บทที่3
พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงนางหลี่กลับจากบ้านข้าง ๆ มาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะเพื่อนบ้านบอกจะยกหมูให้นางหนึ่งตัวจนนางยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว หลี่หวนเห็นเช่นนั้นใจก็ไม่เป็นสุขนัก หากนางรู้ว่าครอบครัวของบุตรชายคนที่สองย้ายออกไปแล้ว นางคงบ่นสามวันเจ็ดวันที่ขาดคนคอยช่วยงานในบ้าน และไร่นา
"ภรรยาตัวดีของเจ้ารองทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยัง ตะวันเริ่มขึ้นแล้วนะทำไมวันนี้ถึงดูเงียบจัง" เมื่อกลับถึงบ้านนางหลี่ไช่หัวก็บ่นให้สะใภ้รองไม่ขาดคำ ตาเฒ่าหลี่หวนได้แต่แอบส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก
"ไม่อยู่แล้ว"
"อะไรคือไม่อยู่แล้ว พวกเขาออกไปทำไร่แต่ไม่ยอมทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ข้างั้นหรือ ดีเลยไว้กลับมาข้าจะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว" กล้าดีอย่างไรถึงกับทิ้งหน้าที่ที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกไปเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องหาคนมาทำครัวแทนเสียแล้ว ใช่แล้วสะใภ้ใหญ่ก็ทำได้หนิ ถึงรสมือของนางจะไม่ดีเท่าเมียเจ้ารองแต่ก็ถือว่ายังพอกินได้ เรื่องอะไรข้าต้องไปทำกับข้าวกับปลาพวกนี้ด้วยตนเองด้วยล่ะ
"พวกเขาย้ายออกไปแล้ว"
"ท่านว่าอะไรนะ!!! ย้ายออกไปแล้วงั้นหรือ!"
"ใช่ ย้ายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว"
"พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้ไปไม่ลามาไม่ไหว้เช่นนี้ หน๊อยยย!!! นี่ข้าเลี้ยงดูพวกมันเสียข้าวปลาไปตั้งมากเท่าไหร่ คิดจะไปก็ไปเช่นนี้มันไม่เห็นหัวหงอกหัวดำอย่างข้าเลยหรือไง"
"เจ้ารองมาขอข้าแล้ว ข้าก็รับปากเขาไปแล้ว เจ้าก็หยุดพูดเถอะ มีอะไรก็ไปทำเสีย"
หลี่หวนที่อ่านหนังสืออยู่แสร้งทำเป็นหน้าเคร่งขรึมเหล่ตามองภรรยาที่บ่นไม่หยุด แล้วจึงบอกให้นางไปทำหน้าที่ที่สมควรทำเสีย หลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกโมโห เมื่อนางรู้ว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้แล้วนางจึงเดินออกจากห้องนอนไปด้วยอารมณ์ไม่คงที่ ก่อนจะทุบประตูบานเล็ก และปลุกสะใภ้ใหญ่ให้ลุกขึ้นมาทำงานบ้าน
ตึง ตึง ตึง
"ท่านแม่ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะเจ้าคะ" หลี่เหลียนที่ตกใจเสียงเคาะประตูจนต้องลุกขึ้นมาเปิดพร้อมกับขยี้ตาอย่างงัวเงีย
"เช้าอะไรกัน!! ตะวันขึ้นโด่งแล้วรีบไปล้างหน้าทำครัวเสีย" เจ้าใหญ่นี่ได้ภรรยาดีมีสินสมรสมากสุด ตอนแต่งเข้ามานางก็หอบทรัพย์สินมามากพอควร แต่ตอนนี้นางเป็นสะใภ้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในบ้านของข้าแล้ว เช่นนั้นงานบ้านงานช่องคงต้องตกเป็นของนาง
"ทำครัวหรือเจ้าคะ" หลี่เหลียนถึงกับอุทานออกมา เรื่องงานบ้านงานเรือนต้องเป็นหน้าที่ของสะใภ้รองมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านแม่เลอะเลือนไปแล้วหรือไงกัน
"ก็ใช่น่ะสิ หรือจะให้คนแก่ ๆ อย่างข้าเข้าครัวทำให้พวกเจ้ากินหรือยังไง" นางหลี่ที่อารมณ์ไม่ดีมาก่อนหน้าถึงกับตะคอกเสียงดังจนหลี่โจวตื่นขึ้นมาพร้อมกับบุตรชายคนโต
"ท่านแม่ เอะอะอะไรแต่เช้ารึขอรับ"
"เช้างั้นรึ...เจ้าไม่แหกตาดูหน่อยหรือ ตะวันแยงตาแล้วเมียเจ้ายังไม่รีบไปทำครัวอีก"
"ทำครัวหรือขอรับ"
หลี่โจวที่ได้ยินเช่นนั้นก็งงงวย เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของสะใภ้รองทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงได้มาบอกให้ภรรยาของข้าไปทำเช่นนี้ด้วย
"นั่นมิใช่หน้าที่ของภรรยาน้องรองหรือขอรับ เหตุใดยังต้องให้ภรรยาข้าไปทำอีกล่ะ มันจะไม่ขวางทางการทำงานของสะใภ้รองหรือขอรับ ภรรยาข้ายิ่งค่อนข้างทำงานได้ล่าช้าอยู่ด้วย"
หลี่โจวลุกขึ้นจากที่นอนในห้องใหญ่ที่เป็นสองรองจากห้องของท่านพ่อแล้วถามอย่างสงสัย ภรรยาข้าไม่ชินกับงานครัวนางทำงานได้ชักช้าไม่ทันใจจึงถูกภรรยาน้องรองไล่ออกจากห้องครัวมาครั้งหนึ่ง จากนั้นมานางหวังก็ทำงานครัวเพียงลำพัง
"คนไม่อยู่แล้ว ทีนี้เจ้าจะไปทำได้หรือยัง"
"ไม่อยู่แล้วหรือ?" หลี่โจวคิ้วขมวดด้วยความมึนงง หรือสะใภ้รองไปทำงานไร่กับน้องสองแต่เช้ามืด แล้วลืมทำงานครัวคงจะเป็นเช่นนั้น
"พวกครอบครัวของเจ้ารองมันพากันย้ายออกไปแล้ว จะเหลือก็แต่พวกเจ้า หรือพวกเจ้าจะให้แม่ชราหัวหงอกเช่นข้าเป็นคนทำกับข้าวกับปลาให้คนหัวดำกิน"
หลี่ไช่หัวพูดจบก็เดินหน้ามุ่ยออกจากบ้านไป อีกทั้งยังตะโกนบอกให้สะใภ้ใหญ่รีบทำครัวให้เสร็จแล้วให้ไปให้อาหารสัตว์ด้วย ส่วนตัวนางก็เดินจ้ำอ้าวไปทางบ้านนางหวัง เพื่อจ้างวานให้พวกเขาไปทำงานไร่งานนาให้ นางต้องกรีดเลือดเฉือนเนื้อตนเองออกมาใช้จ่าย มีหรือที่นางจะต้องทนเก็บความปวดใจไว้เพียงลำพัง หากได้ระบายมันออกมาบ้างนางถึงจะสบายใจขึ้น
"ท่านพี่ ครอบครัวของสะใภ้รองย้ายออกไปแล้ว ต่อไปงานทุกอย่างต้องเป็นข้าทำใช่หรือไม่" ภรรยาของหลี่โจวโอดครวญ นางไม่ได้ทำงานหนักมานานแล้ว นางอยู่สบายกินอิ่มมานานแต่มาบัดนี้งานทั้งหมดต้องตกมาที่นาง แล้วแบบนี้ชีวิตอันเรียบง่ายของนางจะต้องวุ่นวายอีกเพียงใดกัน
"เจ้ารีบไปเข้าครัวทำงานบ้านเถิด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสะใภ้จะให้ท่านแม่ทำก็ยังไงอยู่ อีกไม่นานพอข้าสอบได้เจ้าก็จะสบายแล้ว อดทนหน่อยนะเมียข้า"
หลี่โจวให้กำลังใจภรรยาจนนางเข้าใจ และยอมทำงานบ้านแต่โดยดี พอครอบครัวรองไม่อยู่งานทั้งหมดคงตกมาที่ภรรยาข้า แต่ข้าก็ต้องอ่านหนังสือไม่อาจไปช่วยนางได้ เรื่องงานไร่งานสวนก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ ท่านแม่คงไม่ให้ข้าไปจัดการหรอกมั้งเพราะท่านคาดหวังไว้กับข้าสูงมาก ท่านคงไปจ้างวานให้คนอื่นมาทำแทนเป็นแน่
"หืม เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงมาอยู่บนรถลากเช่นนี้ล่ะขอรับ"
หลี่เฉินตื่นขึ้นเพราะรถลากเจอหลุมขรุขระระหว่างทาง ทำให้เขาตื่นขึ้นมา และพบว่าตนอยู่บนรถลากที่ท่านพ่อ และพี่ใหญ่กำลังเข็นไปข้างหน้าเรื่อย ๆ และยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่กำลังไปมันกลับไม่คุ้นตาเลย
"น้องเล็กเราจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่" หลี่หลิวเห็นน้องชายตื่นขึ้นมาก็ขยี้ตารัว ๆ ด้วยความสงสัย นางจึงตอบไปว่าเราจะไปอยู่บ้านใหม่กัน
"เรามีบ้านเป็นของตัวเองด้วยหรือขอรับ"
"ใช่สิ" หลี่หงบอกบุตรชายที่พึ่งตื่นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะมีเหงื่อไหลรินออกมาเพราะผ่านการเข็นรถลากมานานมากแล้วจึงเกิดความเหนื่อยล้า
"ท่านพ่อเรากำลังจะไปบ้านใหม่หรือขอรับ"
"มันก็ไม่เชิงว่าเป็นบ้านใหม่หรอก แต่เป็นกระท่อมหน่ะ"
"กระท่อมหรือขอรับ"
หลี่จงพี่ใหญ่มองหน้าท่านพ่ออย่างสงสัยที่แท้เราจะต้องไปอยู่กระท่อม ข้าว่าแล้วเชียวท่านพ่อจะเอาอีแปะจากที่ไหนไปสร้างบ้านได้ล่ะ เงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวท่านพ่อก็ยกให้ท่านย่าไปเสียหมด
"มันอาจจะลำบากหน่อยแต่พ่อเชื่อว่าพวกเจ้าจะปรับตัวได้ในไม่ช้า" หลี่หงหันไปมองบุตรชายคนโตที่ช่วยเข็นรถลาก และภรรยาที่เดินข้างกายด้วยรอยยิ้มเอาใจใส่ การเริ่มต้นใหม่อาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ข้าเชื่อว่ามันจะต้องดีกว่าเดิมในสักวัน ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา และยกที่แปลงนี้ให้ข้าได้ลืมตาอ้าปาก หลี่หงสำนึกในบุญคุณของผู้เป็นพ่อ
"ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้กินอิ่มท้องเป็นพอ"
หลี่หลิวยิ้มระรื่นและชวนครอบครัวคุยกันอย่างสนุกสนาน ตลอดเส้นทางจึงมีแต่เสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อไปถึงกระท่อมปลายนาทุกคนถึงกับอ้าปากค้างเพราะนี่มันไม่ใช่กระท่อมแล้ว จะเรียกว่าบ้านเลยก็ว่าได้ ถึงจะหลังไม่ใหญ่นักแต่ครอบครัวของพวกเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย กระท่อมที่สร้างจากไม้หลังคามุงด้วยไม้ไผ่ และหญ้าคา อีกทั้งยังมีชายคาที่ยื่นออกไปทำเป็นครัวขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้ไผ่สามารถนั่งทานอาหารได้พอดีกับห้าคน ลานบ้านค่อนข้างกว้างถึงจะมีหญ้าขึ้นจนดูรกรุงรัง แต่ถ้าทำดี ๆ หน่อยนี่แหละคือบ้านอันแสนสงบ
"ท่านพ่อ ไหนท่านบอกว่านี่คือกระท่อม ดูข้างในนี้สิขอรับ มีสองห้องนอน และมีห้องโถงอีกด้วย ห้อง ๆ นึ่งกว้างพอ ๆ กับห้องนอนเราเลยหรือบางทีมันอาจจะกว้างกว่าเสียด้วยซ้ำ" หลี่เฉินลงจากรถลากก่อนใคร และวิ่งสำรวจบ้านอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งอธิบายภายในบ้านให้ท่านพ่อที่ยังไม่ทันได้เข้าไปให้ได้รับรู้
"ท่านพี่" หวังลู่มองหน้าสามีอย่างปิติยินดี ท่านพ่อได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับครอบครัวของเราแล้ว ทีแรกคิดว่าการได้มาอยู่กระท่อมโทรม ๆ คงไม่แย่นัก ทว่าท่านพ่อกลับทำกระท่อมที่เป็นเหมือนบ้านหนึ่งหลังไว้ให้เรา ท่านช่างเมตตาพวกเรามากมายจริง ๆ
"มาเก็บของกันก่อนเถอะ" หลี่หงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะบอกให้บุตรชายคนโตมาช่วยตน และภรรยาขนของลงจากรถลาก รถลากสี่ล้อขนาดใหญ่ที่พวกเขาใส่ของใช้เสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้ง รวมทั้งถ้วยชามรามไหที่เอามาจากครัวเล็กทั้งหมด สักพักก็มีคู่สามีภรรยามาที่กระท่อมจึงได้บอกกล่าวเรื่องราวให้พวกเขาได้รับรู้ เมื่อคู่สามีภรรยาที่เช่าอยู่ทราบเรื่องแล้วจึงบอกลาครอบครัวของหลี่หง และไปทำไร่ในที่ของตนซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับแปลงของหลี่หงไม่ไกลนัก
"ท่านแม่ข้าหิวแล้ว" หลี่เฉินที่วิ่งเล่นไปทั่วในแปลงมันสองแปลงเล็ก ๆ กับหลี่หลิว พากันเดินกลับมาพร้อมกับหอบหัวมันหวานมาเต็มทั้งสองมือ ก่อนจะยิ้มตาหยีอย่างภูมิใจ
"ท่านแม่ เราย่างมันหวานกันนะเจ้าคะ"
หลี่หลิวพาน้องชายนำมันไปล้างที่ลำธารซึ่งเป็นคลองเล็ก ๆ ไหลผ่านข้างทาง แล้วพากันก่อกองไฟเผามันจนใบหน้ามอมแมมไปหมด เมื่อพี่ชายคนโตเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจแถมยังบอกบอกให้ท่านพ่อท่านแม่ดูผลงานจากการเผามันของน้อง ๆ ที่ตอนนี้หน้าดำเต็มไปด้วยขี้เถ้า พวกเขาทุกคนมีความสุข และทานมันหวานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"ท่านพ่อข้าอยากปลูกผักเลี้ยงปลาเจ้าค่ะ ด้านหน้ากระท่อมมีพื้นที่ว่างอยู่มาก ข้าเอาเมล็ดผักจำนวนหนึ่งติดมือมาด้วย ข้าง ๆ บ้านมีบ่อน้ำแสดงว่าดินที่นี่อุ้มน้ำ และเราสามารถขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้กินกันได้ด้วยนะเจ้าคะ" หลี่หงเห็นความกระตือรือร้นจากบุตรสาวจึงตอบตกลง แต่ก่อนอื่นต้องไปหาไม้ไผ่มาทำรั้วบ้านเสียก่อน ถึงแม้ที่นี่ดูจะปลอดภัยแต่การมีรั้วบ้านนั้นจะทำให้สบายใจมากขึ้น
"ท่านพ่อ ท่านจะไปตีนเขาตัดไม้ไผ่หรือเจ้าคะ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ ข้าจะไปเก็บเกาลัดมาเก็บไว้เป็นของกินเล่นยามว่างเจ้าค่ะ"
หลี่หลิวยิ้มแก้มปริเมื่อท่านพ่ออนุญาตให้ไปด้วยได้ ถึงเจ้าเล็กอยากไปด้วยแต่ทว่าได้หลี่หลิวทักท้วงไว้
"หากเจ้ามาด้วย แล้วท่านแม่จะอยู่กับใคร มีแต่เจ้าแล้วที่เป็นชายชาตรีคอยอยู่ดูแลท่านแม่ได้"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นด้วยความเป็นลูกผู้ชายเขาจึงยื่นอกรับหน้าที่คอยปกป้องผู้เป็นมารดา หลังจากนั้นหลี่หลิวและพี่ใหญ่ก็ไปถึงตีนเขา ทั้งสองต่างพากันไปดื่มน้ำที่ลำธาร ส่วนบิดาก็ไปตัดต้นไผ่ สองพี่น้องจึงพากันขึ้นไปบนเชิงเขาเพื่อเก็บเกาลัดเมื่อได้มามากกว่าห้าโลจึงพากันกลับลงมา หลี่จงไปช่วยหลี่หงตัดไม้ไผ่จนล้นรถลาก จากนั้นใช้เถาวัลย์มัดให้แน่นเพื่อไม่ให้มันร่วงระหว่างทาง ส่วนหลี่หลิวที่พกเสียมมาด้วยเดินออกมาจากป่าไผ่ ก่อนจะเรียกท่านพ่อไปช่วยเก็บหน่อไม้ที่นางหาไว้จำนวนหนึ่ง
"นี่เจ้าจะเอาไผ่ไปปลูกหรือ แต่แบบนี้มันปลูกไม่ขึ้นหรอกนะ"
หลี่หงมองบุตรสาวอย่างสงสัย นางใช้ช่วงเวลาที่ข้าและหลี่จงไปตัดไม้ไผ่เพื่อมาหาต้นอ่อนของไผ่พวกนี้ อีกทั้งตอนนี้นางยังเก็บไผ่อ่อนเหล่านี้มาไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ใช่ว่าไผ่อ่อนพวกนี้มันจะมีน้อยเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครเอาต้นไผ่เล็ก ๆ นี่ไปใช้กัน ดังนั้นมันจึงกระจายไปแทบทุกพื้นที่ตามผืนป่า และส่วนมากผู้คนจำเป็นต้องใช้ต้นไผ่ที่ลำใหญ่แข็งแรง เพื่อที่จะเอาไปทำรั้วหรือสานเป็นตะกร้าส่วนต้นอ่อนนั้นก็ปล่อยให้มันได้เติบโต
"ฮ่า ๆ ๆ ท่านพ่อนี่ก็ตลกนะเจ้าคะ มันจะไปปลูกได้เช่นไร รากมันก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ" หลี่หลิวหัวเราะในมุกตลกของหลี่หงจนท้องแข็ง ทำไมข้าต้องเส้นตื้นด้วยนะมุกไม่ฮาแต่ขำกลิ้งถึงได้ถึงเพียงนี้
"แล้วเจ้าจะเอาไปทำอันใดล่ะ"
พี่ใหญ่ที่เห็นน้องรองหัวเราะจนเหนื่อยหอบ จึงถามขึ้นพร้อมกับเอามือลูบหลังให้น้องรองใจเย็นลงหน่อย ตั้งแต่ที่นางหายป่วยก็ชอบหยิบจับสิ่งแปลก ๆ มาเสมอ สิ่งที่ทุกคนมองข้ามกันนางก็เอามาทำอาหารแถมมันยังกินได้ และอร่อยด้วย ไม่ว่าน้องรองจะทำอันใดข้าผู้เป็นพี่คงทำได้แค่สนับสนุนเจ้าต่อไป
"ได้ ๆ ข้าจะบอกให้นะ นี่หน่ะคือหน่อไม้ของดี ๆ"
"ต้นอ่อนของไผ่เจ้าเรียกว่าอะไร หน่อไม้งั้นหรือ" หลี่หงผู้เป็นพ่อฟังที่บุตรสาวพูดออกมาแล้วจึงเกิดความสงสัย มีใครเคยบอกนางเช่นนั้นงั้นรึ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นของดีอะไรเลยนะ
"โถ่ ท่านพ่อ นี่เป็นสุดยอดอาหารเช่นกัน ก่อนหน้านี้มันยังไม่โผล่พ้นดินข้าก็เลยไม่ทันสังเกตเห็น แต่ตอนนี้มันโผล่ออกมามากข้าเลยต้องเก็บเกี่ยวมันเสียหน่อย พวกท่านช่วยข้าเก็บมันหน่อยข้าพึ่งได้แค่เจ็ดแปดหน่อเอง" หลี่หงมองหน้าหลี่จงบุตรชายแล้วจึงพยักหน้าหากนางว่ากินได้คงกินได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้บุตรสาวยังเก็บลูกหนามไปมากมาย และเอามาให้ครอบครัวได้กินจนอิ่มท้อง ของที่คนอื่นมองไม่เห็นค่าใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ บางทีมันก็อาจกินได้จริง ๆ ก็เป็นได้
"นี่ก็มากมายแล้วนะ ทั้งเห็ดโคนสามกลุ่มที่เจอตอนหาหน่อไม้ของเจ้า อีกทั้งหน่อไม้มากกว่าสามสิบหน่อ เรากลับกันเถอะหากนานกว่านี้ท่านแม่ของเจ้าจะเป็นกังวลเอา"
เมื่อมองดูเวลาพระอาทิตย์ก็ขึ้นเหนือศีรษะเสียแล้ว หลี่หงจึงถามบุตรสาวว่ามันเพียงพอแล้วหรือยัง หากกลับไปช้าก็กลัวว่าเมียรักจะเป็นห่วงเอาได้
"ยังหรอกเจ้าค่ะ ดูนี่สิเจ้าคะข้าได้ไส้เดือนมาด้วย" ไส้เดือนที่นางขุดมาได้ดิ้นทุรนทุรายเพราะถูกสับด้วยเสียม นางขุดพวกมันมาทำไมกัน หลี่หงมองไม่ออกเลยว่าบุตรสาวต้องการจะทำอะไรกันแน่
"ท่านพ่อตัดไม้ไผ่ลำเล็กๆ นี่ให้ข้าสักสองอันหน่อยเจ้าค่ะ" หลี่หลิวเขย่าแขนผู้เป็นพ่อเบา ๆ แล้วบอกให้ผู้เป็นพ่อทำเบ็ดตกปลาตามที่นางบอก เมื่อได้ไม้ไผ่ยาวสองเมตรมาสองอันที่ขนาดเท่านิ้วนางก็เอาเข็มที่นำมาจากบ้านท่านย่าสองอันออกมา แล้วร้อยด้วยด้ายเย็บผ้าที่ยาวหนึ่งเมตรครึ่งที่ช้อนทับกันเป็นสองเส้นเพราะกลัวด้ายจะบางเกินไป จากนั้นงอเข็มให้โค้งสุดท้ายใส่ไส้เดือนติดกับเข็มทั้งสองอันแล้วมัดกับไม้ไผ่ก็เป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวหย่อนไส้เดือนที่ดิ้นไปมาลงในน้ำ ฝูงปลาน้อยใหญ่เห็นของกินที่ชอบก็แย่งกันงับเหยื่อ หลี่หลิวบอกพี่ใหญ่ และท่านพ่อคอยจังหวะให้ปลากินเหยื่อแล้วรีบดึงคันเบ็ดขึ้นโดยเร็ว สองพ่อลูกเมื่อเห็นว่าทำเช่นนี้ก็ได้ปลาแล้วจึงสนุกกับการตกปลาอยู่พักใหญ่จนได้ปลามาสิบกว่าตัว พวกเขาพากันร้อยปลาโดยใช้เถาวัลย์ร้อยตรงเหงือกปลาทะลุออกทางปาก และทำเป็นสองพวงมัดรวมกันแล้ววางไว้บนรถลาก ได้ทั้งปลา เห็ด หน่อไม้ และเกาลัด เจ้าเล็กที่กินจุได้อิ่มท้องสมใจอย่างแน่นอน หลี่หงมองบุตรสาวที่ฉลาดเฉลียวรู้จักคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างประหลาดใจ ลูกสาวข้าเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่ยังเล็กภายภาคหน้าต้องได้ดิบได้ดีเป็นแน่ พ่อคนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง หลี่หงยิ้มแก้มแทบปริจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ และเอ่ยชมบุตรสาวรวมทั้งบุตรชายไม่ขาดปากในขณะที่ลากรถลาก โดยมีเด็กสาวเดินตามพรางเล่นเด็ดดอกไม้ดอกหญ้าทำมุงกุฎไปด้วย
"นี่ก็เลยเที่ยงวันมาแล้วเหตุใดพวกพี่ ๆ ของเจ้ากับพ่อของเจ้ายังไม่กลับมาอีกนะ"หวังลู่ที่ยังไม่เปลี่ยนนามสกุลตามสามีเอ่ยปากขึ้นอย่างร้อนรน ได้ข่าวว่าบนเขามีสัตว์น้อยใหญ่อยู่มากมายคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ ยิ่งคิดนางยิ่งหวั่นและวิตกกังวลใจ
"นั่นไง ๆ ท่านแม่ใช่รถลากของท่านพ่อหรือไม่ มีไม้ไผ่เต็มรถเลยขอรับ"
"ไหนดูซิ ใช่แล้ว ๆ นั่นคือท่านพ่อ และพี่ ๆ ของเจ้า พวกเขาปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ดีมากจริง ๆ" เมื่อเห็นสามพ่อลูกกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็โล่งอกและคลายกังวล
"ท่านพ่อ!! ทางนี้ขอรับ ทางนี้" หลี่เฉินที่ช่วยท่านแม่ถางหญ้าที่รก และหนาทึบออกจนโล่งกว้างได้โบกมือกระโดดไปมาเหมือนลิง
"ดูน้องเล็กของเจ้าสิดีใจอย่างกับรู้ว่าจะได้กินของอร่อยฮ่า ๆ"
หลี่หงภูมิใจที่สามารถทำให้ครอบครัวได้อิ่มท้อง พวกเด็ก ๆ จะไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป พอคิดถึงอาหารการกินพรุ่งนี้ต้องไปซื้อข้าวสารของใช้มาเพิ่มเสียแล้ว ตอนออกมาจากบ้านใหญ่ข้าวสักเม็ดเขาก็ไม่กล้าที่จะนำติดไม้ติดมือมาด้วย เขานำมาแค่ของใช้ในครัวเล็กที่ท่านพ่อยกให้เท่านั้น
"ท่านพ่อให้ข้าช่วยทำอาหารนะเจ้าคะ ข้าทำอร่อยนะ ฮิฮิ"
คราวก่อนที่ข้าได้โชว์ฝีมือไปหวังว่าท่านพ่อจะให้ข้าได้ทำมัน เพราะดูท่าแล้วท่านแม่คงทำเมนูที่ข้าอยากกินไม่เป็นอย่างแน่นอน
"ได้ ๆ พ่อรู้แล้วเจ้าทำออกมาได้ดีทีเดียว"
หลี่จงหัวเราะเสียงดัง แน่นอนว่าอาหารที่น้องสาวของเขาทำนั้นถูกปากถูกใจเขาเป็นอย่างมาก เพราะมันอร่อยกว่าท่านแม่ทำเสียอีก ดีจริง ๆ ที่รสมือของน้องสาววัยหกขวบของเขาสามารถทำอาหารอร่อยได้ถึงเพียงนี้