รักนายครั้งที่ 5
หยางไป่ชวนล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังจากอาบน้ำเสร็จ เดิมทีตั้งใจจะนอนเลย ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านข้างสั่น เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือ แล้วพบว่าเป็นข้อความจากเทพธิดาของเขา
เขาผุดลุกขึ้นนั่งทันที
เทพธิดา : พรุ่งนี้ตอนเที่ยงกินข้าวเสร็จแล้วนายมาที่ทางเดินนะ
หยางไป่ชวน : ตกลงครับเทพธิดา
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สงสัยว่าเขาขี้ขลาดเกินไปหรือเปล่า เขาเลยส่งข้อความกลับไปว่า : เทพธิดา เธอส่งข้อความมาหาฉันจริงๆ ด้วย (/≥▽≤/)
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นไม่ตอบข้อความเขาแล้ว
หยางไป่ชวนผิดหวังอยู่เพียงครู่เดียว แล้วก็รู้สึกว่านี่เป็นโมเมนต์ที่ควรเก็บไว้เป็นที่ระลึก ดังนั้นจึงแคปภาพบทสนทนานี้ส่งไปอวดเจียงซาน
เจียงซาน : “...?”
หยางไป่ชวน : เทพธิดาของฉันทักมาหาฉันก่อนล่ะ ขอบคุณ
เจียงซาน : ครั้งนี้ไม่ตาย ครั้งหน้ายังไงก็ต้องตาย พรุ่งนี้เที่ยงฉันว่านายจะต้องเจอเคราะห์ใหญ่
หยางไป่ชวน : ไสหัวไปซะ
หยางไป่ชวนถูกเจียงซานเบรกจนหมดอารมณ์จะอวดความในใจ เลยส่งอิโมติคอนมั่วๆ และนอนลง ในใจคิดว่าพรุ่งนี้จะต้องแต่งตัวดีหน่อย
ทุกวันตอนเจ็ดโมงเช้าพวกเขาต้องทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง หยางไป่ชวนต้องตื่นนอนตอนหกโมงเช้าทุกวันเพื่อไปโรงเรียน วันรุ่งขึ้นเขาตั้งใจตื่นเช้าเป็นพิเศษ ตีห้าครึ่งก็ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการทรงผมตัวเองหน้ากระจก หลังจากเช็กทรงผมแล้วก็ไปวุ่นวายเรื่องรองเท้าต่อ สุดท้ายก็เลือกรองเท้าที่ดูเซ็กซี่ที่สุดแล้วออกเดินทางด้วยความพึงพอใจ
หลังจากเสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น เขารู้สึกเพียงความเหนื่อยล้าจากการตื่นเช้าอยู่เต็มหัว มีอาการมึนงงตลอดช่วงเช้า พอถึงตอนเที่ยงจึงเริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
เขาคิดเพียงว่าต้องการสร้างความประทับใจแรกพบให้กับเทพธิดา หยางไป่ชวนได้แต่ขอร้องเจียงซานอยู่ทั้งคาบว่าให้ซื้อข้าวให้เขาด้วย เจียงซานที่หลอกซื้อเครื่องดื่มมาได้เดือนนึงจึงตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
หยางไป่ชวนซึ่งกำลังตกหลุมพรางยังอารมณ์ดี เมื่อหมดคาบก็รีบแจ้นไปยังมุมทางเดิน เทพธิดายังมาไม่ถึง แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามีใครคนหนึ่งมาถึงแล้ว คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
ถึงแม้หยางไป่ชวนจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเทพธิดาคงไม่ได้เรียกเขามาพบตามลำพัง แต่ก็ยังตกใจเมื่อเห็นคนคนนี้ จิตใต้สำนึกอยากจะใส่ตีนหมาแล้วรีบเผ่นไปให้เร็วที่สุด เพียงแค่หันหลังกลับก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติของคนที่อยู่ข้างหลัง
“นายไม่กินข้าวอีกแล้วเหรอ”
หยางไป่ชวนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อปั้นยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาพูดว่า "ฮ่า ฮ่า นายพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ"
คงเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวบนใบหน้าของเขาทำให้โหยวเปิ่นเฉาพอใจ ใบหน้าที่จริงจังของเขาจึงอ่อนโยนลง เมื่อเห็นว่าหยางไป่ชวนดูไม่ค่อยอยากจะเข้ามาใกล้นัก เขาจึงเดินเข้าไปหาเอง “พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ พอดีว่าฉันก็ยังไม่ได้กิน”
"ไม่ล่ะ!"
การปฏิเสธความหวังดีของโหยวเปิ่นเฉาได้กลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของหยางไป่ชวน แต่คราวนี้แม้เขาเองก็รู้สึกว่าการปฏิเสธนั้นค่อนข้างห้วนไปสักหน่อย เขาจึงเสริมว่า "ฉันให้เจียงซานซื้ออาหารให้แล้ว..."
“งั้นก็ได้” โหยวเปิ่นเฉาเดินกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง
หยางไป่ชวนรอสักพักเห็นว่ายังไม่มีใครมา ส่วนโหยวเปิ่นเฉาก็ไม่ได้จากไปตามที่เขาหวัง เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นทุกที แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิงไปว่า “นาย ทำไมถึงมาที่นี่ได้”
“หยางไป่ชวน"
“ครับ!” เมื่อถูกเรียกชื่อเต็มอย่างกะทันหัน หยางไป่ชวนยืนตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว
“เราเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า”
หยางไป่ชวน “......”
‘เพื่อนกัน’ คำที่ฟังดูใกล้ชิดออกมาจากปากของโหยวเปิ่นเฉาผู้ไม่ค่อยใส่ใจทางโลกนัก ทำให้หยางไป่ชวนรู้สึกไม่สบายใจ ในตอนนี้เองเขาถึงได้รู้สึกว่าที่แท้โหยวเปิ่นเฉามีสถานะ ‘สูงมาก’ ในหัวใจของเขา ถึงเขากับหวายจื่อจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักกัน แต่เขาจะไม่มีวันล้อเล่นเรื่องหยาบคายกับโหยวเปิ่นเฉา
หลายปีมานี้เขาแอบแข่งขันกับคนคนนี้มาตลอด ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าชื่อโหยวเปิ่นเฉานั้นมีความหมายเล็กน้อยในหัวใจของเขา
เขารู้สึกขยะแขยงกับความคิดของตัวเอง จึงรีบอ้าปากตอบ “ใช่สิ”
“แล้วนายรู้ไหมว่าฉันเรียนห้องไหน”
“......”
ประโยคนี้ทำให้เขานิ่งงันและไม่รู้จะตอบอะไร สักพักรู้สึกถึงความละอายใจ
หลังจากความเงียบที่น่าอึดอัด ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงก็ดังมาจากด้านหลังของหยางไป่ชวน "พวกนายกำลังทำอะไรน่ะ จะสู้กันเหรอ"
น้ำเสียงของเธอกลั้วหัวเราะเล็กน้อย สำหรับหยางไป่ชวนมันเหมือนเสียงจากสวรรค์ เขารีบเอาตัวออกจากความอับอายอย่างรวดเร็ว เมื่อจะหันกลับไปดูว่าเป็นใคร ทันใดนั้นก็เห็นผมหางม้าสูงเดินผ่านตรงไปยังโหยวเปิ่นเฉาโดยไม่ชายตามองเขาสักนิด
เขารู้จักผมหางม้าสูงแบบนี้ดี เพราะเขาเคยโดนมันฟาดหน้ามาแล้ว
ถึงตอนนี้มันไม่ได้ฟาดหน้าเขา แต่หยางไป่ชวนก็รู้สึกไม่ต่างกัน
เขาอยากถามเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นมากว่าเธอเป็นคนเรียกเขามาไม่ใช่เหรอ แล้วทิ้งเขาไว้ข้างๆ แบบนี้ทำไม
เขากำหมัดเล็กน้อย ขณะจะเอ่ยปากพูดก็เห็นโหยวเปิ่นเฉาเหลือบมองตัวเอง
“เธอควรอธิบายให้เขาฟังก่อนนะว่าวันนี้เที่ยงให้มาทำอะไร”
เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นหันศีรษะกลับมา พูดราวกับว่าเพิ่งเห็นหยางไป่ชวน "นายมาแล้วเหรอไป่ชวน"
“ใช่สิ” หยางไป่ชวนหัวเราะเยาะ “ฉันอยู่ที่นี่ตลอด ยังไม่ได้กินข้าวเลย”
ทันทีที่เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นได้ฟังเธอก็ทำท่าห่วงใย "ทำไมนายไม่ไปกินข้าวก่อนล่ะ"
แล้วให้เธออยู่กับเขาตามลำพังน่ะเหรอ
หยางไป่ชวนคิดในใจ ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ
เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นที่ไม่ได้ยินคำตอบก็ไม่ได้อึดอัดใจอะไร เธอกล่าวว่า "ฉันเรียกมาตอนเที่ยงวันนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับงานวันสถาปนาโรงเรียน บทละครฉันเลือกไว้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ลำดับต่อไปก็คือเลือกว่าจะแสดงบทไหน"
“แล้วเขามาที่นี่ทำไม” หยางไป่ชวนพยักพเยิด
เขาอารมณ์ไม่ดีนัก กระทั่งบนใบหน้าของเขาก็ยากจะรักษาความเป็นมิตรไว้ได้ เสียงของเขาบอกถึงความไม่สบอารมณ์
เมื่อเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกไม่ชอบใจ เธอไม่รู้ว่าคนสองคนกำลังมีเรื่องอะไรกัน แต่คิดว่าเขาน่าจะกำลังหึง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าท่าทางดื้อรั้นของหยางไป่ชวนค่อนข้างน่าเกลียด
เธอพูดทำหน้าเย็นชาใส่ทันที "เปิ่นเฉาอยู่ห้อง 6 มาที่นี่ไม่ได้เหรอ"
คราวนี้ถึงตาของหยางไป่ชวนที่ต้องแปลกใจ “...เขาอยู่ห้อง 6 หรอกเหรอ...”
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของคำถามที่โหยวเปิ่นเฉาถาม
ความโกรธที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างยากลำบากถูกเข็มเล่มเล็กๆ แทงจนแตก เขารู้สึกหมดแรงอีกครั้ง นึกไม่ออกอยู่สักพักว่าจะคุยกับโหยวเปิ่นเฉาต่อยังไงดี อยากจะขอโทษในความเลินเล่อก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่อยากเสียหน้า