๕ เป็นเพียงเงา (๒)
“ค่ะ”
อาชาไนยจ้องหน้าหล่อนนิ่งเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร คิ้วหนาขมวดเป็นปมไม่ใคร่ชอบใจกับท่าทีของสองหนุ่มสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่าไหร่ ทว่าหากพูดออกไปก็อาจทำให้หล่อนคิดเข้าข้างตัวเอง
ร่างหนาเดินลงมาข้างล่างโดยมีภรรยาตามอยู่ห่างๆ ผ่านห้องอาหารที่ลูกพี่ลูกน้องนั่งรับประทานอาหาร ก่อนปวัตรจะเงยหน้ามองคนอายุมากกว่า พลางเอ่ยชวนตามมารยาท
“พี่ช้างกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหมครับ”
“ไม่ล่ะ เชิญนายตามสบาย” ตอบเสียงเรียบแล้วออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ปาลิตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หย่อนกายลงเก้าอี้ตัวนุ่มที่อยู่เยื้องกับแขกรูปหล่อ ดวงหน้าหวานเศร้าสร้อยเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอกกับเขา
งานสำคัญที่ควรมีคนข้างกาย แต่สามีกลับเลือกไปคนเดียว ราวกับว่าไม่ต้องการแนะนำหล่อนให้คนอื่นรู้จัก
“เขากลับมาทำไม”
“มาเปลี่ยนชุดน่ะ กินข้าวกันเถอะไม่มีอะไรแล้วล่ะ” อาหารของหญิงสาวถูกนำมาเสิร์ฟพอดี เธอจึงพยายามชวนเพื่อนสนิทคุยเรื่องอื่นเพื่อทำให้ลืมความเศร้าได้บ้าง
แต่เมื่ออยู่คนเดียว...หล่อนก็อดน้อยใจไม่ได้
ทั้งที่เคยทำใจไว้แล้วว่าอาจต้องเจ็บจากรัก ทว่าพอเจอของจริงความเจ็บกลับทบทวีคูณจนเธอเองก็ไม่รู้ว่าวันไหน หัวใจดวงนี้จะแตกสลาย
ปังๆๆๆ
เสียงเคาะประตูที่เรียกว่าทุบน่าจะเหมาะกว่าดังขึ้นหน้าห้อง ปลุกให้หญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงนิทราต้องงัวเงียลุกนั่งบนเตียงกว้าง เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างหัวเตียง เหลือบดูเวลาที่แสดงบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอล พบว่าตอนนี้ก้าวเข้าสู่วันใหม่แล้ว
“เปิด เปิดประตู” นอกจากทุบยังไม่พอ คนข้างนอกยังพยายามเปิดลูกบิดประตูที่ลงกลอนเอาไว้ จนหล่อนต้องรีบหยิบเสื้อคลุมที่วางไว้ข้างเตียงมาสวมอย่างรวดเร็ว ปิดปากหาวเพราะเพิ่งนอนไปไม่นานเนื่องจากนั่งรอสามีกว่าค่อนคืน
คิดว่าเขาจะไม่กลับบ้านแล้วเสียอีก...
ปลดล็อคประตูเพื่อเปิดให้คนข้างนอกได้เข้ามา และเพียงแค่เห็นดวงหน้าคมก็ต้องย่นจมูกเพราะได้กลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงมาจากเขา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปดื่มหรืออาบกันแน่ พอหมายจะเข้าไปประคองพร้อมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่มือหนากลับคว้ากรอบหน้าหวานให้แหงนขึ้นเพื่อรับจุมพิต
“พี่ช้าง...ทำไมกลับดึก อื้อ” คนไม่ทันตั้งตัวถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนโดนดันให้เข้ามาในห้องนอนใหญ่ มือหนาผลักประตูห้องปิดลงเสียงดัง ชิมความหวานจากปากอวบอิ่มอย่างกระหายราวกับว่าหล่อนคือน้ำทิพย์ สามารถช่วยให้คนหิวโหยได้อิ่มท้อง
มือหนาปัดป่านเสื้อคลุมแล้วดึงออกจากกายแบบบางในเวลาต่อมา ชุดนอนสายเดี่ยวผ้าลื่นของหล่อนก็หลุดออกเช่นเดียวกัน เผยเรือนร่างอวบอัดที่ซ่อนรูปใต้ร่มผ้า ให้คนที่เมามายได้เชยชมสมใจอยาก
กลิ่นขมปร่ากระจายไปทั่วโพรงปากอุ่น เมื่อเขาผละออกเธอจึงได้โกยอากาศเข้าปอดบ้าง ก่อนที่ลำคอระหงจะส่งเสียงครางแผ่วยามลิ้นสากตวัดเลียยอดถันจนมันตั้งชูชันแข็งเป็นไต มือเรียวยกขึ้นวางที่กลุ่มผมสั่นพลางขย้ำตามแรงอารมณ์
แต่แล้วชื่อที่เขาเรียกหล่อนกลับดึงให้ปาลิตากลับมาอยู่กับความเป็นจริง ที่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเห็นหล่อนอยู่ในสายตาสักครั้ง
“ป่าน ป่านของพี่” ดวงตาคมแวววาวราวตกอยู่ในภวังค์ยามที่ได้จ้องมองดวงหน้าหวาน ซึ่งเหมือนแฟนเก่าของตนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพ้อละเมอถึงรักครั้งเก่าที่ยังไม่เจอจางและไม่อาจให้หล่อนหายไปได้ เขากลัวว่าวันหนึ่งอาจจะลืมเลือนรักของเรา
จึงพยายามตอกย้ำการมีอยู่ของปาลิน...ทั้งที่หล่อนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“ไม่...” ก่อนที่ปาลิตาจะปฏิเสธ เขาเลือกปิดปากของหล่อนเอาไว้ด้วยจูบซาบซ่าน ที่ทำให้คนตัวเล็กลืมเรื่องทุกอย่างเสียสนิท หลงมัวเมาในความปรารถนาอันดำดิ่ง ก้าวเท้าไปที่เตียงกว้างแล้วเอนกายลงนอนโดยมีร่างหนาทาบทับ
หน้าที่ของภรรยาที่พึงปฏิบัติกับสามี วันนี้หล่อนได้ทำมันแล้ว ถึงจะต้องเป็นตัวแทนของใครอีกคนก็ตาม
“พี่ช้าง” มือบางลูบไล้แผ่นหลังกว้าง ส่งเสียงครางลั่นยามที่ถูกสอดใส่อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้เตรียมตัว ร่างกายโยกไปตามแรงที่ใส่ไม่ยั้งจนหัวสั่นคลอน ไม่มีครั้งไหนที่ชายหนุ่มจะมอบความอ่อนโยนให้หล่อน
อย่างที่เขาเคยบอกเอาไว้ เธอก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่ที่ไม่ต้องทะนุถนอม เพียงแค่มีไว้ใช้คลายความต้องการก็พอ...
ตักตวงจากเรือนร่างงดงามจนพอใจ คนเมาที่เริ่มสร่างก็ลุกมาสวมเสื้อผ้าที่วางเกลื่อนพื้น โดยมีภรรยากอดผ้าห่มเพื่อคลุมกายเอาไว้ มองตามแผ่นหลังหนาด้วยหัวใจรวดร้าว หยัดกายลุกนั่งบนเตียงพลางถามเขาด้วยความชอกช้ำ
“มีสักครั้งไหมคะ ที่พี่จะเห็นไหมเป็นไหมไม่ใช่พี่ป่าน” คิดว่านานไปเขาอาจจะยอมรับในตัวเธอได้ ทว่ากว่าสองสัปดาห์ที่อยู่ในสถานะคู่นอน ไม่ได้ทำให้อาชาไนยอ่อนโยนกับหล่อนสักนิด ความเย็นชายังคงที่เขามีต่อเธอยังคงเหมือนเดิม
จนตอนนี้เริ่มท้อเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนจะได้เป็นคนสำคัญสักที
“เธอคือเธอ ป่านก็คือป่าน ฉันไม่เคยมองพวกเธอสองคนสลับกัน ยกเว้น...ตอนที่ฉันเมา” ย้ำชัดแล้วเหลียวมามองปาลิตาที่นั่งน้ำตาคลออยู่บนเตียง เขาไม่คิดเหมือนกันว่าเรื่องของเราจะมาลงเอยแบบนี้ได้ เพราะตนพยายามอยู่ห่างจากหญิงสาวให้มากที่สุด
ทว่าพอได้ลองครั้งแรกก็ทำให้มีครั้งต่อมา โดยอาชาไนยก็พยายามคิดว่าคนที่อยู่ใต้ร่างไม่ใช่ปาลิตา แต่เป็นแฟนเก่าที่จากไปแล้ว เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดกับปาลิน และยังเป็นการข่มความรู้สึกของตัวเอง ไม่ให้รักหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา
“พี่เลยต้องดื่มทุกครั้ง ที่นอนกับไหมเหรอ” เงียบสนิทเมื่อถูกจับได้
เมื่อเขารู้สึกว่าต้องการปาลิตาก็มักดื่มเหล้าเพื่อจะได้เมา แล้วไม่ต้องคิดกับหญิงสาวไปมากกว่าการหลับนอน ไม่ควรมีอารมณ์อย่างอื่นปะปน
“พี่ช้างจะไปไหน” เท้าหนักเลือกเดินไปทางประตูโดยไม่พูดอะไร ทว่าร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียงรีบถลาเข้ามาหา พลางจับข้อมือหนาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยชายหนุ่มไปไหน จนเขาต้องปลดมือของเธอออก เบือนหน้าหลบร่างกายเปลือยเปล่าแสนงดงาม
“ฉันจะกลับห้อง”
“อยู่กับไหม...นะคะ” ขอร้องอย่างหมดท่า กอดชายหนุ่มจากด้านหลังด้วยร่างกายที่ไม่มีอาภรณ์สวมทับสักชิ้น ขอเพียงแค่ได้นอนกอดเขาในฐานะภรรยาสักคืน ให้ได้มีฝันที่แสนหวานร่วมกันถึงมันจะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม
“ฉันบอกแล้วไงว่าเรื่องของเรามันก็แค่เซ็กส์ ฉันไม่คิดจะนอนกับเธอ เสร็จธุระก็แยกย้าย” ถอนหายใจพลางอธิบายกับหล่อน แต่ดูเหมือนว่าปาลิตาจะไม่ยอมรับในคำพูดนั้นของสามี เลือกรัดอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม
“ไหมไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว” ท้วงติงเสียงสั่น คำพูดของเขาทำราวกับว่าเธอไม่ใช่ภรรยา และกำลังตีค่าว่าหล่อนเป็นหญิงขายบริการที่ใช้บำบัดความใคร่เพียงอย่างเดียว
“ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าเธอใช่ เพราะฉันก็ไม่ได้ให้เงินเธอสักบาทเหมือนกัน” ปลดมือเรียวที่กอดรอบเอวในทันทีแล้วเดินไปเปิดประตูก่อนปิดเสียงดัง ไม่แยแสหญิงสาวที่ทำได้เพียงมองตามสามี ค่อยทรุดลงกอดเข่าร้องไห้บนพื้นด้วยความสมเพชตัวเอง
ยอมหมดทุกอย่าง...แต่สุดท้ายคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
บรรยากาศยามค่ำชวนใจวูบโหวง หล่อนไม่ชอบช่วงเวลานี้สักนิดเพราะสายตาเอาแต่ชะเง้อไปทางประตูบานใหญ่หวังให้มีรถแล่นเข้ามาจอดหน้ามุข คาดหวังในแต่ละวันให้สามีของตนกลับมารับประทานอาหารที่บ้าน พูดคุยหัวเราะและสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน
แต่หล่อนคงลืมไปว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นไปเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่เกิดจากความรักของคนทั้งสอง แม้จะเป็นเธอที่มีใจเสน่หาต่อเขา ทว่ามันก็เป็นเพียงรักข้างเดียว
ดวงหน้าหวานเรียบนิ่งขณะที่สายตาพยายามจดจ้องกับการทำถักกระเป๋า เปิดเพลงสากลคลอไปด้วยเพื่อไม่ให้เงียบเหงาเกินไป
“คุณไหมไม่ทำอาหารไว้รอคุณช้างเหรอคะ” ทุกวันคุณผู้หญิงของบ้านมักจะเข้าครัวเพื่อทำอาหารคอยสามี น่าเสียดายที่อาชาไนยไม่เคยแตะเลยสักครั้ง จนต้องแจกจ่ายให้บรรดาแม่บ้านหรือนำไปทิ้งเพื่อทำเป็นปุ๋ย
กลายเป็นเธอเองที่เริ่มถอดใจ แล้วยอมรับกับความจริง...
แต่ลึกในใจก็แอบหวังให้อาชาไนยกลับบ้าน จึงได้เลือกนั่งทำงานอยู่ห้องรับแขกซึ่งสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
“เขากินมาจากข้างนอกแล้วล่ะค่ะ ไหมไม่อยากทำแล้วต้องเททิ้งเสียดายอาหาร...พรุ่งนี้ว่างไหมคะเราไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กกำพร้าดีกว่า ไหมเห็น...” แว่วเสียงเครื่องยนต์จอดลงหน้าบ้าน หัวใจของหล่อนเต้นรัวพยายามทำเป็นไม่สนใจ หันมาคุยกับแม่บ้านถึงจะได้ยินเสียงเท้าหนักเข้ามาในห้องรับแขกก็ไม่เหลียวมองสักนิด
ยังคงน้อยใจกับคำพูดของอาชาไนยเมื่อคืน ไม่อยากกระทั่งจะมองใบหน้าคมเสียด้วยซ้ำ คิดจะเมินเขาดูสักครั้ง ชายหนุ่มจะได้รู้สึกบ้างว่าการเป็นอากาศธาตุในสายตาคนอื่น มันเจ็บปวดมากแค่ไหน
“พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า” ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหล่อน พูดแทรกขณะที่ปาลิตากำลังคุยกับแม่บ้าน จนอีกฝ่ายต้องเดินเลี่ยงเพื่อให้สามีภรรยาได้พูดคุยแบบส่วนตัว นานทีปีหนจะเห็นคุณผู้ชายเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง ปกติมักมีแต่ร่างบางที่วิ่งตามตลอด
“ไม่ว่างค่ะ” ตอบเสียงเรียบไม่ได้เงยหน้ามองเขา จดจ้องกับสิ่งของในมือแม้จะไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อกับงานเพราะคอยแต่ชำเลืองมองคนตัวสูงก็ตาม
ใจหนึ่งก็ยังคงงอน อีกใจก็อยากคุย ทั้งยังกลัวชายหนุ่มจะเดินหนี หล่อนตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเมินอาชาไนยต่อไปดีไหม...
“ดี ฉันจะได้ให้คนอื่นไปแทน”
จนกระทั่งเขาตอบอย่างไร้เยื่อใยและกำลังจะก้าวออกจากห้องรับแขก มือบางไปไวกว่าสมองสั่งเสียด้วยซ้ำ เธอคว้าแขนหนาเอาไว้พลางทิ้งของทุกอย่างในมือยังพื้นที่ว่างบนโซฟา คำพูดของอีกฝ่ายคล้ายต้องการจะชวนออกไปข้างนอก
ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสักครั้ง!
ฉะนั้นหล่อนจะพลาดโอกาสที่ดีแบบนี้ไม่ได้ หญิงสาวจึงเลือกปัดทิ้งความน้อยใจทุกอย่างทิ้ง ร้องถามเสียงดังพลางจ้องดวงตาคมที่มองเธอเช่นเดียวกัน คาดหวังกับคำตอบของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ไปไหนคะ!”
“งานแต่งเพื่อนฉัน” ปากอวบอิ่มแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมยกมืออีกข้างมากุมแขนหนาเอาไว้ด้วยความดีใจ โดยที่ร่างสูงก็ไม่ได้ปัดมือหล่อนทิ้งแต่อย่างใด เขาเผลอมองรอยยิ้มงดงามนั้น
แทบละสายตาไม่ได้ จนต้องกระแอมเป็นการเตือนตัวเอง
“ไปค่ะ ไหมไปด้วยนะคะ” ตื่นเต้นที่จะได้ออกงานกับสามีครั้งแรก ทั้งยังเป็นงานแต่งของเพื่อนเขาอีกต่างหาก นั่นหมายความว่าชายหนุ่มเริ่มเปิดรับเธอเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายแล้วใช่หรือเปล่า เพียงแค่คิดก็หุบยิ้มไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีตอนที่เขาปลดมือหล่อนออก
“ตอนเย็นจะให้คนมารับ” นัดแนะเสร็จสรรพจึงหันหลังเตรียมเดินออกจากห้องรับแขก ทว่าภรรยากลับรีบถามเหมือนเป็นการรั้ง กลัวว่าอีกฝ่ายจะออกไปข้างนอกแล้วปล่อยตนอยู่บ้านเพียงลำพัง
“พี่ช้างจะไปไหนคะ”
“อาบน้ำ” คำตอบของสามีสร้างรอยยิ้มแก่ร่างแบบบางอีกครั้ง หล่อนจ้องตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา พลางตะโกนบอกเสียงดังถึงแม้ว่าอาชาไนยจะไม่หันกลับมาตอบรับ แต่รู้ว่าเขาได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข
“เดี๋ยวไหมเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ค่ะ” ตอนแรกไม่คิดจะเข้าครัว ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เท้าเรียวก้าวไปทางห้องครัวโดยมีแม่บ้านเดินตามไม่ห่าง เอ่ยหยอกเย้านายสาวของตัวเองยามเห็นปากอวบอิ่มยกยิ้มกว้างขณะที่แววตาเป็นประกายสดใส
“ยิ้มหน้าบานเลยนะคะ”
“ไปทำกับข้าวกันดีกว่าค่ะ ไหมเริ่มหิวแล้ว” แม่ครัวคนสวยเริ่มลงมือเตรียมอาหารเย็น ไม่รู้ว่าเขาโปรดเมนูไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า จึงเลือกทำหลายอย่างเพื่อให้อาชาไนยประทับใจในฝีมือของตน แล้วหวังว่าต่อจากนี้เขาจะไม่ออกไปกินข้าวที่ไหนอีก...
เป็นครั้งแรกที่ได้ควงแขนสามีมาออกงาน หล่อนจึงพยายามรักษาเวลากลัวเขาจะไม่รอ แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จภายในระยะเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เลือกชุดสีสุภาพที่ให้เกียรติเจ้าของงาน สวมเดรสแขนตุ๊กตาสีฟ้าตามธีมของงาน กระโปรงฟูฟ่องยาวเพียงเข่า ผมสวยดัดเป็นลอนคลายสวยงาม แต่งหน้าพองามไม่ให้จัดจนเกินไป
หล่อนคล้ายกับเจ้าหญิงที่หนีออกจากวังมาเดินเล่นไม่ผิดเพี้ยน คนเป็นสามีเห็นครั้งแรกก็ตกตะลึงจนปาลิตาแอบยิ้มชอบใจที่รูปลักษณ์ของหล่อนทำให้อาชาไนยประทับใจ
แต่พอคิดอีกมุม...หรือเขากำลังมองหล่อนเป็นปาลิน
“ไหมไม่ค่อยรู้จักเพื่อนของพี่ช้าง ขอ ขออยู่กับพี่ช้างตลอดได้ไหมคะ” เดินเข้ามาในงานโดยคล้องมือไว้ที่แขนหนาไม่ยอมปล่อย แล้วดูเหมือนว่าร่างสูงก็ไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด ยอมให้หล่อนควงแขนอยู่อย่างนั้น
เริ่มตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบข้าง หลังจากเรียนจบปริญญาตรีก็ทำงานที่บ้านมาโดยตลอด ไม่ค่อยได้ออกมาพบปะผู้คนสักเท่าไหร่ หรือออกมาสักครั้งก็พบเพียงเพื่อนสนิทของตัวเอง ไม่ต้องทำความรู้จักใครจึงกลายเป็นว่าตอนนี้หล่อนกังวลในการต้องเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้า
“อือ” ตอบรับอย่างง่ายดายเพราะเห็นอาการตื่นเต้นของคนข้างกาย แต่ละวันหล่อนขลุกอยู่แต่ในบ้าน ทำงานวาดภาพไม่หยุด ได้คุยกับคนไม่เยอะซึ่งส่วนมากก็เป็นแม่บ้านและคนสนิท
“สวัสดีครับน้องไหม” ใส่ซองสีชมพูลงที่กล่องหน้างานพร้อมเขียนคำอวยพรคู่บ่าวสาวเรียบร้อย จึงเดินมาต่อแถวเพื่อถ่ายรูปหน้าแบรคดรอปกับเจ้าของงานที่ยิ้มต้อนรับผู้คน ดูสายตาก็รู้ว่าทั้งสองมีความสุขมากเพียงใด
จนหญิงสาวที่เพิ่งผ่านการแต่งงานมาไม่นานนึกอิจฉา...
ตอนนั้นไม่เคยได้รับรอยยิ้มจากเจ้าบ่าวสักครั้ง แววตาของเขาว่างเปล่าจนคนมองหนาวเหน็บทั่วกาย
“สวัสดีค่ะ ยินดีด้วยนะคะ” ค้อมศีรษะให้คนทั้งคู่ก่อนที่ปาลิตาจะเดินมายืนข้างเจ้าสาวคนสวย ส่วนอาชาไนยก็รีบทักทายเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมศึกษา งานของเขาอีกฝ่ายก็ไปแสดงความยินดี แล้วงานมงคลเช่นนี้ตนจะไม่มาได้อย่างไร
“ยินดีด้วยว่ะเพื่อน”
“มาๆ ถ่ายรูปด้วยกันดีกว่า” เมื่อเห็นว่าเริ่มมีคนมาต่อแถวรอถ่ายรูปจึงได้ชักชวนอย่างรวดเร็ว ปาลิตายืนยิ้มอยู่ข้างเจ้าสาวคนสวย จำได้ว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนร่วมงานของปาลินสมัยที่พี่สาวยังมีชีวิต ไม่รู้ว่าเจ้าสาวจะมองหล่อนอย่างไร
ถึงสายตาจะเป็นมิตร ทว่าภายในใจไม่อาจล่วงรู้ว่าคิดอย่างไร
“คุณสวยมากเลยนะคะ เหมือนป่านอย่างกับคนเดียวกันเลย” ไม่มั่นใจว่านั่นคือคำชมหรือวาจาประชดประชัน แต่ปาลิตาก็เลือกตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เราเป็นฝาแฝดค่ะ”
เข้ามาภายในงานก็จับจองที่นั่งข้างสามี เขาไม่ได้หันมาคุยกับหล่อนเพราะมีเพื่อนเข้ามาทักทายตลอดเวลา หญิงสาวจึงทำเพียงรับประทานอาหารและยิ้มตามมารยาทเท่านั้น บางครั้งก็มีคนมาชวนคุยซึ่งบทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว
“พี่ช้างจะไปไหนคะ” คว้าแขนหนาเอาไว้ทันทีเมื่อเห็นเขาลุกจากเก้าอี้
“เข้าห้องน้ำ...เดี๋ยวมา” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบเห็นถึงแววกังวลในสายตาของภรรยา จากที่คิดจะตัดบทจึงพูดประโยคหลังเพื่อให้หล่อนสบายใจ
“ไหมไปด้วยค่ะ อยากเข้าห้องน้ำพอดี” รีบลุกแล้วตามร่างสูงไปที่ห้องสุขาอย่างรวดเร็ว อาชาไนยแม้จะเดินนำแต่ก็เหลียวกลับมามองคนข้างหลังบ่อยครั้งด้วยความเป็นห่วง นิสัยของสองแฝดต่างกันชัดเจน
ขณะที่ปาลินสนุกกับการทำความรู้จักคนใหม่ๆ แต่ปาลิตาคล้ายกลัวกระทั่งจะปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เขาจึงต้องให้หล่อนอยู่ในสายตาตลอดเวลา ถึงคุยกับเพื่อนหรือคนคุ้นเคย ทว่าหางตายังคงมองภรรยาเสมอ
พร้อมย้ำกับตัวเองว่าแค่เป็นห่วง...ไม่ใช่ความเสน่หา
ร่างแบบบางปิดฝาชักโครกแล้วทรุดกายนั่งลง แววตาเหม่อลอยไม่รู้ว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่ คนมางานล้วนเป็นคนในสังคมที่พี่สาวของหล่อนรู้จัก สายตาหลายคู่จ้องหล่อนราวกำลังเยาะเย้ยดูถูก หลายคนที่ยิ้มแย้มแล้วค่อยหันไปคุยกับเพื่อน
ปาลิตาไม่อาจรู้ได้ว่าคนกลุ่มนั้นกำลังนินทาตัวเองหรือเปล่า จนกระทั่งเสียงที่ดังจากข้างนอก เรียกสติให้คนตกอยู่ในภวังค์ได้เงี่ยหูฟัง
“แกเห็นหรือเปล่า...ภรรยาของคุณช้างน่ะ”
“ทำตัวเหมือนพี่สาวแทบทุกอย่าง ฉันว่ายัยนั่นคงดีใจที่ยัยป่านตายจะได้เสียบแทน เหอะ พี่น้องเอาผัวคนเดียวกัน” ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ว่าคนในงานต่างพูดเรื่องของหล่อนกับสามี เอาเรื่องเศร้าของคนอื่นมานินทาอย่างสนุกปาก
“แต่สายตาที่คุณช้างมองเมียตัวเองเย็นชามาก เห็นแล้วเย็นยะเยือกแทบไม่มีความรักในนั้นเลย แต่งงานไปมีความสุขเหรอ...ผัวไม่ได้รัก เป็นฉันไม่แต่งหรอก” มือบางกำแน่นพร้อมกัดฟันกรอดด้วยความเสียใจระคนกรุ่นโกรธ
สายตาคนนอกหล่อนคงดูโง่มากที่แต่งงานกับแฟนเก่าของพี่สาว อีกทั้งเขายังแสดงชัดเจนว่าไม่รักหล่อน...
“ลืมหรือไงว่าเขาแต่งเพราะเส้นสาย แต่งเพราะธุรกิจน่ะ งานถนัดของพวกคนรวยเลย”
“อ้อ จริงด้วย ไอ้ฉันก็คิดแต่เรื่องความรักซะด้วยสิ คนพวกนั้นจะไปรู้จักความรักได้ไงล่ะ...” ปาลิตาไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป จึงเลือกเปิดประตูเพื่อเผชิญหน้า จ้องมองคนทั้งสองที่สะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วเผยอปากค้างเมื่อเห็นว่าคนที่พวกตนนินทาลับหลัง มายืนอยู่ตรงหน้า
ปัง
ร่างแบบบางอยากตอกกลับให้เจ็บแสบ ทว่าด้วยนิสัยของหล่อนไม่ใช่คนชอบต่อปากต่อคำ สิ่งที่ทำคือการเดินมาล้างมือโดยปิดปากเงียบไม่เอ่ยสักคำ
“รีบ รีบเข้างานกันเถอะ” จากที่นินทาอย่างสนุกปาก แต่เมื่อเจ้าของเรื่องมาอยู่ตรงหน้ากลับไม่กล้าพูดสักคำ พากันเดินออกจากห้องน้ำปล่อยปาลิตายืนมองกระจก จ้องตัวเองเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก พลางพึมพำเสียงเบา
“ทุกคนก็คงคิดแบบนี้...ไหมเป็นแค่ตัวแทนของพี่จริงด้วยพี่ป่าน”
ยิ้มกว้างพร้อมน้ำตาที่รินไหลเปื้อนใบหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เป็นตัวของตัวเองสักที