รักนายครั้งที่ 4
คำพูดหยางไป่ชวนติดอยู่ที่ลำคอ ลังเลว่าจะออกไปหรือกลับเข้ามาดี สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงรอให้เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นพูดต่อ เจียงซานทนไม่ได้กับท่าทางที่อ่อนปวกเปียกของเขาจึงดึงเขาไว้ แต่หยางไป่ชวนกลับสะบัดออก
หลังจากที่เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นพูดกับเขาจบ เธอก็เดินไปที่หน้าชั้นด้วยท่าทางที่สดใสเป็นพิเศษ หยางไป่ชวนกำลังยืนอยู่หลังห้อง มองผมหางม้าที่สะบัดไปมาขณะที่เธอก้าวเดิน เขาเคยถูกผมหางม้าสะบัดใส่หน้าไปแล้วครั้งหนึ่ง มันเจ็บแสบมาก แต่หยางไป่ชวนคิดว่ามันเหมือนกับที่แม่ของเขาพูดไว้ ผู้หญิงบางคนเกิดมาเพื่อถูกตามใจ
เขาเต็มใจทำตามแนวความคิดที่แม่ปลูกฝังไว้ให้ แม้ว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วในความเต็มใจนั้นมีส่วนที่เป็นเพราะไม่อยากก่อปัญหาอยู่มากแค่ไหน
“เดือนเมษายนปีนี้โรงเรียนของเราจะจัดงานวันสถาปนาครบรอบ 60 ปี ห้องเรามีแผนจะจัดการแสดงร่วมกับห้อง 6 ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงกันบ้าง” เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเคาะแท่นตรงโพเดียมหน้าชั้น
“ไม่มีความคิดเห็น” หยางไป่ชวนลากเสียงยาวตอบเป็นคนแรก จากนั้นในชั้นเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงคำตอบดังเซ็งแซ่ เดิมทีเขาตั้งใจจะแสดงการสนับสนุนอีกครั้ง แต่เจียงซานกลับลากเขาวิ่งลงไปข้างล่างเสียก่อน
เจียงซานยังบ่นอยู่ “คาบต่อไปจะเริ่มอยู่แล้ว นายยังมัวมองแม่สาวนั่นอยู่อีก ควรใส่ใจกระเพาะตัวเองก่อนไหม”
“พอได้แล้วๆ” หยางไป่ชวนก้าวลงบันไดทีละสองขั้นจนแซงหน้าเจียงซาน
ทางที่พวกเขาเดินเป็นทางด้านข้างที่ปกติไม่ค่อยมีคน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปชนใครเข้า หยางไป่ชวนรีบมากและจำเป็นต้องก้าวให้เร็วขึ้น ตอนหลังจึงก้าวลงทีละสามขั้นบันไดเสียเลย วิ่งเร็วจี๋
“หยางไป่ชวน?”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขา น้ำเสียงนั้นออกแนวถามอย่างสงสัยมากกว่าจะเรียก แต่หางเสียงกลับไม่สูงพอ จนทำให้ฟังดูไม่เหมือนคำถาม แต่เหมือนเป็นการยืนยันให้แน่ใจ เขาคิดในใจว่าใครกันนะที่มีน้ำเสียงที่น่ารำคาญแบบนี้
เมื่อเงยหน้ามอง เป็นโหยวเปิ่นเฉาจริงๆ ด้วย
คนผู้นี้ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับเป็นกำแพง ปกเสื้อพับอย่างเรียบร้อย ขากางเกงดูสั้นไปหน่อย นอกจากนี้ยังสวมรองเท้าบาสเกตบอลทรงสูงเพื่ออำพรางอดีต แล้วกลับมามองตัวเอง ที่ซิปของชุดนักเรียนถูกดึงขึ้นไปจนสุด มันตั้งโย้เย้และดูไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก
หยางไป่ชวนกระแอมเบาๆ ก่อนยืดตัวตรงถาม “มีอะไร”
ทันใดนั้นของบางอย่างก็ถูกโยนมาทางเขา หยางไป่ชวนเห็นไม่ชัดว่ามันคืออะไร แต่ก็เอื้อมมือไปรับไว้โดยอัตโนมัติ พอรับไว้แล้วจึงพบว่าเป็นขนมปัง เขาเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “อย่าคิดว่าฉันจะยอมประนีประนอมเพียงเพราะขนมปังชิ้นเดียวนะ ฉันตามจีบเมิ่งอวิ๋นมาตลอดทั้งเทอม”
โหยวเปิ่นเฉาไม่สนใจเขาและพูดขึ้นดื้อๆ “ต้องไปเรียนแล้ว”
พูดจบโหยวเปิ่นเฉาก็เดินขึ้นบันไดไป และเจอกับเจียงซานที่กำลังหอบเพราะวิ่งตามมา เจียงซานยืนอยู่บนบันไดและเหลือบมองโหยวเปิ่นเฉาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคนคนนี้มักทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา เขาเดินลงไปข้างล่างอย่างงงๆ ลงไปเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เจอหยางไป่ชวน
“อ๊ะ เมื่อกี้ออดดังแล้ว นายซื้อขนมปังมาแล้วเหรอ” เจียงซานชำเลืองมอง เห็นหยางไป่ชวนถือขนมปังอยู่ในมือ “ไปเถอะ ซื้อแล้วก็รีบกลับเร็ว เร็วหน่อย เดี๋ยวครูคณิตจะหงุดหงิด”
“อา...อ้อ” หยางไป่ชวนเหมือนยังไม่ได้สติคืนมา เขาใจลอยอยู่นานและคิดไม่ตกว่าทำไมอยู่ๆ โหยวเปิ่นเฉาถึงต้องมาเอาใจเขาด้วย ในตอนนี้เองเจียงซานก็กระชากเขา ทำให้เขาได้สติและรีบวิ่งทันที “โอเค”
“โอเคอะไรของนาย...ทำไมเหมือนนายจะใจลอยแปลกๆ ” เจียงซานกล่าว “คนเมื่อกี้ใครน่ะ นายรู้จักเหรอ ดูดีนี่”
“อืม...เพื่อนของเพื่อนน่ะ”
ขณะที่คุณครูกำลังพูดถึงพื้นที่ของสี่เหลี่ยมมุมฉาก หยางไป่ชวนก็ตบหัวตัวเองเบาๆ แล้วสรุปว่า
โหยวเปิ่นเฉาจะต้องคิดจีบเจี่ยงเมิ่งอวิ๋น เลยคิดจะมาตีสนิทกับเขาก่อนแน่ๆ
เวรเอ๊ย
หลังจากหมดคาบทบทวนบทเรียนเองตอนเย็น หยางไป่ชวนก็ไปดักคนที่หน้าห้องเจ็ด ช่วงเวลานี้คนเยอะมาก ทุกคนพุ่งออกมาข้างนอก กว่าเขาจะฝ่าฝูงคนเข้าไปถึงหน้าประตูห้องเจ็ดได้ ก็ได้รับการบอกกล่าวว่าคนมาหานั้นกลับหอไปก่อนแล้ว
เขาเอ่ยขอบคุณแล้วกลับมา หลังขึ้นมัธยมปลาย กลุ่มเพื่อนแย่ๆ ที่เป็นขาใหญ่ซึ่งเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล ประถม และมัธยมต้น ส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่หอพักเพราะไม่อยากวุ่นวาย มีเพียงส่วนน้อยที่เลือกไปกลับ
อย่างเช่นหยางไป่ชวน หรือไม่ก็
“หยางไป่ชวน?”
น้ำเสียงแบบนั้นอีกแล้ว ยังไม่ทันที่หยางไป่ชวนจะได้ปลดปล่อยอารมณ์เศร้าออกมาอย่างเต็มที่ มันก็ถูกระงับลงด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เขาแอบคิดในใจว่านี่เป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้ว หลังจากนี้ทุกวันที่สิบเดือนแรกของปีจะเป็นวันโชคร้ายประจำปีของเขา
“ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว”
โหยวเปิ่นเฉาสะพายกระเป๋านักเรียนพาดไหล่ เดินสองสามก้าวก็มาถึงหน้าหยางไป่ชวน เห็นท่าทางน่ากลัวของเขา หยางไป่ชวนจึงถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ก้าวเล็กๆ ของเขาถูกโหยวเปิ่นเฉาจับได้ ดังนั้นโหยวเปิ่นเฉาจึงหยุดและไม่เดินต่อเข้าไป และพูดกับเขาจากระยะที่ปลอดภัย “กลับด้วยกันไหม”
หยางไป่ชวนแอบคิดในใจ ‘มิตรภาพจอมปลอมไม่มีวันจางหาย’
จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง “อืม กลับด้วยกันเถอะ”
ลมหนาวกลางเดือนกุมภาพันธ์เย็นยะเยือกถึงขั้วกระดูก แม้ว่าหยางไป่ชวนจะรูดซิปขึ้นจนสุดแล้วก็ยังกันลมหนาวที่พัดเข้ามาตรงคอเสื้อไม่ได้ เขาทำได้เพียงหดตัวเดินอยู่ข้างหลังโหยวเปิ่นเฉา
“นายจะไปเดินอยู่ข้างหลังทำไม”
เสียงของโหยวเปิ่นเฉาแทรกผ่านมากับลมหนาว บางทีอาจเป็นเพราะว่าคืนนี้อากาศเย็นจนทุกอย่างบิดเบี้ยวไปหมด กระทั่งเสียงของโหยวเปิ่นเฉายังฟังดูอ่อนโยนอย่างประหลาด หยางไป่ชวนเบะปากตอบ “เปล่าสักหน่อย”
เขาขึ้นหน้าไปสองก้าวไปยืนข้างคนคนนี้
ตอนแรกเขาคิดว่าโหยวเปิ่นเฉาชวนเขากลับพร้อมกันเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาเกือบจะเดินถึงหน้าประตูบ้านแล้ว คนคนนี้ก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ หยางไป่ชวนจึงรีบถามขึ้น “อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดหวายจื่อแล้ว นายมีไอเดียอะไรไหม”
โหยวเปิ่นเฉาเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ “ก็เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ”
เป็นคำตอบที่หยางไป่ชวนคาดไว้แล้ว เขาจิ๊ปากแล้วบ่นว่า “น่าเบื่อ”
“งั้นนายอยากทำอะไรล่ะ”
“ม.ปลายแล้วนะ พ่อฉันบอกว่าขึ้นม.ปลายแล้วก็จะอนุญาตให้ลอง”
หยางไป่ชวนเอ่ยถึงสิ่งที่น่าตื่นเต้น และลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากับเขาไม่ลงรอยกัน เผลอก้าวขึ้นหน้าอย่างดีใจ แล้วหันมายิ้มพร้อมพูด “บุหรี่ เหล้า แล้วก็มีความรักได้”
เดิมทีเขาแค่อยากจะแบ่งปันความวุ่นวายนิดๆ หน่อยๆ ในช่วงวัยรุ่นกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาคิดว่าวัยรุ่นทุกคนบนโลกต่างก็มีความสับสนว้าวุ่น เขานึกอยากจะให้ตัวเองเติบโตขึ้นอีกนิดและอีกนิด ได้ลองสิ่งที่ไม่เคยลองพวกนั้น ฮอร์โมนที่ค่อยๆ สั่งสมขึ้นมาทีละน้อยตามกาลเวลาโดยไม่เคยได้ระบายออก ก็เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่ดูเหมือนจะเอ่อล้นในคืนนี้
ทว่าที่ทำให้เขาผิดหวังคือ โหยวเปิ่นเฉาที่อยู่ตรงหน้าสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะพูดกับเขาด้วยสีหน้าเหมือนตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกว่า “อย่าแม้แต่จะคิด”
หยางไป่ชวนแอบกลอกตาอยู่ในใจ
นักเรียนตัวอย่างจะมีชีวิตวัยรุ่นได้ยังไง
เขาจะบอกความคิดของตัวเองให้เจ้าม้าไม้ไผ่จอมปลอมตัวนี้ฟังไปทำไมกัน