ฉันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา

245.0K · จบแล้ว
Ryoji
50
บท
36.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"แม่นางเจ้าทำอันใดหรือคอข้าแทบเคล็ดแล้ว" เขามองแม่นางน้อยที่จับหัวของเขาส่ายไปมาด้วยความสงสัย "ข้าจะดูว่าตอนท่านล้มลงหัวของท่านได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" นี่นางคิดว่าข้าเลอะเลือนงั้นหรือ จะว่าไปข้ารุกเร้านางมากเกินไป ทั้งที่ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้กับใครมาก่อน หรือข้าจะเป็นโคแก่ ๆ ที่ริอาจอยากจะกินหญ้าอ่อนที่เพิ่งจะโผล่ไม่พ้นดินหรือนี่ เขาเอามือกุมขมับตนเอง และสมเพชกับความคิดวิปริตเช่นนี้

นิยายจีนโบราณคนธรรมดาพลิกชีวิตอาหารจีนโบราณ

บทที่1

"น้องรอง น้องรอง ข้าจะทำเช่นไรดี!!"

ชายตัวสูงโปร่งร่างบาง ผิวหนังแทบจะติดกระดูก อีกทั้งบนร่างกายต่างก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ซึ่งเขาเอาแต่เรียกชื่อของน้องสาวที่กำลังนอนหายใจโรยรินด้วยความไม่สบายใจ

ผิวของเด็กหนุ่มขาว และซีดมาก จึงทำให้เห็นร่องรอยของการถูกทำร้ายได้อย่างชัดเจน เขามองดูน้องสาวที่นอนสลบไสลและตัวร้อนผ่าวแก้มทั้งสองแดงก่ำด้วยความกังวล

ท่านพ่อ ท่านแม่ ก็ออกไปทำไร่ทำนาตั้งแต่เช้ามืด ส่วนข้าอยู่บ้านคอยช่วยเหลือท่านย่าทำงานบ้าน และดูแลน้อง ๆ

เมื่อสองวันก่อนด้วยความหิวของน้องเล็ก น้องรองจึงแอบไปเอาหมั่นโถวในห้องครัวมาให้น้องเล็กหนึ่งลูก พอท่านย่าจับได้ พวกเราก็โดนท่านย่าทุบตีอย่างหนัก ดีที่ตอนนั้นน้องเล็กออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เลยปลอดภัย

แต่น้องรองน้องสาวเพียงคนเดียวของข้า นางอาการสาหัสจนถึงกลับต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อีกทั้งยังไข้ขึ้นสูงมาตั้งแต่วันนั้น ซึ่งเกิดจากการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมของท่านย่า

"มัวแต่ยืดยาดอืดอาดอยู่ได้ ข้าใช้ให้เจ้าไปให้อาหารหมูในคอก และเป็ดไก่ แต่เจ้ากลับมานั่งพักผ่อนเฉื่อยชาอะไรอยู่ที่นี่!!"

นางหลี่ไช่หัวผู้เป็นย่า เห็นว่าหลานชายหายไปนานจึงเดินมาดู พอเห็นว่าประตูห้องที่สามแง้มอยู่ นางจึงเดินตรงดิ่งมา และได้เห็นว่าหลานชายแอบมาอู้งาน นางจึงตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน

"หน็อยแน่!! แกริอาจกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้างั้นรึ!"

นางหลี่ไช่หัวง้างฝ่ามือเตรียมจะตบสั่งสอน แต่หลานชายตัวดีกลับอ้างว่าน้องสาวของเขาไข้ขึ้นสูงมากกว่าเมื่อวาน อยากให้ท่านย่าอนุญาตให้เขาไปเชิญท่านหมอเฉินมาดูอาการน้องของตน แต่มีรึที่นางหลี่ไช่หัวผู้ขี้เหนียวจะยอมควักสักอีแปะ เพื่อคนงานข้าทาสอย่างพวกเขา

"แกกล้าดียังไง! ถึงได้มาขอให้ข้าไปเชิญท่านหมอมารักษาน้องขี้โรคของเจ้า ที่วัน ๆ เอาแต่กินกับกิน งานการไม่รู้จักทำ พอกินเสร็จแล้วไปเที่ยวเล่นแทนที่จะรู้จักหน้าที่ แล้วนี่ข้าต้องฉีกเนื้อเฉือนหนังของตัวเองมาช่วยพวกแกด้วยหรือไง"

พูดจบนางหลี่ผู้เป็นย่าก็สะบัดหน้าหนี และไม่ลืมที่จะตะโกนบอกให้เจ้าใหญ่หรือหลี่จง ซึ่งเป็นหลานคนแรกของครอบครัวบุตรคนที่สอง ให้รีบ ๆ ไปทำงานเสีย ไม่เช่นนั้นจะถูกนางทุบตีอีกครั้ง

"น้องรองเจ้านอนพักไปนะ ประเดี๋ยวพี่ใหญ่ของเจ้าทำงานเสร็จแล้วจะรีบกลับมาเช็ดตัวให้เจ้าอีกที"

เจ้าใหญ่บิดน้ำออกจากผ้าหมาด ๆ แล้ววางลงบนหน้าผากของผู้เป็นน้อง ก่อนเขาจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเบา ๆ เพื่อให้น้องสาวได้นอนพักผ่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งวันแล้วก็ตาม แต่เขาก็คอยหยอดน้ำข้าวต้มให้นางเพื่อหวังว่านางจะกลับมาแข็งแรงโดยเร็ววัน

แอดดด!!

เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงหลี่หลิวสาวน้อยวัยหกปีเศษค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก

"เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน ความทรงจำที่น่ากลัวกำลังหลั่งไหลทะลักเข้ามาในหัวของฉันอย่างบ้าคลั่ง ปวดหัวจัง หรือโรคไมเกรนของฉันจะกำเริบขึ้นอีกมาหรือเปล่าเนี่ย"

เสี่ยวเหมยซึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มที่แล้วต่างก็เหลียวซ้ายมองขวา เธอกลับพบว่าที่ที่ตนเองอยู่ ณ ตอนนี้ เหมือนกับภาพความทรงจำที่ได้รับมาเธอก็ยิ่งตกใจ มือเล็ก ๆ เสื้อผ้าโบราณที่เก่า และมีรอยปะอยู่หลายแห่งมันช่างดูโทรมมาก แต่ก็สะอาดในระดับหนึ่ง พื้นห้องเป็นปูนสาก ๆ มีเสื่อหมอนสำหรับห้าคนในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง เสี่ยวเหมยเห็นแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับตัวเองทันที

"ฉันมาอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย อุ๊ย!!!"

เสี่ยวเหมยอุทานออกมาเมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความทรงจำอันเลวร้ายจากการถูกทุบตีทำให้เธอเข้าใจได้ทันที ว่า เด็กนี่ตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ส่วนฉันก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปอีท่าไหนถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้

เสี่ยวเหมยพยายามรวบรวมความทรงจำของเด็กน้อยคนนี้ กลายเป็นว่าเด็กคนนี้พึ่งอายุได้เพียงหกปีกว่า ๆ ชื่อหลี่หลิว เธอมีพี่ชายหนึ่งคนคือหลี่จงซึ่งมีอายุได้เก้าปี และยังมีน้องเล็กชื่อหลี่เฉินอายุสี่ปี พ่อมีชื่อว่าหลี่หง แม่มีชื่อว่าหวังลู่ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง และค่อนข้างไปทางขาดแคลน ส่วนผู้นำของครอบครัวนี้คือปู่หลี่หวนเป็นสามีของนางหลี่ไช่หัว ท่านปู่และท่านย่ามีบุตรด้วยกันสามคน ลุงหลี่โจวคือพี่คนโตแต่งงานมีครอบครัว และมีลูกชายหนึ่งคนอายุสามปีโดยประมาณ ลุงหลี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงจึงพยายามอ่านหนังสือเพื่อหวังสอบเข้าเป็นข้าราชการ แต่จนป่านนี้ก็ยังสอบไม่ผ่านเลยสักครั้ง แต่ด้วยการสนับสนุนจากท่านปู่ และท่านย่า จึงทำให้ลุงโจวได้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องงานไร่งานนาจึงตกเป็นของท่านพ่อของเจ้าของร่างนี้ หลี่หงทำงานอย่างยากลำบากกับภรรยา เพื่อแบ่งเบาภาระท่านปู่ท่านย่าแต่กลับโดนใช้งานเยี่ยงข้าทาส พวกเขาทำงานเต็มที่แต่อาหารกลับไม่เพียงพอ ทำให้ครอบครัวบุตรคนที่สองดูเหมือนพวกขาดสารอาหาร และสุดท้ายหลี่เทียนบุตรชายคนเล็ก เขาแต่งงานมีครอบครัว และย้ายออกไปอยู่กับภรรยาพร้อมกับบุตรอีกสองคนชายหญิง เขาได้รับมรดกจากท่านปู่ไปไม่น้อย เพราะเป็นลูกที่ท่านปู่ให้ความรักมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หลี่เทียนแยกตัวออกไปก็ทำไร่แล้วนำไปขายไม่ต่างจากบ้านของท่านปู่นัก ทว่าดูโดยรวม ๆ แล้วทางนั้นสถานการณ์ดีกว่าทางนี้มากโข

"จิ๊ ๆ ช่างร้ายกาจนัก ท่านย่าผู้นี้เอาเปรียบครอบครัวของข้า แถมยังใช้งานเหมือนช้างม้า แต่ไม่แม้นที่จะให้อิ่มท้อง"

เสี่ยวเหมยที่จับต้นชนปลายตามความทรงจำที่น้อยนิดได้แล้วเธอถึงกับหัวเสีย คนยุคนี้ช่างบ้าบออะไรแบบนี้ แถมผู้นำครอบครัวอย่างท่านปู่ก็ปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรนอกจากการอ่านหนังสือ นี่คงเป็นแบบอย่าง และแรงผลักดันทำให้ลุงใหญ่อยากเป็นข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ท่านลุงใหญ่ก็ปาเข้าสามสิบกว่าปีแล้วน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะ แถมดูจากความทรงจำลุงใหญ่คนนี้ไม่เคยแม้แต่จะสอบผ่านเลยสักครั้งด้วยซ้ำ

"ข้าต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไม่เช่นนั้นล่ะก็ คนคงจะคิดว่าข้าถูกผีเข้าจนนำข้าไปเผาไฟเป็นแน่"

เสี่ยวเหมยในร่างของหลี่หลิวรู้สึกกระหายน้ำจึงลุกขึ้นเทน้ำในเหยือกขึ้นมาดื่มอย่างช้า ๆ ด้วยความรู้พื้นฐานในการดูแลคนป่วยทำให้นางค่อย ๆ ปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนมาพักใหญ่ จึงค่อนข้างจะชาตามแขนขาอยู่บ้าง หลี่หลิวกำมือเข้าออกช้า ๆ เพื่อกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน อาการปวดหัววิงเวียนจึงค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ แต่ร่างนี้มันขาดสารอาหารมากเกินไปแล้ว ผอมจนเหลือแต่กระดูกเลยก็ว่าได้ ผิวขาวซีดของเด็กน้อยมีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่หลายจุด นี่ไม่ใช่การสั่งสอนทั่วไปเสียแล้ว เพราะนี่มันเป็นการฆาตกรรมทางอ้อมชัด ๆ

"ไม่แม้นแต่จะพาไปหาหมอ มิหนำซ้ำหยูกยายังไม่ให้กินอีก นี่ท่านย่าหลี่ไช่หัวผู้นี้คิดจะตัดเสบียงให้ลดลงหรือยังไง"

หลี่หลิวนำร่างอันเปราะบางเหมือนคนขี้โรคนอนลงบนที่นอนเดิมเพื่อฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย ถึงจะออกไปข้างนอกตอนนี้คงมิวายถูกท่านย่าดุด่าว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นสำออย แม้ว่าตอนนี้จะหิวมาก แต่การดื่มน้ำบ่อย ๆ ก็คงช่วยได้ในระดับหนึ่ง

หลี่หลิวบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะปิดตาลงด้วยความเหลือเชื่อ เคยอ่านนิยายมาก็มากแต่ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงแบบนี้ แบบนี้หรือไม่พวกนักเขียนที่เขียน ๆ กันได้ข้ามภพมาแล้วเอากลับไปเขียนเป็นนิยายให้คนอ่านกัน หลี่หลิวได้แต่คิดไปคิดมาจนกระทั่งเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

"พี่มาแล้ว"

พี่ใหญ่ที่พึ่งเสร็จจากการให้อาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้ เดินเข้ามาภายในห้องนอนหลังจากที่เขาล้างไม้ล้างมือเสร็จ เขาก็เอาผ้าที่ตกหล่นอยู่ข้าง ๆ น้องสาวลงกระมังน้ำเช่นเคย หลี่จงใช้มือวัดไข้น้องรองอย่างห่วงใย ก่อนจะวางผ้าที่บิดหมาด ๆ วางลงหน้าผากของนางอีกครั้ง

"หลี่หลิวไข้เจ้าลดแล้ว ดีจริง ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาท่านต้องดีใจมากแน่ ๆ "

หลี่จงยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่าน้องสาวอาการดีขึ้น

คืนก่อนอยู่ดี ๆ เขาก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงท่านแม่นอนสะอื้นเบา ๆ ทำให้ในใจของเขาอยู่ไม่สุข ถ้าเป็นไปได้ข้าที่เป็นพี่ใหญ่ก็อยากจะช่วยน้องรองให้มากกว่านี้ แต่เมื่อท่านย่าออกคำสั่งมา ข้าทำได้แค่ปกป้องน้องรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากได้กินอิ่มท้องสักหน่อย น้องเล็กคงไม่งอแง น้องรองก็คงไม่ต้องทำเช่นนั้น ทำไมท่านย่าถึงใจร้ายแต่กับครอบครัวของเรานักนะ คิดแล้วเจ้าใหญ่ก็จุกในอกไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้

"อืม.." หลี่หลิวที่รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองอยู่ นางจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นเด็กหนุ่มผอมโซนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้หลี่หลิวตกอกตกใจไม่น้อย

"พะ พี่ใหญ่"

"ไม่ต้องลุก ๆ เจ้าพักอีกหน่อยเถอะนะ ว่าแต่..เจ้าหิวไหม ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วข้าจะไปเอาน้ำต้มโจ๊กที่ท่านแม่ทำตอนเช้ามาให้เจ้ากิน" เจ้าใหญ่เห็นใบหน้าซีดเซียวของน้องรองจึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

"เจ้าค่ะ ข้าเริ่มหิวแล้ว แต่ว่าท่านย่าจะไม่โกรธหรือเจ้าคะ ถ้ารู้ว่าพี่ใหญ่ไปเอาโจ๊กที่ทำไว้ให้ลุงใหญ่มากินเช่นนี้"

"เจ้าอย่าห่วงเลย ข้าเอามาแค่น้ำต้มโจ๊กเท่านั้น ไม่ได้เอาข้าวมาท่านย่าไม่เคืองหรอก" เจ้าใหญ่ยิ้มกริ่มก่อนจะลุกเข้าไปห้องครัว เขาตักน้ำต้มโจ๊กที่เอาแต่น้ำจริง ๆ มาให้น้องรองได้ดื่ม

น้ำในหม้อโจ๊กนี่มันจะพออิ่มท้องได้อย่างไรกัน หลี่หลิวมองน้ำสีขุ่นที่รับมาจากพี่ชายที่ยิ้มไม่หุบ แล้วดื่มรับรสชาติที่จืดชืดของมันอย่างจนใจ ขนาดเกลือในบ้านท่านย่าผู้นี้ยังไม่ให้ใส่มากเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะสิ้นเปลืองเงินทอง ถ้าประหยัดขนาดนี้ ต้องมีเงินเก็บมากโขเลยแน่ ๆ ว่าแต่ท่านย่าเขาไม่คิดจะเอามาจุนเจือครอบครัวสักหน่อยเลยหรือ ถ้าจะพูดให้ถูกควรบอกว่าท่านย่าไม่คิดแบ่งปันมาให้ครอบครัวของนางเลยถึงจะใช่

"อร่อยใช่ไหม" เจ้าใหญ่มองหน้าน้องรองที่ซดน้ำโจ๊กจนหมดถ้วยอย่างพอใจ

"เจ้าค่ะ" หลี่หลิวตอบไปพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเอาน้ำที่พี่ชายตักมาให้ แล้วจึงดื่มตามน้ำต้มโจ๊กไปเพื่อล้างปาก

น้ำต้มโจ๊กอะไรกัน นั่นมันน้ำซาวข้าวซะมากกว่า มันทั้งไร้รสชาติแถมยังไม่อิ่มท้องเลยแม้แต่นิด แบบนี้ฉันจะเอาชีวิตน้อย ๆ นี้ให้อยู่รอดได้ยังไงกัน

"พี่ใหญ่ข้าอยากไปเดินเก็บผักป่าบนภูเขา ท่านช่วยพาข้าไปได้ไหมเจ้าคะ"

หลี่หลิวจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเชิงเขานัก มีหลายครอบครัวที่นอกจากทำไร่แล้ว ก็ยังออกล่าสัตว์ป่าด้วย ถึงแม้นาน ๆ ครั้งจะจับสัตว์ได้ก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าที่มีเนื้อให้ได้กิน

"เจ้าพึ่งฟื้นตัว รอไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหลังจากให้อาหารสัตว์เรียบร้อยแล้ว ดีหรือไม่" เจ้าใหญ่ใช้มือเรียวบางลูบหัวน้องสาวด้วยความห่วงใย พร้อมกับส่งรอยยิ้มแสนอบอุ่นใจให้กับนาง

"พี่ชาย ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนมามากพอแล้ว ท่านพาข้าไปเถอะนะ น๊าพี่ใหญ่.." หลี่หลิวจับมือพี่ชายที่ลูบหัวตนมาจับไว้ แล้วแกว่งไปมาเป็นการออดอ้อน ฉันลงทุนขนาดนี้ ดูซิว่าเขายังจะทนได้ไหม ในความทรงจำของแม่หนูนี่ พี่ชายคนนี้รักน้องสาวมาก และตามใจนางอยู่บ่อยครั้ง เสี่ยวเหมยจึงใช้โอกาสนี้ออดอ้อนพี่ชายตัวผอม เพื่อที่จะขึ้นเขาไปหาของกิน

น้ำแช่ข้าวมันไม่อิ่มท้องเลยสักนิด ข้าต้องไปหาอะไรบนเขาสักหน่อย อย่างน้อยพวกผักป่าหรือผลไม้อาจจะช่วยให้อิ่มท้องได้บ้าง แต่ร่างกายนี้ก็พิลึก อยู่ ๆ พลังวังชาก็กลับมาเต็มเปี่ยม อาการวิงเวียนและชาตามตัวหลังจากพักไปครู่หนึ่งก็มลายหายไป ราวกับว่าไม่เคยเป็นเสียอย่างงั้น แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ฉันจะได้ออกไปดูโลกที่ล้าหลังนี้ และจะได้สำรวจพื้นที่สักหน่อย

"ก็ได้ ๆ แต่ข้าต้องไปบอกท่านย่าเสียก่อน"

"งั้นท่านก็รีบหน่อย ข้าจะเตรียมตัวรอนะเจ้าคะ"

"ตกลง ตามใจเจ้า"

หลังจากที่เจ้าใหญ่ลุกขึ้นเดินมาหน้าประตูห้องนอน เขาก็หันกลับไปมองผู้เป็นน้องสาวด้วยความห่วงใย นางพึ่งหายไข้ข้าจะพานางไปดีหรือไม่นะ แต่ด้วยนิสัยของนาง หากข้าไม่พาไปก็อาจเป็นไปได้ที่นางจะแอบออกไปด้วยตนเอง หากเป็นแบบนั้นไม่สู้ข้าไปด้วยจะไม่ดีกว่าหรือ ปัญหาคือท่านย่าจะยอมหรือไม่นี่สิ ใช่…. ข้าต้องอ้างว่าไปหาผักป่า หากบอกว่าพาน้องไปเที่ยวเล่นแล้วละก็ มิวายคงโดนดุด่าแถมถูกใช้ไปผ่าฟืนอีกตามเคยทั้งที่ไม้ฟืนที่เก็บมา และผ่าไว้ก็มากมายพอแล้ว

"ท่านย่าขอรับ ตอนนี้น้องรองตื่นแล้ว"

"ข้าก็บอกแล้วไง ว่านางเด็กนั่นมันไม่เป็นไร พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นกระต่ายตื่นตูม" เมื่อนางหลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้น นางก็เอ็ดหลานชายตัวดีไปหนึ่งที

"คือว่า.... ข้าอยากพาน้องรองไปเก็บผักป่าขอรับ บ้านเราไม่ได้ไปเก็บนานมากแล้ว ท่านว่า.."

"ก็ไปสิ ไปหามาเยอะ ๆ ล่ะ ถ้าได้มาเยอะจะได้เอาไปขาย ข้าจะได้มีเงินเก็บไว้ซื้อข้าวปลาให้พวกเจ้ากิน ถ้าเช่นนั้นรีบไปซะสิ เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน"

ไม่ทันที่เจ้าใหญ่จะเอ่ยปากขอ ท่านย่าหลี่ไช่หัวก็อนุญาต แถมบอกให้เก็บมาเยอะ ๆ หลี่จงจึงกล่าวขอบคุณ และไปตระเตรียมตะกร้าสะพายหลังกับมีดพร้า แล้วเดินมาเรียกหลี่หลิว ทว่ากลับไม่พบนางอยู่ที่ห้องเขาจึงเดินไปหน้าบ้าน และเห็นนางสวมใส่รองเท้ารอเรียบร้อยแล้วจึงเดินปรี่เข้าไปหา

"พี่ใหญ่เร็ว ๆ ดูสิข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว" หลี่หลิวที่อายุสามสิบแล้ว แต่ต้องมาเรียกเด็กน้อยว่าพี่มันรู้สึกกระดากปากไม่น้อย แต่ด้วยร่างกายนี้เป็นน้องสาวของเขา และเราก็มาอยู่แทนที่นาง ดังนั้นจึงต้องหัดเรียกเช่นนี้ให้ชินเข้าไว้

"เจ้าจะเอามีดสั้น และเสียมขุดมัน ไปด้วยทำไมกัน" เจ้าใหญ่เดินมาถึงหน้าบ้านเห็นนางตระเตรียมมีด และเสียมเพื่อจะนำไปด้วยจึงถามขึ้นอย่างสงสัย

ปกติแล้วเราไปเก็บผักหนามไม่จำเป็นต้องมีมีดหรือเสียมด้วยซ้ำ ที่เขาพกมีดพร้าไปด้วยเพื่อตัดผ่าทาง ซึ่งอาจจะมีกิ่งหนามขวางทางจึงต้องนำมีดพร้าขนาดกลางไปด้วยก็เท่านั้น

หลี่หลิวไม่ตอบอะไร นางดึงมือพี่ชายของเจ้าของร่างนี้ และเร่งเร้าให้เขาใส่รองเท้า ส่วนนางเอามีดสั้นที่มีปลอกเหน็บข้างเอวแล้วถือเสียมเดินนำหน้าหลี่จงไปก่อนอย่างเอาแต่ใจ

"ช้าหน่อย ๆ รอข้าก่อน" เจ้าใหญ่เห็นเช่นนั้น จึงรีบนั่งลงวางตะกร้าสวมใส่รองเท้า พอเสร็จก็รุดหน้าไปหาน้องสาว พร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่มีมีดพร้าอยู่ด้วยทันที

"เจ้าจะรีบไปใย ดูเถิดพี่ลืมแม้กระทั่งกระบอกน้ำแล้วเห็นไหม" เจ้าใหญ่ที่เร่งรีบตามน้องรองมา แต่ทว่ากลับลืมสิ่งที่จำเป็นไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้น้องสาวของเขาคงต้องกระหายน้ำเอามาก ๆ เป็นแน่

"ไม่เห็นจะเป็นไร เราก็แค่ไปตัดไม้ไผ่ที่ป่าข้างริมลำธารก็ได้แล้ว" เด็กน้อยวัยหกขวบพูดเป็นต่อยหอย แถมนางยังเดินนำทางไปจนถึงลำธารตีนเขา แล้วบอกให้พี่ชายตัวผอมตัดไม้ไผ่เพื่อทำกระบอกสำหรับใส่น้ำ

คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายร่างบางของเจ้าของร่างนี้จะแข็งแรงไม่น้อย เพียงไม่นานก็ได้กระบอกมาสองอัน จากนั้นจึงพักดื่มน้ำริมลำธารแล้วเติมน้ำใส่กระบอก และหาใบไม้มาก่อนจะม้วน ๆ สำหรับยัดปิดเป็นฝาจนพร้อม หลี่หลิวใช้มือน้อย ๆ ของเจ้าของร่าง และนั่งยอง ๆ ใช้อุ้งมือช้อนน้ำขึ้นมาดื่มอย่างอารมณ์ดี

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ในเมืองใหญ่ผู้คนต่างวุ่นวาย มากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ ต่างจิตต่างใจแข่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แถมยังมีแต่ปัญหารุมเร้า ใครจะไปคิดละว่า การได้หนีจากเมืองที่วุ่นวายมันจะสบายใจแบบนี้กัน ไม่ต้องรีบเร่งแข่งขัน ไม่มีหัวหน้าคอยบ่น นี่แหละคือสวรรค์บนดินชัด ๆ

"ไปกันเถอะ นี่ก็กินเวลามานานมากแล้ว"

"อื้ม ไปกันเจ้าค่ะ"

"ตามข้ามา เดินระวัง ๆ ด้วยเข้าใจหรือไม่"

"เจ้าค่า"

"ระวังพวกกับดักของนายพรานด้วยนะ หากพลาดพลั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้"

"ข้ารู้ ๆ"

เจ้าใหญ่ที่เดินนำหน้าได้แต่คอยบอกน้องรองอย่างห่วงใย ถึงเขาจะเคยพาน้องรองขึ้นเขามาสามสี่ครั้งแล้ว แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ เหมือนที่ท่านพ่อของเขาเคยพาเขามา และคอยเตือนเขาอยู่บ่อยครั้ง จนเขาชำนาญแล้วจึงปล่อยให้ขึ้นเขาเองได้เช่นนี้

"พี่ใหญ่รอข้าก่อน"

ด้วยสภาพอากาศที่เป็นใจพื้นบนเขาค่อนข้างชุ่มชื้น ตามทางเดินถูกเปิดจนคล้ายถนนสายหนึ่ง หลี่หลิวเดินตามพี่ชาย และคอยสอดส่องจนเจอกับกลุ่มเห็ดโคนเข้า จึงเอ่ยบอกให้ผู้เป็นพี่ชายหยุดรอ ส่วนนางวิ่งออกไปข้างทางที่มีต้นไม้พุ่มไม้เล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด ด้วยความตื่นเต้น

"เจ้าอย่าเดินมั่วซั่วแบบนั้น เดี๋ยวเจอกับดักเข้าจะได้รับบาดเจ็บเอานะ"

หลี่จงเห็นน้องรองวิ่งหน้าตาตื่นจึงรีบพูดห้ามปราม และต้องตามนางไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเห็นน้องรองนั่งย่อตัวลง และเอามีดสั้นออกมาค่อย ๆ งัดดอกเห็ดที่มีทั้งดอกตูม และดอกบานอย่างพอใจ เขาจึงมองการกระทำของนางด้วยความสับสน

"น้องรอง นั่นเจ้าทำอะไรรึ"

"ท่านไม่เห็นหรือ ว่าข้ากำลังเก็บเห็ด" หลี่หลิวชูเห็ดที่ตนเองพึ่งจะดึงออกมาจากพื้นดินด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

"เห็ดอะไรกัน กินแล้วจะตายไหม ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนเก็บเห็ดป่าไปกินแล้วตาย จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเก็บเห็ดพวกนี้ไปกินอีกเลย จะมีก็แค่เห็ดหูหนูดำเท่านั้นแหละที่คนนิยมกินกันเพราะมันปลอดภัย และทำซุปอร่อยมาก"

"พวกเขาไม่รู้มากกว่า ว่าอันไหนกินได้หรือมีพิษ" หลี่หลิวงัดดอกเห็นด้วยมีดสั้นทีล่ะดอก และอธิบายให้พี่ชายตัวน้อยฟังไปด้วยว่าเห็ดชนิดนี้กินได้

เมื่อเห็นน้องสาวดูมั่นใจขนาดนั้น เพื่อไม่ให้นางเสียกำลังใจเขาจึงนั่งลง และช่วยน้องสาวเก็บแถมยังหาใบไม้ใหญ่มารอง ก่อนจะวางเห็ดใส่แล้วทำเป็นมัด ๆ ได้สามมัดใหญ่

"นี่มันอาหารป่ามื้อใหญ่เชียวนะข้าต้องอิ่มท้องแล้วล่ะ"

เย็นนี้หากเป็นไปตามที่หลี่จงบอกแล้วล่ะก็ ท่านย่า ท่านปู่รวมทั้งลุงใหญ่คงไม่กล้ากินเมนูนี้อย่างแน่นอน หลี่หลิวคิดได้แบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ