รักนายครั้งที่ 2
ฤดูหนาวของทางใต้นั้นก็หนาวเหมือนกัน เดินอยู่ตามถนนก็มีลมปะทะใบหน้าราวกับคมมีด หยางไป่ชวนไม่สนภาพลักษณ์ เขาเดินห่อตัวตรงไปข้างหน้า พอถึงห้องเรียนก็รู้สึกเหมือนตัวเองเหลือพลังงานเพียงครึ่งเดียว ทักทายทุกคนที่อยู่รอบๆ อย่างอ่อนแรง แล้วฟุบหน้ากับที่นั่งแกล้งตาย
หลังจากสะลึมสะลือตลอดช่วงเช้า พอเสียงกระดิ่งหมดเวลาดังขึ้น หยางไป่ชวนก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที สะกิดเพื่อนร่วมโต๊ะและพูดเร่งเขา “เร็วเข้า รีบเลย ถ้าช้าเดี๋ยวซื้อไม่ทันพอดี"
“เออๆๆ” เจียงซานใส่หนังสือเรียนเข้าลิ้นชัก แล้วลุกขึ้นเดินตามหยางไป่ชวนไป
หยางไป่ชวนยังรู้สึกว่าเจียงซานยืดยาด หันกลับมาเร่งเขา "ชานมร้านนี้เพิ่งเปิด คนต้องเยอะแน่ เร็วเข้า!"
“เออๆๆ” เจียงซานเร่งฝีเท้าตามเขา “ไม่รู้เลยว่านายเอาใจยากหรือว่าฉันเอาใจยากกันแน่”
หยางไป่ชวนคิดแต่เรื่องซื้อชานมร้อนๆ ไปฝากเทพธิดาของเขาสักแก้ว จึงฉุดแขนเสื้อของเพื่อนแล้วรีบวิ่ง ลมหนาวทางตอนใต้ทักทายใบหน้าของเขาเหมือนคมมีดที่กรีดใบหน้าจนรู้สึกเจ็บ เขาเริ่มรู้สึกว่าหูของตัวเองก็เริ่มบวมแล้วเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ทำได้แค่ก้มหน้าและรีบวิ่ง
เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเป็นดาวในชั้นเรียนของพวกเขา ครอบครัวฐานะดี มีผลการเรียนยอดเยี่ยม ว่ากันว่าเธอเรียนบัลเล่ต์มาหลายปี ทั้งตัวเธอมีออร่าสูงส่งที่ไม่กล้ามีใครล่วงเกิน เทอมที่แล้วหยางไป่ชวนตามจีบเธออยู่ทั้งเทอม นักเรียนทั้งรุ่นต่างรู้กันหมด แต่เจ้าตัวก็ยังคงเฉยเมยต่อเขา
หยางไป่ชวนไม่เชื่อว่าเขาจะจีบไม่ติด ยิ่งแสดงออกว่าชอบมากขึ้นไปอีก
เมื่อไปถึงร้านชานม ในร้านแน่นไปด้วยคน ชุดนักเรียนสีน้ำเงินขาวเบียดเสียดกันแน่น เจียงซานเห็นภาพแบบนี้เข้าก็ตกใจมาก “แม่ง ไม่จริงน่า คนเยอะขนาดนี้ ชวนชวนเชื่อฉัน เรากลับกันเถอะ”
“กลับกะผีนะสิ อย่าเรียกฉันด้วยชื่อน่าขนลุกแบบนั้นนะ” หยางไป่ชวนเองก็ตกใจกับปริมาณคนเหมือนกัน แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและพูดว่า “นายรอฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันมา”
“เอาจริงเหรอ เพื่อผู้หญิงคนเดียว ถึงกับต้อง...”
ก่อนที่เขาจะพูดคำว่า "สู้ตาย" จบ ตรงหน้าเขาก็เหลือเพียงเงาด้านหลังของคนในชุดนักเรียนสีขาวน้ำเงิน
เจ้าของแผ่นหลังที่ดูคล่องแคล่วสามารถแทรกตัวเข้าไปตามช่องว่างของฝูงชนได้อย่างง่ายดาย ในชั่วพริบตาเขาก็ทิ้งห่างจากเจียงซาน เจียงซานได้แต่ยืนอึ้งก่อนจะรีบตามไป "รอฉันด้วยสิ!"
เขาเบียดสุดแรงเกิดอยู่สักพัก แต่พบว่าตัวเองยังอยู่ที่รอบนอกสุดของกลุ่มคน พอชะโงกดูอีกครั้งก็เห็นท้ายทอยที่คุ้นเคยนั่นไปถึงด้านในสุดของฝูงชนแล้ว "......"
หยางไป่ชวนไหลไปตามกลุ่มคนอยู่สักพัก อาศัยช่องว่างแทรกจนใกล้จะไปถึงด้านในสุด เขาจัดว่าเป็นคนตัวสูง ในเวลานี้เขายิ่งดูโดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน ขณะกำลังจะอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องความสูงเพื่อสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน แต่จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็มาบังสายตาของเขา เขาถลึงตาใส่ท้ายทอยอย่างไม่สบอารมณ์ ได้แต่รออยู่พักใหญ่กว่าจะมายืนข้างชายผู้นี้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนข้างๆ นี้ด้วยความสงสัย เห็นเพียงสันจมูกที่โด่งและคางที่กลมมน ทว่าเพียงแค่สองสิ่งนี้ เขาก็จำคนคนนี้ได้ทันที
เวร ซวยชะมัด
เขาบ่นอยู่ในใจสองสามคำ แอบด่าอยู่เงียบๆ ว่าวันนี้ช่างเป็นวันอับโชคที่มาเจอโหยวเปิ่นเฉาที่นี่
หยางไป่ชวนอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจแอบกลอกตาเงียบๆ และไม่กล่าวทักทายโหยวเปิ่นเฉา ในใจคิดว่าเขาจะต้องอดทนเพื่อชาแก้วนี้ที่จะส่งผลต่อความสุขชั่วชีวิตของเขา จึงเบนหน้าแล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็น ใครจะรู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอย ในตอนที่พนักงานตะโกนว่าใครคิวต่อไป เขากับคนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า "ฉัน"
พนักงานชะงักก่อนจะยิ้มเขินๆ ถามว่า "รูปหล่อทั้งสองคน ตกลงใครมาก่อนคะ"
หยางไป่ชวนแอบก่นด่าในใจอีกครั้ง และฝืนยิ้มสุดกำลัง แสร้งทำเป็นประหลาดใจพูดขึ้น “นายเองเหรอ เปิ่นเฉา! มาด้วยเหรอ นายไม่ได้เกลียดที่ที่คนเยอะเหรอไง”
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อหมัดฮุคที่ปล่อยออกไปนั้นดูเหมือนจะกระทบกับฝ้ายนิ่มๆ โหยวเปิ่นเฉาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แค่ “อืม"
ท่าทางที่เย็นชานั่นทำเอารอยยิ้มหยางไป่ชวนแทบจะบิดเบี้ยว
หากเปรียบความสัมพันธ์ของเขากับโหยวเปิ่นเฉาแล้ว พวกเขาก็เหมือนขงเบ้งกับจูล่ง หมากับแมว และน้ำกับไฟ
แต่สองคนนี้ดันเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาสิบกว่าปีเสียนี่
แม้ว่าหยางไป่ชวนจะไม่ชอบโหยวเปิ่นเฉาตั้งแต่แรกเห็น เขารู้สึกว่าใบหน้าที่บูดบึ้งของคนคนนี้ดูเสแสร้งมาก แค่เห็นก็ไม่สบอารมณ์ แต่ทั้งสองคนอยู่ชุมชนเดียวกัน มีเพื่อนร่วมกันมากเกินไป ทุกคนอยู่ละแวกเดียวกัน จะแตกหักกันคงไม่ดี แต่มันก็แค่นั้นแหละ ถ้าเปลี่ยนเป็นที่อื่น อย่างน้อยก็ยังหลบหน้ากันได้ แต่ที่เล็กๆ แบบนี้มีโรงเรียนแค่ไม่กี่แห่ง ไม่มีที่ให้หลบได้เลย ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาสองคนจึงเห็นหน้ากันมาตลอดจนถึงชั้นมัธยมปลาย
สมัยนี้ก็คงเรียกได้ว่าทั้งสองคนเป็น “พี่น้องพลาสติก” สมชื่อ ถึงแม้จะจอมปลอมแต่ก็ไม่สูญสลายแน่นอน
หยางไป่ชวนไม่คิดจะทำลายมิตรภาพจอมปลอมนี้ แม้ว่าในใจจะโกรธจนทนไม่ไหว แต่เขาก็ยังฉีกยิ้มพูดกับพนักงานว่า "ให้เขาก่อนเลย ไม่เป็นไร”
เขาคิดไม่ถึงว่าโหยวเปิ่นเฉาจะไม่ปฏิเสธ จ่ายเงินแล้วก็ไป ไม่แม้แต่จะขอบคุณ เขาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจึงโกรธแทบตายอีกครั้ง จึงยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่านายคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นดาวอริกับเขา วันนี้เจอโหยวเปิ่นเฉาก็เป็นการบอกตัวเองว่าฤกษ์ไม่ดีไม่ควรออกจากบ้าน
หลังจากซื้อชานมเสร็จออกมาจากร้าน เจียงซานก็กินขนมรอเขาอยู่ข้างนอก พอเห็นเขาออกมาจึงรีบไปลากเขากลับ หยางไป่ชวนกำลังจะสวมหมวก ตาก็เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นเคย
ที่ทำให้เขาแปลกใจคือข้างคนคนนั้นดันมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ด้วย เด็กสาวดูเหมือนจงใจเดินใกล้โหยวเปิ่นเฉา ใกล้จนตัวจะติดกับเขาอยู่แล้ว หยางไป่ชวนเห็นไม่ชัดว่าโหยวเปิ่นเฉามีสีหน้ายังไง แต่เห็นว่าเขาส่งชานมในมือให้ผู้หญิงคนนั้น
เจียงซานยังเร่งเขาอยู่ บอกว่ากระดิ่งพักกลางวันใกล้จะดังแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เขาจึงเดินช้าลงเพื่อจะดูว่าทั้งสองหน้าตาเป็นอย่างไร หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาอยากรู้นักว่านักพรตที่ใจแข็งเป็นหินนั้นมอบดอกไม้ให้สาวงามคนไหน
แต่พอเห็นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
หยางไป่ชวนรู้สึกเพียงว่าสิบหกปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่เขารู้สึกพ่ายแพ้หมดรูปเหมือนวันนี้ เขายืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวพร้อมกับชานมสองแก้วในมือราวกับสุนัขที่ถูกเจ้าของทิ้ง
แต่เจียงซานดันเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ ใช้ศอกกระทุ้งเขาแล้วพูด “นั่นไม่ใช่เทพธิดาของนายหรอกเหรอ”
หยางไป่ชวนอ้าปากค้าง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ปิดปากลงได้ ก่อนจะสบถออกมาว่า "ไอ้เวร"
ชื่อส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยคุ้นเท่าไร บางชื่อหยางไป่ชวนคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร จนกระทั่งเขาเลื่อนลงมาดู และต้องแปลกใจที่เห็นชื่อนี้
โหยวเปิ่นเฉา
วินาทีนี้ ทองคำเปลวที่ปิดทับกาลเวลาทยอยหลุดร่อนออก เผยให้เห็นสีดำดั้งเดิมด้านใน หยางไป่ชวนเห็นหน้าตาอันน่าเกลียดของตัวเอง แต่เขาไม่แคร์ เขาสวมเสื้อยืดสีขาวธรรมดา เหยียบแผ่นสีทองที่กระจัดกระจายทะลุผ่านความมืด และมองเห็นคนที่เป็นเจ้าของชื่อนี้
นั่นคือคนที่เคยเรียกชื่อเขาจากด้านหลัง
คนคนนั้นเรียกเขาเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม "หยางไป่ชวน"
เขากำลังก้าวเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เดินเข้าไป ก็พบว่าคนคนนี้ค่อยๆ บิดเบี้ยวอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นพื้นที่ก็หมุน ทุกอย่างหายวับไป เขากลับมาอยู่ที่เดิม นั่งอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า ตรงหน้ายังเป็นหน้าข้อความสนทนาบ้าๆ นี่
โหยวเปิ่นเฉา : กลับมาแล้วเหรอ”
หยางไป่ชวนพิมพ์ข้อความหนึ่งประโยค รู้สึกว่ามันดูสนิทสนมเกินไปจึงลบออก แล้วพิมพ์ประโยคใหม่แทน แต่ก็รู้สึกว่าห่างเหินไป
เขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักใหญ่ก่อนจะพิมพ์ไปว่า : ทำไมนายเปลี่ยนรูปโปรไฟล์แล้วล่ะ
ประโยค “กำลังพิมพ์” ของอีกฝ่ายกะพริบอยู่นาน นานจนหยางไป่ชวนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ถึงจะมีข้อความตอบกลับมา : นายอยากถามเรื่องนี้เนี่ยนะ
หยางไป่ชวนยิ้มมุมปาก พิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว : นายพิมพ์อยู่ตั้งนานเพื่อประโยคนี้เนี่ยนะ
ครั้งนี้โหยวเปิ่นเฉาตอบเร็วด้วยเหมือนกัน : นายก็ด้วยไม่ใช่เหรอ
สองประโยคนี้ขจัดความห่างเหินของพวกเขาทิ้งอย่างรวดเร็ว หยางไป่ชวนแชทกับโหยวเปิ่นเฉาอยู่แบบนี้สักพัก ตอนที่เขาเพิ่งจะไปต่างประเทศ เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้คุยกับโหยวเปิ่นเฉาอย่างสงบสุขแบบนี้ แต่ความจริงก็ไม่น่าเหลือเชื่อแบบนี้นั่นแหละ
ในตอนท้ายเขาก็ถามอีก : ทำไมนายเปลี่ยนรูปโปรไฟล์
ครั้งนี้โหยวเปิ่นเฉาถือว่าตอบไม่เร็วนัก ด้านบนของแชทระบุว่าคู่สนทนากำลังพิมพ์อยู่
ผ่านไปนานถึงได้ตอบเขากลับไปหนึ่งประโยค : รูปเดิมใช้นานไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนน่ะ
รูปโปรไฟล์เดิมของเขาเป็นรูปถ่ายด้านหลังของหยางไป่ชวน หลังไปต่างประเทศแล้วหยางไป่ชวนถึงได้รู้สึกตัว รูปถ่ายด้านหลังนี้ไม่ใช่แผ่นหลังของพ่อที่จากไป แต่เป็นแผ่นหลังของคนที่เขาแอบรัก
รูปโปรไฟล์นี้เป็นเพราะตอนนั้นโหยวเปิ่นเฉาพนันกับเขา ถ้าใครแพ้จะต้องใช้รูปของอีกฝ่ายเป็นรูปโปรไฟล์หนึ่งเดือน เขากับโหยวเปิ่นเฉาเล่นแบบนี้กันมาหลายปี และเป็นเขาที่ชนะทุกครั้ง มีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวที่เขาแพ้เดิมพัน เขาจึงต้องเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ด้วยความเศร้าใจ ใครจะไปรู้ว่าผู้ชนะอย่างโหยวเปิ่นเฉาจะเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นเพื่อนเขา
เมื่อครบหนึ่งเดือน เขารีบเปลี่ยนรูปโปรไฟล์กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่โหยวเปิ่นเฉาก็ไม่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ พอถามเหตุผลก็บอกว่าขี้เกียจเปลี่ยน ความเกียจคร้านนี้ยืดยาวมาถึงห้าปี
เขากำลังจะปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อพักผ่อน ก็เห็นโหยวเปิ่นเฉาส่งข้อความใหม่มา : อีกสองสามวันจะมีงานรวมรุ่น นายจะมาไหม ทุกคนอยากเจอนาย
หยางไป่ชวนนอนพิมพ์ข้อความอย่างช้าๆ : นายไม่อยากเจอฉันเหรอ
อีกฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หยางไป่ชวนรออยู่นาน พอหน้าจอโทรศัพท์มืดลง เขาก็แตะให้มันสว่าง สว่างแล้วมืด มืดแล้วสว่าง เขาที่เซ็งมากถึงขั้นจ้อง “แสดงแค่โพสต์ในช่วงสามวันที่ผ่านมา” ในวีแชทของโหยวเปิ่นเฉาอยู่ครึ่งชั่วโมง จนเผลอหลับไป เขาก็ยังไม่ได้รับข้อความ
เขานอนหลับไม่สบายนัก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งไทม์แมชชีน หลังจากผ่านช่วงเวลาประหลาดนั้น เขาก็มาถึงตอนที่เขาพบกับโหยวเปิ่นเฉาเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขายังคงสวมชุดนักเรียนสีน้ำเงินและขาว ผมหน้าม้าเรียบตรงนั้นก็ดูงี่เง่ามาก เขาฝันว่าโหยวเปิ่นเฉาเรียกเขาให้ไปโรงเรียน ทั้งสองขี่จักรยานมุ่งหน้าไปโรงเรียนอย่างไม่คิดชีวิต
ความฝันนี้เหมือนจริงมากแต่ก็ห่างไกลเกินไป เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นอยู่
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ยังไม่ทันปลดล็อกก็เห็นข้อความแจ้งเตือน
โหยวเปิ่นเฉา : ฉันก็อยากเจอนาย
เขามองข้อความนั้นอยู่นาน จึงปลดล็อกโทรศัพท์อย่างระมัดระวังราวกับกำลังแกะของขวัญอยู่ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า : งั้นฉันไป บอกเวลากับสถานที่มาด้วยก็แล้วกัน
เขายังคงนึกถึงใบหน้าของโหยวเปิ่นเฉาในความฝัน เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล สุดท้ายก็ลอยขึ้นไปราวกับเมฆบนฟ้าไกล
ความคิดของหยางไป่ชวนหวนกลับไปยังฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อน ในวันที่สิบของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ เขารู้สึกหม่นหมองที่ต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนชดเชย เขาแต่งตัวแน่นหนาก่อนออกไปข้างนอก ตอนที่ล้างหน้า เขามองไปนอกหน้าต่าง บนท้องฟ้ามีดาวสองสามดวงประดับอยู่ ยังมืดอยู่เลย เขาแอบสาปแช่งความโหดร้ายของโรงเรียนอยู่ในใจ แล้วเดินตัวสั่นออกจากประตูไป