รักนายครั้งที่ 3
เขาหันไปส่งชานมในมือให้เจียงซานก่อนพูดว่า “นายรอฉันก่อนนะ” ไม่รอให้เจียงซานตอบอะไร พูดจบเขาก็วิ่งไปทางโหยวเปิ่นเฉา
โหยวเปิ่นเฉาได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังที่กระชั้นเข้ามาตั้งนานแล้ว เจ้าของเสียงฝีเท้าดูเหมือนกำลังอารมณ์เสีย จึงเดินลงฝีเท้าหนักๆ ขณะเดิน ราวกับเตรียมจะตรงมาเตะเขาในวินาทีถัดมา เขาพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วฟังเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นพูดเรื่อยเจื้อยต่อไป
หยางไป่ชวนที่อยู่ข้างหลังจงใจทำเสียงดัง ใครจะไปรู้ว่าหนุ่มสาวหน้าด้านคู่นี้จะไม่หันมามอง เขาโกรธขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองน่าสมเพชอยู่หน่อยๆ จึงได้แต่เดินแซงขึ้นหน้าทักทายพวกเขาก่อน เพียงแต่ตอนที่สะกิดไหล่หาเรื่องนิดหน่อย จงใจฟาดไปที่หลังของโหยวเปิ่นเฉาเต็มแรง
ป้าบ!
ทั้งสองคนหันกลับมามอง สิ่งที่หยางไป่ชวนสนใจเป็นอันดับแรกคือคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของโหยวเปิ่นเฉา เขาจึงเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “เมิ่งอวิ๋น โหยวเปิ่นเฉา พวกนายก็มาซื้อของเหรอ”
โหยวเปิ่นเฉาไม่ตอบ เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเห็นว่าคนที่มาคือหยางไป่ชวน เธอก็ชักสีหน้าเย็นชาพูดว่า “นายก็ด้วยเหรอ”
เมื่อก่อนหยางไป่ชวนชอบความถือตัวของเจี่ยงเมิ่งอวิ๋น แต่หลังจากเห็นรอยยิ้มกระตือรือร้นที่เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นมีให้โหยวเปิ่นเฉาวันนี้ ก็รู้สึกว่าสีหน้าของเธอชวนสะอิดสะเอียน ดังนั้นเขาจึงเดาะลิ้นแล้วยิ้มพูดว่า “พวกนายมาได้ แล้วฉันมาไม่ได้หรือไง มีกฎแบบนี้บนโลกด้วยเหรอ”
แม้ตอนปกติเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นจะรำคาญหยางไป่ชวน แต่ความจริงเธอก็ชอบความรู้สึกตอนที่หยางไป่ชวนตามจีบเธอ สายตาอิจฉาตาร้อนของสาวๆ รอบตัวที่มองมา ทำให้เธอพึงพอใจ ตอนนี้เมื่อเห็นหยางไป่ชวนเสียมารยาท ยังนึกว่าเพราะตัวเองบีบเขาเกินไป เธอจึงรีบผ่อนคลายน้ำเสียงลงแล้วพูด “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ไป่ชวน วันนี้ฉันออกมาเพราะว่ามีธุระกับโหยวเปิ่นเฉานิดหน่อยน่ะ”
เธอปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประดุจนางฟ้า ด้วยเหตุนี้ความสะอิดสะเอียนของหยางไป่ชวนเมื่อครู่นี้จึงเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว และพุ่งความโกรธทั้งหมดไปที่โหยวเปิ่นเฉาที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ
เขายิ้มให้เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นและบอกว่า “ฉันมีธุระจะคุยกับโหยวเปิ่นเฉา ขอเวลาแป๊บหนึ่งนะเมิ่งอวิ๋น”
แม้ว่าเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นจะอยากรู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไร แต่เธอก็พยักหน้าให้อย่างว่าง่าย ก่อนถอยออกไปเพื่อให้พวกเขาคุยกัน
หยางไป่ชวนดินขึ้นหน้าสองก้าว แล้วใช้ข้อศอกพาดคอของโหยวเปิ่นเฉา โหยวเปิ่นเฉาที่ถูกดึงตัวลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ขมวดคิ้วถาม “นายจะทำอะไร”
หยางไป่ชวนเหลือบมองเจี่ยงเมิ่งอวิ๋น เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มองมาจึงค่อยพูดออกมาอย่างเบาใจ “โหยวเปิ่นเฉา! วันปกติฉันยอมนายได้! แต่เรื่องวันนี้ยอมไม่ได้!”
“...เรื่องอะไร”
“อย่ามาล่อลวงสาวของเพื่อน นายอยู่ให้ห่างเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นหน่อย” หยางไป่ชวนเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ไม่งั้นคราวหน้าจะให้พวกหวายจื่อประณามนาย!”
“...เจี่ยงหมิ่งอวิ๋นคือใคร”
หยางไป่ชวนตะลึง เขาชะงักก่อนพูดต่อ “หา? นายไม่รู้ว่าเจี่ยงหมิ่งอวิ๋นคือใครงั้นเหรอ ก็ผู้หญิงคนนี้ไงเล่า!”
โหยวเปิ่นเฉาฉวยโอกาสตอนที่หยางไป่ชวนกำลังตะลึงปัดมือของเขาออก ก่อนจะยืดตัวขึ้นและก้มมองหยางไป่ชวน เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่ออก ก่อนพูดขึ้น “ล้อเล่นน่ะ” เขาจัดปกชุดนักเรียกให้เข้าที่ พลางถามว่า “นายชอบเธอเหรอ”
โหยวเปิ่นเฉากระทุ้งสีข้างหยางไป่ชวน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นกำลังมองมาทางนี้ เขายิ้มให้เธออย่างเขินๆ ก่อนหันกลับมาถลึงตาใส่คนที่ทำให้เขาอับอาย
“ใช่ แล้วจะทำไม” ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้หยางไป่ชวนรู้สึกวิกฤต จึงอดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้น
“ไม่มีอะไร” โหยวเปิ่นเฉาบอก “แต่ฉันว่าเธอดูไม่ชอบนายนะ”
หยางไป่ชวนโกรธจนแทบหายใจไม่ออก “เชี่ยเอ๊ย”
“ไม่เห็นต้องหยาบคาย” โหยวเปิ่นเฉาขมวดคิ้ว แล้วเดินไปหาเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นที่ยืนรออยู่ข้างๆ “เรียบร้อยละ ไปกันเถอะ”
เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเหลือบมองหยางไป่ชวนที่อยู่ด้านหลังอย่างสงสัยแล้วถามว่า “ไม่ไปกับเขาเหรอ ฉันคิดว่านายสองคนสนิทกันเสียอีก”
“งั้นๆ ” โหยวเปิ่นเฉายิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในโรงเรียน
แม้ว่าเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นจะยังสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่เมื่อเห็นโหยวเปิ่นเฉาก้าวขาฉับๆ แบบนี้ก็รู้ว่าเขาไม่คิดจะรอเธอ เธอจึงรีบตามเขาไป
รอยยิ้มของโหยวเปิ่นเฉาเมื่อครู่นี้จางหายไป เจี่ยงหมิ่งอวิ๋นตระหนักได้ทันทีว่าน่าจะเกี่ยวกับหยางไป่ชวน ดังนั้นเธอจึงลองหยั่งเชิงดู “นายกับหยางไป่ชวนรู้จักกันด้วยเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“เธอสนิทกับเขาเหรอ” โหยวเปิ่นเฉาเลิกคิ้วถามด้วยเสียงที่ลุ่มลึก
ทว่าเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นไม่ทันสังเกตความผิดปกติในน้ำเสียงของโหยวเปิ่นเฉา จึงรีบชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ “ฉันไม่ได้สนิทกับเขา เขา...เขาชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ฉันไม่ชอบ”
เธอเอ่ยพลางดูสีหน้าของโหยวเปิ่นเฉาไปด้วย เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว เธอจึงคิดว่าโหยวเปิ่นเฉาไม่พอใจที่เธอวิพากษ์วิจารณ์หยางไป่ชวน เธอจึงรีบเสริมว่า “ฉันกับเขา เขาเป็นฝ่ายเข้าหาฉันตลอด”
ความหมายก็คือ ถึงเธอจะวิจารณ์หยางไป่ชวน แต่หยางไป่ชวนก็เต็มใจ
“งั้นเหรอ”
โหยวเปิ่นเฉาตอบรับโดยไม่ออกความเห็น และเดินต่อไปทางอาคารเรียน
ช่วงเวลาพักกลางวันในฤดูหนาวสั้นเกินไป หลังจากที่หยางไป่ชวนกับเจียงซานกลับมาถึงห้องเรียน เสียงกริ่งหมดเวลาพักเที่ยงก็ดังขึ้นแล้ว เขาวางชานมลงบนโต๊ะอย่างแรง และเอ่ยอย่างไม่มีกะจิตกะใจว่า “นายเอาไปกินเถอะ”
“ฉันดื่มชานมถั่วแดงที่ไหนเล่า บำรุงเลือดหรือไง” เจียงซานกลอกตาและนั่งลง
“ไม่กินก็โยนทิ้งไป” หยางไป่ชวนบอก “ขนมฉันล่ะ”
เจียงซานชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหันขวับมองเขา “ขนม? ขนมอะไร”
“ฉันฝากนายซื้อขนมมาให้ฉันด้วยไม่ใช่เหรอ” หยางไป่ชวนเห็นท่าทางเขาไม่เหมือนแสร้งทำจึงร้อนใจ “แม่งเอ๊ย นายโง่หรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่านะหยางไป่ชวน นายบอกตอนไหน”
“เอาเถอะ ช่างมัน” หยางไป่ชวนคว้าชานมที่เขาเพิ่งวางบนโต๊ะของเจียงซานขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง หยิบหลอดออกมาแล้วเริ่มดื่ม ชานมถูกทิ้งไว้นานเกินไปจนหายร้อน รสชาติถั่วแดงก็เลี่ยนหน่อยๆ
ทั้งหมดเป็นความผิดของโหยวเปิ่นเฉา
หยางไป่ชวนออกแรงกัดหลอดราวกับว่ามันเป็นคอของโหยวเปิ่นเฉา ขาดในทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ชานมเพียงแก้วเดียวทำให้เขาอิ่มไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังโต ระหว่างคาบเรียนแรกในช่วงบ่ายท้องเขาก็เริ่มร้อง ครูสอนภาษาจีนที่อยู่หน้าชั้นกำลังอ่าน “โคลงฝันถึงการเดินทางสู่เทียนหมู่” ของหลี่ไป๋ เขากำลังอ่านโคลง ท้องของหยางไป่ชวนก็ส่งเสียงร้อง
“เอกเขนกเอนกาย สงบดั่งผู้ทรงอิทธิพล”
“โครกกกกกก”
ตอนหลังเจียงซานพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงพูดเสียงเบา “ทนอีกนิดนะ ไว้หมดคาบค่อยไปหาอะไรกิน”
“โอเค” หยางไป่ชวนเอ่ยอย่างอ่อนโรย
ทันทีที่ออดหมดชั่วโมงเรียนดังขึ้น ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นและเตรียมจะวิ่งลงไปชั้นล่าง ใครจะไปนึกว่าอยู่ๆ เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งจะลุกขึ้นแล้วตะโกนว่า “เงียบหน่อยทุกคน! ฉันมีอะไรจะบอก!"
หยางไป่ชวนคิดในใจ จะมีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของเขา ตอนแรกเขาไม่คิดจะสนใจและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเดินออกไปข้างนอก ใครจะไปคิดว่านักเรียนหญิงคนนั้นจะพุ่งเป้ามาที่เขาในประโยคถัดไป “หยางไป่ชวน นายจะทำอะไรน่ะ ฟังฉันพูดให้จบก่อน”
หยางไป่ชวนโมโห กำลังจะหันกลับไปพูดอะไรหน่อย แต่พอหันกลับไป เขาก็พบว่าตัวเองโมโหไม่ออก
เธอคือเจี่ยงเมิ่งอวิ๋น