหาข้าวปลากินกันเสีย กินเสร็จจะได้ไปในเมืองกัน" หวังลู่เตรียมน้ำ และอาหารใส่กระบอกเผื่อลูก ๆ จะหิวกระหายระหว่างทาง ท่านแม่ตื่นก่อนใครเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จช่วงฟ้าสาง ทุกคนนั่งเก้าอี้กินข้าวจนอิ่ม ท่านแม่ยืนส่งหน้าบ้านเมื่อทั้งสี่พ่อลูกจากไปแล้วก็กลับไปเก็บโต๊ะล้างจาน
"น้ำในบ่อปลาของหลี่หลิวเริ่มเต็มสระแล้วตอนนางกลับมาคงดีใจไม่น้อย"
หวังลู่เดินดูรอบ ๆ บ้าน นางถางหญ้าที่ขึ้นใหม่เพราะได้น้ำฝนยามค่ำคืน ก่อนที่จะเริ่มทำแปลงผักทางด้านขวาข้าง ๆ บ้านที่มันว่างอยู่ให้กับลูกสาว ฝั่งทางด้านซ้ายหน้าบ้านมีแปลงมันหวานอยู่สองแปลงนางเดินดูก็รู้ว่ามันแก่ดีแล้ว ไว้ตอนเด็ก ๆ กลับมาค่อยรอขุดหัวมันพร้อมกันคงจะดีไม่น้อย นางหวังก้มหน้าก้มตาพรวนดินทำแปลงผักไปสามสี่แปลงที่ยาวกว่าสิบเมตร และกว้างมากกว่าหนึ่งวาเรียงกันสามสี่แถว นางมองดูผลงานที่ตนลงแรงไปอย่างพึงพอใจก่อนจะไปล้างมือล้างหน้า แล้วนั่งพักหน้าบ้านให้หายเหนื่อย หากว่าคิดที่จะปลูกผักที่ขาดไม่ได้เลยคงเป็นมูลสัตว์ นางหวังจำได้ว่าท่านป้าฉวีเลี้ยงควายไว้สองสามตัวเพื่อไถนา เอาไว้ค่อยไปขอซื้อมูลสัตว์จากพวกท่านสักหนึ่งคันรถลากมาเก็บไว้ให้บุตรสาว เพื่อที่นางจะได้เอาไว้ใช้ในภายหลัง
หลี่หลิวกับหลี่เฉินกระซิบกระซาบคุยกันเรื่องม้าที่วาดฝันไว้มาพักใหญ่ก่อนที่จะถึงในเมือง รอบนอกตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วยบ้านปูนหลังใหญ่หลังเล็กสลับกันไปมา พอเข้าไปในใจกลางเมืองก็มีย่านค้าอยู่สองสามสาย ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวใจกลางเมืองจะเป็นผู้ดีตีนแดงมีรากเหง้ามาจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงอีกที การเดินทางค่อนข้างติดขัดเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตรอกซอยย่านการค้า ท่านพ่อเดินเข็นรถลากไปแล้วแวะถามทางไปยังที่ค้าสัตว์ของเมืองเพื่อที่จะไปเลือกซื้อม้า ปรากฏว่าต้องเดินไปทางรอบเมืองตรงข้ามกับฝั่งทางเข้าซึ่งดูแล้วมันอีกไกลพอควร หลี่หลิวจึงขอให้ท่านพ่อพาไปเดินเลือกดูเครื่องปรุงใหม่ ๆ และผักผลไม้ด้วยสักหน่อย ค่อยไปเลือกดูม้าแล้วกลับบ้านทีเดียวเลย
"น้ำมันมะพร้าว กับน้ำมันมะกอก รวมทั้งน้ำมันกุหลาบนี่ข้าเอาอย่างล่ะขวด"
เมื่อเถ้าแก่บอกราคาที่ต้องจ่ายท่านพ่อก็ทุกข์ใจที่ต้องเสียมากกว่าสามร้อยอีแปะ ถึงจะได้เงินจากการขายอาหารเช้ามาบ้างแต่ก็ไม่มากถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าใบหน้าเขาตอนนี้หม่นหมองเอามาก ๆ เลยทีเดียว
หลี่หลิวมองไปรอบ ๆ หลายร้านกลับพบว่ายังไม่มีร้านไหนเลยที่ขายสบู่ หรือทำสบู่เหลวออกมาวางขาย อาบน้ำเสร็จก็ใช้เพียงน้ำมันหอมทาตามผิวเพื่อให้มีกลิ่นกาย หากอยากสะอาดหน่อยใช้กุหลาบหรือสมุนไพรแช่ตัวในน้ำอุ่นถึงจะดี ในชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงทำกันเช่นนี้นี่ก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว อย่าว่าแต่สบู่สักก้อนเลยแม้แต่ครีมทาผิวยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ การจะบำรุงผิวหน้าทำได้แค่ใช้นมผสมไข่ขาวเพื่อให้ความชุ่มชื่นได้เพียงเท่านั้น เมื่อนางถามหลาย ๆ ร้านในการอาบน้ำล้างตัวส่วนใหญ่ก็จะตอบมาเป็นเสียงเดียวกัน มีเพียงดอกไม้แห้ง และน้ำมันหอมเท่านั้นที่ถือว่าขายดีเป็นที่สุด และราคามันก็ไม่ใช่เล่น ๆ ดูจากหน้าท่านพ่อที่ซีดเซียวนางก็พอจะเข้าใจแล้ว
หลี่หลิวเดินไปหยุดลงตรงหน้าร้านหินโม่แป้งท่านพ่อก็รู้ชะตากรรมของตนเองทันที ได้แต่ปาดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลบากหน้าอย่างห่อเหี่ยว หลี่หลิวได้เครื่องโม่แป้งสมใจ และไปที่ร้านขายสมุนไพรต่อนางได้ขอซื้อต้นว่านหางจระเข้มาสองต้นในราคาห้าอีแปะ ขี้ผึ้งห้าสิบอีแปะ ขมิ้นอีกสิบอีแปะ แถมยังแวะซื้อต้นกุหลาบแดง และต้นมะพร้าวมาอีกอย่างละสามต้น พอถึงตอนนี้ท่านพ่อก็เริ่มอยู่ไม่สุขอีกต่อไป จึงรีบเร่งพานางไปดูม้าจะได้รีบกลับบ้านเสียที ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่กระจิตกระใจที่จะไปเลือกม้าอีกแล้ว หากเป็นไปได้อยากจะลากพวกเด็ก ๆ กลับบ้านเสียตอนนี้เลยก็ว่าได้
"ท่านพ่อเราซื้อม้าตัวใหญ่เลยมิได้หรือขอรับ" หลี่เฉินใช้มือลูบม้าสีขาวตัวใหญ่ที่แลดูองอาจอย่างพึงพอใจ แต่ท่านพ่อกลับให้เลือกซื้อม้าตัวเล็กกว่าที่อายุได้เพียงสามปีเท่านั้น หลี่หลิวมองหน้ากันกับพี่ชายอย่างเข้าใจ หากอยากได้ม้าที่เชื่อฟัง และคุ้นเคยกับเราเราต้องค่อย ๆ เลี้ยง และทำความเข้าใจกับมันก่อนหากสักแต่จะซื้อไปแล้วเกิดมันพยศขึ้นมาเราจะควบคุมมันได้ลำบาก
"พี่ว่าเจ้าสองตัวนี้ดูดีทีเดียว" หลี่หลิวและพี่ใหญ่ ลูบคลำม้าสีน้ำตาลดำแดงที่ยืนคลอเคลียกับหลี่หลิวอยู่ไม่รู้ว่าใครปล่อยหลุดออกมา ปกติแล้วเขาต้องใส่ไว้ในคอกอย่างดีแล้วมัดเชือกไว้อย่างแน่นหนาไม่ใช่หรือ หลี่หลิวได้แต่คิดในใจ เพราะม้าที่ราคาแพงเช่นนี้ใครกันเล่าที่จะปล่อยให้พวกมันวิ่งพล่านไปมา
"เจ้าสองตัวนี้มาจากไหนหรือขอรับ ดูท่าทางมันชอบพี่รองมากเลยนะขอรับดู สิมันเลียมือของข้าด้วยล่ะ" ในที่สุดน้องเล็กก็หันมาให้ความสนใจกับม้าที่อายุน้อยเสียที จะว่าไปใครกันนะที่ปล่อยพวกมันออกมาเช่นนี้
"นั่นไง ข้าเจอแล้ว" ลูกน้องสองคนรีบวิ่งหน้าตั้งเมื่อรู้ว่าม้าที่หายไปถูกหาเจอแล้ว หากทำม้าหายสักตัวปีนั้นทั้งปีคงได้แต่ทำงานชดใช้หนี้แต่เพียงอย่างเดียว อย่าได้คาดหวังถึงเงินเก็บเงินใช้ภายในปีนั้นเลย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้หนี้ครบเสียด้วยซ้ำ
"มันหลุดออกมาได้เช่นไร ไปเร็วรีบกลับเข้าไปที่คอกของเจ้า" ชายฉกรรจ์สองคนยกแส้ม้าขึ้นมาหวังจะหวดพวกมัน แต่ได้หลี่หลิวห้ามไว้
"หยุดมือเถอะท่านทั้งสอง ข้าสนใจม้าสองตัวนี้พอดีขอทราบรายละเอียดได้หรือไม่"
ม้าสองตัวเหมือนรู้งานมันรีบเดินไปหลบหลังหลี่หลิวและหลี่จง แต่ก็ใช่ว่ามันจะหลบพ้นเพราะพวกมันตัวโตอยู่มากพอควร มันชะเง้อคอออกมาคอดูสองชายฉกรรจ์อย่างหวาดกลัว สงสัยพวกมันคงโดนทำโทษอยู่บ่อยครั้งเพราะความซุกซนเป็นแน่
"แม่นางน้อยท่านสนใจม้าสองตัวนี้หรือขอรับ" เมื่อได้ยินว่ามีคนต้องการจะซื้อม้าของพวกเขา ท่าทีที่แข็งกร้าวเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไป จะเหลืออยู่ก็เพียงแต่พ่อค้าใจดีที่คอยอธิบายให้ครอบครัวหลี่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
"นี่คือม้าพันธุ์อารเบียน เป็นม้าเลือดร้อนที่มีถิ่นกำเนิดจากแหล่งพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง จึงทำให้ร่างกายกำยำ รูปร่างสูงโปร่ง อีกทั้งยังมีความแข็งแรงอีกด้วย เป็นพันธุ์ม้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อมันโตขึ้นสีของมันจะเข้มขึ้นอีกเล็กน้อย เหมาะแก่การเดินทางไกลแถมสามารถลากรถลากได้เป็นอย่างดีเลยล่ะขอรับ ท่านลูกค้านี่ตาถึงมากจริง ๆ นะขอรับ" ชายฉกรรจ์คนหนึ่ง วางมือประสานกันอย่างนอบน้อมได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผิดกับรูปร่างที่กำยำแถมยังถ่อมตนมากเสียอีก
หลี่หงยืนฟังอยู่ครู่หนึ่งเห็นว่าบุตรสาวบุตรชายต่างเข้ากับมันได้ดีจึงตกลงซื้อมันมาในราคาสองตำลึงเงิน คราวนี้แข้งขาของเขาอ่อนแรงแล้วจริง ๆ โชคดีที่ม้าสองตัวนี้เคยฝึกลากรถมาบ้าง ทางร้านค้าสัตว์มาทำสัญญาซื้อขายเป็นที่เรียบร้อย และยังช่วยใส่รถลากเข้ากับม้าให้อีกด้วย
"เจ้าตัวเล็ก ข้าอายุมากกว่าเจ้าถึงเจ้าจะตัวโตสูงใหญ่กว่าข้าก็ตาม จากนี้ไปเจ้าต้องเชื่อฟังที่ข้า และท่านพ่อบอกเข้าใจใช่หรือไม่"
หลี่หลิวแอบเข้าไปในมิติแล้วตักน้ำใส่ขันมาให้พวกมันได้ดื่มกินก่อนออกเดินทาง และพูดกับพวกมันอย่างกับว่าพวกมันฟังรู้เรื่อง ทว่าพวกมันก็ได้แต่ร้อง ฮี่ ฮี่ ขานรับจนน่าเอ็นดู
"ว้าว พี่รองท่านทำเช่นไรม้าสองตัวนี้ถึงได้เชื่อฟังท่านพี่ได้กันล่ะขอรับ" หลี่หลิวคลี่ยิ้มแล้วเอามือน้อย ๆ ลูบหน้าม้าทั้งสองตัวก่อนจะขึ้นนั่งรถลาก ท่านพ่อเคยขับรถลากม้ามาบ้างแล้วจึงค่อย ๆ ดึงเชือกให้พวกมันเดินช้า ๆ ตามทาง และมุ่งหน้าไปประตูหลักที่พวกเขาผ่านมา ระหว่างออกจากเมืองมาม้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเช่นนี้ไม่นานคงได้ถึงหมู่บ้านเป่ยหนาน ซึ่งเป็นเขตชุมชนที่หลี่หลิวอาศัยอยู่
"ท่านพ่อ ๆ เราต้องขับรถลากนี่ผ่านทางเข้าหมู่บ้านด้วยหรือขอรับ ถ้าหากท่านย่าผ่านมาเห็นเข้าเราจะโดนท่านย่าเอ็ดหรือไม่ที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย" หลี่เฉินนั่งข้างบิดาที่กำบังเหยียนม้าอยู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
"จะไปยากเย็นอะไรล่ะ พอผ่านชุมชนก็เร่งความเร็วหน่อยท่านย่าก็จะตามด่าไม่ทันแล้ว" หลี่หลิวนั่งอิงด้านซ้ายของรถลากแล้วคอยประคบประหงมขวดน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ของนาง และแสดงสีหน้าทะเล้นใส่เจ้าเล็กที่ใช้แขนกอดตัวท่านพ่อแล้วเอียงตัวกลับมาเพื่อฟังพี่รองตอบ เขาแลบลิ้นใส่พี่รองก่อนจะหันไปมองทางที่ม้าควบไป
"หึ แล้วถ้าท่านย่าออกมาหาเราที่กระท่อมล่ะจะทำเช่นไร" เจ้าตัวเล็กหมั่นไส้พี่สาวแต่ทำอันใดไม่ได้จึงถามคำถามที่ตอบยากหน่อยกับนาง เมื่อหลี่หงได้ยินเช่นนั้นก็คิดหนักเช่นกัน ทางที่ตัดผ่านไปยังกระท่อมได้ยังไงเสียก็ต้องผ่านหน้าบ้านท่านพ่อไปอยู่ดี ยังดีที่ตลาดเช้าไม่เจอพวกสะใภ้ใหญ่ไปจ่ายตลาดเลยสักครั้ง แต่หากท่านแม่จะไปที่กระท่อมจริงพวกเราลูกหลานก็ทำได้เพียงต้อนรับขับสู้เพียงเท่านั้น
"หากท่านย่ามาแล้วเจ้าจะต้องกลัวไปใย เงินนี่ท่านปู่เก็บเล็กผสมน้อยแถมยังมอบให้ท่านพ่อของเราด้วยตนเอง เราจะใช้สอยเช่นไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวนั้นอีกต่อไป เหมือนกันกับที่ลุงเล็กย้ายออกไปนั่นแหละ"
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลี่หงก็ดึงสติตัวเองกลับมา เขารีบสลัดความคิดแง่ลบออกไปให้หมด มันจริงอย่างที่บุตรสาวของเขากล่าว ว่าเราย้ายออกมาแล้วจะใช้ชีวิตเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราถึงจะปวดใจมากที่เสียเงินไปมากกว่าสองตำลึงเงิน แต่นับประสาอะไรกับการเดินทางไปมาอยู่บ่อยครั้งมันก็คุ้มค่าที่ซื้อมาแล้ว