บทที่2
"พี่ใหญ่เจ้าคะ มีอะไรอีกบ้างหรือเจ้าคะ ที่ชาวบ้านไม่นิยมเก็บไปกินกัน" หลี่หลิวรีบถามหลี่จงขึ้นมาโดยทันควัน เมื่อมองเห็นทางเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นมา นี่มันทองในดินชัด ๆ พวกเขาไม่รู้สินะว่าเห็ดโคนพวกนี้ทั้งดอกใหญ่ และขาอวบ ดอกตูม ๆ พวกนี้ราคามันแสนแพงแค่ไหนนี่มันของหายากเชียวนะ
"ได้สิ ไว้ข้าเจอจะค่อย ๆ บอกเจ้าทีหลังนะ ดื่มน้ำสักหน่อยไหม" เมื่อเอาเห็ดวางใส่ตะกร้าที่ว่างเปล่าก็ดูชื่นใจขึ้นมาไม่น้อย เดินมาครึ่งชั่วโมงก็เจอของดีเข้าแล้วจะว่ายังไงดีล่ะ ต้องขอขอบคุณชาวบ้านที่ไม่ยอมกินกันอย่างสุดซึ้งล่ะนะ หลี่หลิวถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างมากจนต้องเดินไปยิ้มไปเลยทีเดียว
"ทางข้างหน้ามีต้นไม้ข้างทางขนาดใหญ่ ตอนเดินเจ้าต้องระวังให้ดี อย่าไปเผลอเหยียบหนามมันเข้าให้ล่ะ"
"ได้ ๆ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ"
"เหตุใดเจ้าถึงยังไม่หุบยิ้มอีกล่ะ"
"ก็ข้าดีใจมาก ๆ เลยหนิเจ้าคะ"
"เจ้าต้องดีใจขนาดนั้นเลยงั้นรึ มันก็แค่เห็ดที่ถูกชาวบ้านเขาเขี่ยทิ้งก็เท่านั้น"
"เอาไว้ข้าทำแกงเห็ดให้ท่านได้กินก่อน แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไปด้วย"
"ได้ ๆ" เจ้าใหญ่ตอบรับไปทั้งแบบนั้น แต่ในใจยังกังวลว่าถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไรดี แต่ก็ไม่กล้าดูถูกน้ำใจของน้องสาวตัวน้อยที่พึ่งหายไข้ จึงได้แต่เออออตามนางไปก่อน
"เดินระวังด้วยเพราะทางข้างหน้าที่ใกล้จะถึงนี้จะเป็นป่าผักหนามแล้ว ข้าจะเก็บยอดผักหนามด้านบน ส่วนเจ้าก็เก็บด้านล่างช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็ว ๆ "
"นี่พี่ใหญ่... ข้าว่า... ข้าคงไปเก็บผักหนามกับท่านไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ"
"ทำไมล่ะ ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้ว หรือเจ้ากลัวลูกหนามพวกนี้ หากเจ้ากลัวมาก พี่สามารถให้เจ้าขี่หลังไปได้นะ" หลี่จงมองดูเด็กน้อยที่เหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างเอ็นดู แถมบนหัวยังมีผมที่มัดเป็นหัวหอมกลม ๆ สองข้าง บนหัวของนางมีเศษใบไม้ติดอยู่ เขาจึงหยิบออกให้นางอย่างเบามือก่อนจะส่งยิ้มอ่อนให้
"ไม่ใช่ ๆ ข้าจะเก็บเกาลัดพวกนี้ ท่านดูสิมันเยอะมากขนาดนี้คงไปช่วยท่านเก็บผักหนามไม่ได้แล้ว"
"เจ้าว่าไงนะ! เจ้าเรียกมันว่าเกาลัดงั้นรึ?"
"อื้ม ก็ใช่ไง"
"ลูกหนามเนี่ยนะ เจ้าจะเอามันไปทำอะไรได้ เม็ดดำ ๆ ที่อยู่ข้างในนั้นก็กินหาได้ไม่ แถมเปลือกของมันมีหนามที่ทั้งคมทั้งแข็ง มันจะตำมือเจ้าเอานะ"
"เห้อ! เอาเป็นว่าข้าจะเก็บมันกลับไปด้วยก็แล้วกัน ท่านก็ไปเก็บผักหนามของท่านเถอะ ตอนเดินมาข้าเห็นรอยเท้าคนด้วย คาดว่าผักท่านคงจะเหลือน้อยเต็มทีแล้วล่ะ"
"ใช่ ๆ ข้าก็ว่าเห็นรอยเท้ายังใหม่อยู่เดินมาทางนี้ งั้นข้าไปเก็บผักก่อน เจ้ารอข้าอยู่นี่นะ หากเบื่อก็เดินขึ้นไปป่าด้านบนแล้วเรียกหาข้าได้เลย" หลี่จงพูดกับหลี่หลิวจบเขาก็ก้าวขาไปข้างหน้าทีเดินทีวิ่ง อีกทั้งยังคอยหลบลูกหนามอย่างจริงจัง หลี่หลิวที่เห็นพี่ของเจ้าของร่างนี้เดินไปแล้ว จึงเริ่มเก็บเกี่ยวเกาลัดของเธออย่างบรรจง เธอใช้เท้าน้อย ๆ ของเด็กวัยหกปีเหยียบ และคลี่เอาเปลือกเกาลัดออกจากกัน จากนั้นเอาเม็ดมันออกมาทีละเม็ด โดยใช้มีดค่อย ๆ แงะออกมา และทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเจ้าใหญ่กลับมานางก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น ตอนนี้หลี่หลิวรวบรวมเม็ดเกาลัดได้ประมาณหนึ่งกิโลแล้ว ด้วยร่างกายวัยเด็กแบบนี้จึงทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก มือเท้าก็แสนจะเปราะบาง ทำแรงนิดหน่อยก็ได้แผลกลับมาเสียแล้ว
"มาให้พี่ช่วยเจ้าเถอะ ไม่เช่นนั้นบ่ายนี้คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว เจ้าจะเก็บลูกหนามนี้มากเพียงใดล่ะ" เจ้าใหญ่เข้าใจว่าน้องสาวตนคงอยากได้เม็ดพวกนี้ไปเล่น จึงอาสาจะช่วยเก็บ และเห็นวิธีที่นางเก็บแล้วมันก็ไม่ได้ยากนัก จึงช่วยนางเก็บจนได้มากถึงสองสามโลเลยทีเดียว
"เจ้าว่ามากขนาดนี้แล้วพอได้หรือยัง นี่มันก็มากแล้วนะหากเจ้าจะเอาไปเป็นหมากไว้เล่นมันคงเกินพอแล้ว"
"ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ใครเขาจะเอาไปเล่นกัน ข้าจะเอามันไปกินต่างหากล่ะ"
"ในหัวเล็ก ๆ ของเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือเจ้ายังไม่ฟื้นไข้จึงเบลออยู่ใช่หรือไม่"เจ้าใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นจึงโยกหัวน้องรองเบา ๆ เพื่อหยอกล้อกับนาง
"มันกินได้จริง ๆ นะพี่ใหญ่"
"ได้ ๆ กินได้ก็กินได้"
"หึ! นี่ท่านไม่เชื่อข้ารึ"
"ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้วสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเก็บมันทำไมกัน"
"ก็ได้ ๆ ถ้าเจ้าอยากได้อีกข้าค่อยพาเจ้ามาเก็บอีกครั้งดีหรือไม่ ตอนนี้เราต้องกลับบ้านแล้ว ข้าหิวจนไส้กิ่วหมดแล้วเนี่ย"
เมื่อเจ้าใหญ่เห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของตนจะงอแงจึงรีบตัดบทไป เขาแสร้งทำตัวให้อ่อนแอซึ่งจริง ๆ แล้วก็จริงดั่งเขาว่านั่นแหละ เขาหิวจนท้องร้องแล้วจริง ๆ หลี่หลิวที่พึ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายตัวน้อยของร่างนี้ยังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ นางจึงต้องวางมือจากการเก็บเกาลัด แล้วหาใบไม้ใหญ่ ๆ มาห่อมันไว้แล้วเอาเถาวัลย์มัดให้ดีก่อนนำไปใส่ตะกร้าด้วยความรู้สึกผิด
"นี่ท่านเก็บได้มากเลยทีเดียว ข้าคิดว่าคนอื่นเก็บไปก่อนท่านเสียแล้ว" หลี่หลิวมองไปที่ตะกร้าที่มีผักหนามอยู่เกินครึ่งซึ่งด้านบนมีห่อเห็ดโคนวางอยู่ ดีที่พี่ชายตัวน้อยไม่เอามันไว้ด้านล่าง ไม่เช่นนั้นเห็ดพวกนั้นคงโดนผักทับจนเสียรูปไปแล้ว
หลังจากที่เจ้าใหญ่ช่วยน้องรองเก็บลูกหนามจนเสร็จแล้วเขาจึงพักดื่มน้ำดื่มท่าครู่หนึ่ง ไม่นานทั้งคู่ก็พากันลงเขาด้วยความเหนื่อยล้า ระหว่างทางเสียงเจื้อยแจ้วที่เคยมีค่อย ๆ เงียบลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้า และเสียงเหนื่อยหอบระหว่างทางกลับ
ก่อนหน้านี้หลี่จงบอกกับน้องสาวว่า โชคดีที่คนขึ้นเขามานั้นเป็นเพียงนายพราน เขาจึงไม่สนใจในการเก็บผักป่านักทำให้พี่ใหญ่อย่างเขาได้ผักป่ามาเยอะมาก และก็นี่เป็นเรื่องดีที่ท่านย่าจะไม่ดุด่าเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้าน แถมเย็นนี้พวกเขายังจะได้กินผัดผักป่าอีกด้วย
ผักหนามเป็นผักกินยอดอ่อนชนิดหนึ่งทว่าต้น และกิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยหนาม แต่เป็นผักที่อร่อยทำได้หลายเมนูที่ทุกคนนิยมเห็นจะเป็นเอาไปผัดกินกัน
"เอาล่ะใกล้ถึงบ้านแล้ว เจ้าเอาของของเจ้าออกมาถือเอง แล้วเอาไปเก็บในครัวเล็กหลังบ้านของเราให้เรียบร้อย อย่าให้ท่านย่าเห็นมันเชียวนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะโดนดุเอาได้"
"ได้ ข้าจะเอาไปเก็บที่ครัวเล็กข้างหลังบ้านของเรา ข้าจะอ้อมไปด้านหลังบ้านไม่ผ่านประตูใหญ่ดีหรือไม่" หลี่หลิวพอเข้าใจว่าครัวใหญ่นั้นเอาไว้ใช้ทำอาหารให้ท่านย่าและลุงโจว ส่วนครัวเล็กนั้นใช้เฉพาะครอบครัวรองของนาง ซึ่งครัวเล็กอยู่หลังบ้านห่างจากตัวบ้านไปเล็กน้อย
"นี่แหละที่ฉันต้องการ"
หลี่หลิวแอบเอาของมาเก็บในครัวเล็ก โชคดีที่ท่านย่าไม่อยู่ออกไปทำธุระกับท่านปู่ และครอบครัวของลุงใหญ่ หลี่หลิวจึงรีบก่อไฟ และแกงเห็ดที่ล้างสะอาดแล้วให้เรียบร้อย นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้วนางจึงรีบต้มเกาลัดจนเสร็จ แล้วตากเกาลัดให้สะเด็ดน้ำก่อนจะเก็บเกาลัดที่หอมหวานเข้าบ้านไปพร้อมกับมีดสั้น หลี่หลิวมองซ้ายมองขวา นางรีบแอบออกมาเอาหม้อแกงเห็ดเข้าไปเก็บที่ห้องนอนขนาดเล็กนั่นอย่างรวดเร็วในตอนที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
"ท่านแม่ขอรับ เหตุใดท่านย่าแบ่งผัดผักป่ามาให้เราน้อยจังล่ะขอรับ ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่ของเราเก็บมาได้เยอะมากเลยนะขอรับ"
หลี่เฉินน้องเล็กที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเสร็จแล้ว ถามท่านพ่อท่านแม่ที่มานั่งเตรียมกินน้ำต้มโจ๊กกับผัดผักที่แสนจะน้อยนิด จนหลี่หงไม่รู้ว่าควรจะตอบลูกชายเช่นไรดี ถึงจะรู้ว่าท่านย่าลำเอียงและรักครอบครัวนั้นมากกว่า แต่บุตรของตนก็ลงทุนลงแรงไปหามาให้แต่กลับได้กินเพียงเศษผักส่วนหนึ่ง หลี่หงทำได้แค่อดทน และซื่อสัตย์ต่อท่านแม่เท่านั้น เขาไม่มีความกล้าที่จะโต้เถียงกับท่านแม่เลยสักนิด จึงทำได้แค่ลูบหัวน้อย ๆ ของบุตรคนเล็กเพื่อปลอบใจ
"นี่เจ้าเล็ก เจ้าอยากอิ่มท้องหรือเปล่าล่ะ"
หลี่หลิวได้โอกาสจึงรีบลุกพรวดพราดยกหม้อที่แอบไว้ตรงมุมห้องออกมา แล้วตักแกงเห็ดใส่ถ้วยใบใหญ่มาวางไว้ตรงกลางวงล้อม แถมยังมีเกาลัดอีกจำนวนหนึ่งที่แกะแล้วมาวางไว้อีกด้วย
"พี่รองนี่มันเห็ดนี่ขอรับ กินได้ด้วยรึ"
"ได้สิ ข้ากินไปก่อนหน้านี้ตั้งแต่บ่ายแล้ว ข้าก็ยังสบายดีอยู่"
ว่าแล้วหลี่หลิวก็ตักเห็ดอวบอ้วนใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างอารมณ์ดี เจ้าใหญ่เห็นเช่นนั้นก็จุกอกเพราะตนก็เป็นคนช่วยน้องรองเก็บมา แล้วน้องรองก็ยังเอาออกมากินต่อหน้าต่อตาท่านพ่อท่านแม่อีก
"กินเถอะ เห็ดนี้พ่อเคยเห็นลุงเหยียนเก็บไปกินหลายครั้งแล้วเขาบอกว่ามันกินได้" ท่านพ่อหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบกินโดยไม่ลังเล ลุงเหยียนบอกว่าเห็ดชนิดนี้อร่อยมาก และปลอดภัยที่สุด คนที่เก็บไปกินแล้วตายอาจเป็นเพราะเขาเก็บเห็ดชนิดอื่นไป แต่เห็ดนี้กินได้
"ข้ากินด้วย" น้องเล็กคีบดอกเห็ดอวบ ๆ อ้วน ๆ ใส่ปากแล้วชมไม่หยุดว่าอร่อย ส่วนท่านพ่อก็ตักแล้วตักอีกใส่ถ้วยตนเอง ท่านแม่กับข้ามองหน้ากันไปมา ก่อนจะลงมือคีบกินตามคนในครอบครัวไป
"อร่อย นี่มันอร่อยมาก"
เจ้าใหญ่หลี่จงอุทานออกมาแล้วหันไปมองหน้าน้องรอง เขานึกถึงคำพูดของนางที่เคยพูดไว้ แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไป ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกวันนี้ได้กินอย่างอิ่มท้องแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน เกาลัดที่น้องรองเก็บมาต้องใช้มีดตัดผ่าครึ่งถึงจะกินมันได้ แม้จะกินลำบากไปหน่อยแต่เนื้อข้างในของมันหวานหอมคุ้มค่าที่ลงแรงในการแกะ ถึงแม้มันจะแกะยากไปบ้างก็ตาม
"พี่ใหญ่... พรุ่งนี้เราไปเก็บเห็ดกันดีไหมขอรับ แล้วก็ไปเก็บลูกหนามมาไว้เยอะ ๆ เลยด้วย ทีนี้เราก็จะอิ่มท้องกันแล้ว"
น้องเล็กหลี่เฉินมีความกระตือรือร้นขึ้นมา และอยากไปเก็บอาหารมาไว้เยอะ ๆ หลี่จงพี่คนโตมองหน้าท่านพ่อ พอเห็นว่าท่านพ่อพยักหน้าทำให้น้องเล็กร้องไชโยออกมาเสียงดังจนท่านย่าตะโกนเอ็ดมา หลี่หลิวจึงบอกน้องเล็กว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ไม่เช่นนั้นจะมีคนอีกมากไปแย่งลูกหนามของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องอดกินอาหารอร่อยไปอีกนาน หลี่เฉินจึงรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตนเองส่ายหน้าไปมา พร้อมบอกว่าข้าจะไม่บอกใครเลย หลังจากนั้นทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกต่างพากันเข้านอนเมื่อเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว ทุกคนนอนหลับกันหมดเทียนที่จุดไว้ค่อย ๆ ดับลงทีล่ะห้อง เสียงหายใจสม่ำเสมอแสดงว่าเริ่มหลับนอนกันแล้ว
"ท่านพ่อ.." จู่ ๆ หลี่หลิวก็เอ่ยเสียงเบา ๆ ขึ้นมาท่ามกลางความมืดอย่างไม่มีปี่มีขุ่ย
"เจ้านอนไม่หลับหรือ"
"ข้าอยากมีบ้านที่มีแต่พวกเราพ่อแม่ลูกเจ้าค่ะ" หลี่หลิวใช้ลูกอ้อนกอดแขนผู้เป็นพ่อของเจ้าของร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกผูกพันรักใคร่ครอบครัวเจ้าของร่างขนาดนี้ แต่ที่รู้ ๆ ก็คือตอนนี้เธอเป็นลูกของเขา ผู้ชายที่นอนเอามือหนุนท้ายทอยคนนี้คือพ่อของฉัน
"ถ้าออกจากบ้านใหญ่ไป เราต้องเริ่มใหม่กันหมดเลยนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ ขอแค่มีพวกเราอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่อยากอดมื้อกินมื้ออีกแล้วท่านพ่อ.."
หลี่หลิวแหงนมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างรอคอยคำตอบ อันที่จริงเขามีความคิดหลายครั้งที่จะพาครอบครัวย้ายออก แต่กลัวว่าการเริ่มต้นใหม่จะทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม จึงต้องพักพิงอยู่กับครอบครัวใหญ่เช่นนี้ พอลูกสาวเพียงคนเดียวถึงกับเอ่ยปากออกมาในใจเขาก็กระวนกระวายไม่น้อย นี่เราปล่อยให้ลูกอดอยากขนาดนั้นเลยรึ ข้านี่ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ
"ได้ พ่อรับปากเจ้า"
"งั้นพรุ่งนี้เราไปบอกท่านปู่กันนะเจ้าคะ"
"ได้ เจ้านอนได้แล้ว"
"เจ้าค่ะ" หลี่หงเอามือลูบหลังบุตรสาวเบา ๆ ในใจคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเราไปแล้วท่านพ่อท่านแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะหุงหาอาหารให้ท่าน ใครจะทำงานไร่งานนาให้ท่าน
เมื่อเห็นบุตรสาวหลับแล้วเขาก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก ภรรยาที่เห็นเช่นนั้นได้แต่ส่งยิ้มให้บาง ๆ เขาหันไปด้านข้างเห็นสายตาที่อ่อนโยนของหวังลู่ที่เป็นภรรยาของเขา ใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกวันของนางทำให้เขาได้คิดใคร่ครวญอีกครั้ง นางร่วมทุกข์ร่วมสุขมามากมายกับข้า ครอบครัวอื่นภรรยาอยู่บ้านทำงานเรียบง่าย แต่นางต้องทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน จนใบหน้างามตอนนี้หมองคล้ำไม่นวลผ่องเหมือนก่อนเก่าอีกแล้ว ข้าช่างเป็นสามี และพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ
เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก!!
เสียงไก่ขันตอนเช้ามืดเป็นนาฬิกาปลุกที่ดีที่สุด หวังลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าลูกสาวตัวน้อยได้ตื่นตามนางมาด้วยเช่นกัน หวังลู่จึงพาบุตรสาวไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นให้นางนั่งตั่งไม้อยู่ข้าง ๆ เตาไฟครัวเล็ก ส่วนตนรีบไปก่อไฟหุงหาอาหารที่ครัวใหญ่ เสร็จแล้วค่อยไปทำครัวเล็ก นางเอาแกงเห็ดของบุตรสาวมาอุ่นจนได้ที่แล้วจึงยกหม้อออกจากเตาโดยมีหลี่หลิวคอยจ้องมองอยู่ข้าง ๆ
"วันนี้เราจะได้ย้ายออกใช่ไหมเจ้าคะ"
หลี่หลิวมองดูนางหวังแม่ของเจ้าของร่างเดิมที่กำลังทำกับข้าวจนจะเสร็จแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้น เพราะรู้ว่าเมื่อคืนตอนที่นางเอ่ยถามแม่ของเจ้าของร่างนี้ก็ยังนอนไม่หลับเช่นกัน หวังลู่เหน็บผมทัดหูให้บุตรสาวอย่างเอ็นดู นางก็อยากทำแบบนั้นเช่นกันจะได้ไม่ต้องให้ลูก ๆ ทนอดอยากเช่นนี้ นางมีบุตรสาว และบุตรชายท่านย่าก็ยังไม่พอใจ ทำอะไรก็ขวางหูขวางตาท่านย่าไปเสียทุกสิ่งอย่าง หากย้ายออกไปถึงให้นางใช้ชีวิตในป่าเขาอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้ ห่วงก็แต่ลูก ๆ ยังเล็กพวกเขาจะทนร้อนทนหนาวได้หรือ ยิ่งคิดนางยิ่งท้อใจ
"ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด หากหลุดพ้นออกจากที่นี่ไปได้ ข้าจะมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้อย่างแน่นอน" หลี่หลิวเห็นสีหน้ากังวลของมารดา จึงคิดว่านางคงห่วงความเป็นอยู่เพราะหากย้ายออกไปก็คงต้องกระทบหลายอย่าง ทั้งที่อยู่อาศัยและอาหารการกิน คนเป็นแม่ต้องแบกรับสิ่งพวกนี้ไว้ ข้าคงทำได้แค่ให้กำลังใจนางเท่านั้น
"เจ้าไม่กลัวว่าถ้าออกไปแล้วจะลำบากรึ"
"ข้าไม่กลัวความลำบาก ข้ากลัวว่าข้าจะอดตายเสียมากกว่า"
หลี่หงผู้เป็นพ่อที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินสองแม่ลูกคุยกันใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาจึงหันตัวเพื่อเดินกลับเข้าบ้านไป ก่อนหน้าเห็นท่านแม่ตื่น และท่านพ่อเองก็คงจะตื่นแล้วเช่นกัน เขาจึงบากหน้าเข้าไปปรึกษาท่านพ่ออย่างจริงจัง
"เจ้าแน่ใจรึ?"
"ขอรับ" หลี่หงนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านพ่อที่กำลังนั่งเก้าอี้จิบน้ำชาตั้งแต่เช้ามืด เขาบอกไปแล้วว่าอยากย้ายออก แต่ท่านพ่อยังคงดูนิ่ง และสงบมากจนเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าท่านจะยินยอมหรือไม่
"ในเมื่อเจ้ามั่นใจแล้วก็รีบพาครอบครัวเจ้าไปเสีย" ชายวัยกลางคนลุกขึ้น และเดินไปหยิบของบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในกล่องหนังสือมาใส่มือเขา หลี่หงถึงกับตกใจจนตาแทบถลนออกมา ท่านพ่อมอบเงินให้ข้างั้นรึนี่มันห้าตำลึงเงินเชียวนะ
ค่าของเงิน
1 ก้วน = 1,000 อีแปะ/เวิน
1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วน
1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน
"ท่านพ่อ..."
"รีบไปเสีย ส่วนนี่คือโฉนดที่ดินมันมีขนาด 3 ไร่กับอีก 2 งาน ที่ตรงนั้นมีคนเช่าอยู่ ให้เจ้าถือโฉนดที่เป็นชื่อเจ้าไปยืนยันกับเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของที่คนใหม่ ที่นั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่พอควรและใช้เวลาในการเดินทางสามชั่วโมงกว่าจะถึงที่นั่น ข้าแอบเก็บเล็กผสมน้อยไว้จนได้ที่แปลงนี้มา ที่นั่นมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่งมันเพียงพอต่อครอบครัวของเจ้า"
"ไปรีบ ไปก่อนที่ยายเฒ่านั่นจะมา ข้าจะบอกนางเองรีบไปเสีย"
"ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ" หลี่หงคุกเข่าโขกศีรษะคำนับผู้เป็นบิดา เขาคิดมาโดยตลอดว่าท่านพ่อนั้นรัก และเอ็นดูครอบครัวพี่ใหญ่มากกว่าครอบครัวตน แต่แท้จริงแล้วท่านกับเตรียมการไว้ล่วงหน้าให้เขาซะดิบดี ทั้งที่ดินเงินตรา และที่พักอาศัย หลี่หงโขกหัวลงพื้นอีกครั้งด้วยความละอายใจที่คิดกับท่านพ่อเช่นนั้น เขาได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะอภัยให้ในความคิดแง่ลบของตน
"เจ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าชักช้า ไปได้แล้ว" ชายวัยกลางคนเห็นบุตรคนกลางน้ำตาคลอจึงรีบพยุงให้เขาลุกขึ้น และเร่งเร้าให้เขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ตอนนี้หลี่ไช่หัวออกไปดูบ้านข้าง ๆ ที่มีหมูกำลังคลอดลูกอยู่ หากนางกลับมาบางทีพวกเขาคงไม่ได้ไปแล้ว
"ข้าจะกลับมาทดแทนคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ"
"พูดมากเสียจริง รู้แล้ว ๆ ไปได้แล้ว" ชายวัยกลางคนโบกมือไล่เขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจ้าลูกคนนี้จิตใจดีเกินไป แถมยังชอบช่วยเหลือคนอื่นไปทั่ว เขาชอบทำอะไรเกินตัวจนตนเอง และครอบครัวต้องลำบาก เงินสักอีแปะยังไม่เคยคิดจะเก็บไว้ หากข้าไม่ตระเตรียมไว้เมื่อหลายปีก่อนเขาคงต้องทนทุกข์อีกนาน ยังดีที่เขายังรู้ตัวว่าต้องเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีแบบไหนถึงจะนำพาครอบครัวให้สุขสบายได้
"เฮ้อ... เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว"
ชายวัยกลางคนนั่งจิบชาอ่านหนังสือใต้แสงเทียน ทว่าในใจกับล่องลอย กว่าเขาจะคิดได้ใช้เวลานานมากเพียงนี้เชียว ก็ยังดีที่คิดจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นภายนอกบ้านหลังนี้ แต่มันคงจะลำบากในช่วงแรก ๆ ข้าหวังว่าเขาจะผ่านมันไปได้ล่ะนะ
"หวังลู่!! เจ้ารีบไปเก็บข้าวของเถอะ เราจะไปกันตอนนี้เลย ท่านพ่ออนุญาตแล้ว เราต้องรีบไปก่อนที่ท่านย่าจะกลับมาพบ"
"จริงหรือเจ้าคะ งั้นข้าจะไปปลุกพี่ใหญ่ให้ช่วยเก็บของ" หลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็รีบยืนขึ้นทันที
"ท่านพ่อ แล้วเราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ"
"อย่าพึ่งถามมากความ และเบาเสียงลงหน่อยเดี๋ยวคนในบ้านจะตื่นเอาได้"
หลี่หงเห็นบุตรสาวดีใจจนออกนอกหน้าจึงเอ็ดไปเล็กน้อย และบอกให้นางเบาเสียงลง จากนั้นทั้งหลี่หง หวังลู่ และหลี่จงต่างรีบเก็บเสื้อผ้า และของใช้ในห้องไปใส่รถลากที่ท่านพ่อบอกว่าถึงมันจะพังแต่เขาส่งมันไปซ่อมแล้วจนเกือบเต็มรถ เขาให้หลี่หลิวคอยดูแลหลี่เฉินที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ลาวบนรถลาก ไม่นานพวกเขาก็ย้ายออกไปแบบเงียบ ๆ หลี่หวนมองทอดออกไปเห็นครอบครัวของบุตรคนที่สองหันมาโค้งคำนับให้เขา ก่อนที่จะออกเดินทางไป เขาจึงได้แต่อวยพรให้พวกเขาไปดีมีสุข