บท
ตั้งค่า

๕ เป็นเพียงเงา (๑)

เป็นเพียงเงา

เธอคิดว่าตัวเองควรมีความสุขมากกว่านี้เมื่อได้ร่วมรักกับสามี แต่ความจริงก็ทำให้เจ็บปวดเกินไปเมื่อเขาไม่เคยเอ่ยเรียกหล่อนยามเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ปากหยักได้รูปเรียกแต่หญิงที่จากไปตลอดกาลผู้หน้าเหมือนเธอเป็นพิมพ์เดียว

แม้พวกเราจะหลับนอนด้วยกัน อาชาไนยกลับออกจากห้องของหล่อนทันทีเมื่อทำธุระเรียบร้อย หรือบางครั้งหากใช้ห้องเขาร่วมรัก ก็เป็นหล่อนที่ต้องหอบเสื้อผ้ากลับมานอนที่ห้องตนเอง ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากสามีในฐานะภรรยา

ราวกับว่าเธอคือหญิงขายบริการ มีค่าเพียงบำเรอความใคร่ให้เขาก็เท่านั้น

“ไหม นั่งเหม่อคิดอะไรอยู่เหรอ” ไหล่บางถูกแตะแผ่วเบาทำให้คนที่กำลังเหม่อมองสระน้ำสีฟ้าครามต้องละสายตาเงยหน้าสบตากับแขกที่แวะเวียนมาหากันตลอดไม่เคยขาด จนบางครั้งเห็นหน้าเพื่อนคนนี้บ่อยกว่าสามีเสียอีก

ไม่ได้ตอบคำถามของปวัตรในทันที เลือกผินหน้ากลับมามองน้ำที่นอนนิ่งอยู่ในสระ ใช้ความคิดตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเองอีกครั้ง จนร่างสูงต้องเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างกายเธอ ใช้โอกาสนี้มองเสี้ยวหน้าหวานด้วยแววตาที่ทอประกายแห่งความรัก

เคยหวังจนเลิกหวังไปแล้ว เขายอมรับกับสถานะของตัวเองที่หล่อนมอบให้มาตลอด เมื่อเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อน ก็คงไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นแฟน

ถ้ารู้อย่างนี้สู้เข้ามาในฐานะของชายผู้หนึ่ง...ที่รักเธอดีกว่า

อย่างนั้นอาจจะมีสิทธิ์ช่วงชิงหัวใจของปาลิตาบ้าง ไม่ใช่เป็นเพียงที่ปรึกษาเรื่องความรักอย่างตอนนี้

“คนเราจะทนกับความเจ็บปวดได้มากแค่ไหน นายรู้หรือเปล่า” ใช้คำถามทำลายความเงียบ เพราะไม่รู้คำตอบจึงอยากรู้ว่าตนต้องทนอีกนานแค่ไหน ถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

กี่วัน กี่เดือนหรือกี่ปี...

ถ้ามีวันที่ชัดเจนหล่อนจะได้ทนรออีกสักหน่อย เจ็บปวดไม่เป็นไรถ้าได้รักจากอาชาไนยคืนกลับมา

“ทำไมเราต้องทนด้วยล่ะ ถ้าเจ็บก็แค่ไปทำแผลแล้วอย่าไปยุ่งกับสิ่งที่จะทำให้เราเจ็บอีก อย่างตอนเด็กที่เราวิ่งเล่นแล้วสะดุดขาเก้าอี้ล้ม ทำให้เรารู้ว่าอย่าวิ่งใกล้เก้าอี้ ก็แค่ต้องระวังมากกว่าเดิม อย่าไปทนกับความเจ็บปวดเพื่อพิสูจน์อะไรเลย” เขาใช้โอกาสนี้เป็นการบอกหล่อนไปในตัวให้เลิกคาดหวังในสิ่งที่เกินตัว

หลายวันที่ผ่านมาไม่รู้อาชาไนยทำอะไรกับปาลิตา หล่อนจึงได้ทุกข์กว่าเดิมจนหาความสดใสไม่เจอด้วยซ้ำ ช่างแตกต่างจากปอไหมคนเดิมยิ่งนัก และเขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะทนอยู่กับคนที่ไม่มีใจให้ไปทำไมกัน

ลงท้ายจะมีเพียงความเจ็บปวด ครั้นจะไปบอกหรือขอร้องลูกพี่ลูกน้องของตนก็ดูจะทำเกินหน้าที่เพื่อน เกรงว่าอีกฝ่ายอาจสงสัย จึงทำได้เพียงปลอบใจหญิงสาวอยู่อย่างนี้

ดวงหน้าหวานค่อยเหลียวกลับมามองเพื่อนสนิท น้ำสีใสคลอเบ้าเมื่อฟังคำเหล่านั้นจบ เหมือนกับว่าเดินมาถึงทางแยกที่หนทางบอกชัดเจนว่าเส้นใดคือความทุกข์ และไปทางไหนจะพบความสุข ซึ่งหล่อนก็เป็นเพียงผู้หญิงโง่เขลาคนหนึ่ง

ที่เดินเข้าสู่ดงหนามแหลม แม้มันจะทิ่มแทงทั้งกายและใจ...

แต่อย่างน้อยก็ยังได้เดินร่วมกับคนที่รัก

ปวัตรย้ำคำพูดของตัวเอง เหมือนต้องการเตือนสติคนที่หลงเดินทางผิด “ไม่คุ้มหรอก” หวังให้หล่อนคิดได้แล้วกลับมาเดินเส้นทางที่ถูกสักที

คิดตามในสิ่งที่เพื่อนสนิทบอก หล่อนมีสติทุกการกระทำไม่ได้หลงมัวเมาแต่อย่างใด ทว่าการปล่อยมือจากชายอันเป็นที่รักมันช่างยากเหลือเกิน แม้ว่าจะมีเพียงตนที่จับมือชายหนุ่มฝ่ายเดียวก็ตาม การแต่งงานเพิ่งเริ่มต้นไม่กี่เดือน

มันกำลังจะสิ้นสุดแล้วเช่นนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดายเพราะเพิ่งได้เริ่มใช้ชีวิตกับเขาไม่นาน ทนเอาหน่อยแล้วกัน เชื่อว่าความดีของเธอคงจะชนะใจอาชาไนยได้ในสักวัน

มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาของตนออกอย่างรวดเร็ว กลับมายิ้มอีกครั้งเมื่อตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเอง จากนั้นจึงสนใจปวัตรที่เทียวเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง

“ไม่ทำงานหรือไง”

“มีงานแถวนี้เลยแวะมาคุยด้วย กะจะขอฝากท้องที่นี่สักหน่อย” ความจริงเขาไม่ได้มีงานใกล้บ้านหล่อนสักครั้ง แต่ก็ยังหาโอกาสเพื่อมากินข้าวเที่ยงด้วยเสมอ เพราะไม่อยากให้หญิงสาวรับประทานอาหารเที่ยงคนเดียว

รู้ดีว่าสามีของหล่อนคงไม่กลับมากินข้าวด้วย เพื่อนอย่างตนจึงขอทำหน้าที่นั้นแทน

“เห็นบ้านเราเป็นร้านอาหารเหรอ”

“มีแม่ครัวฝีมือดีขนาดนี้ร้านอาหารก็สู้ไม่ได้” คำเยินยอของเขาทำให้คนที่ตกอยู่ในความทุกข์กลับมายิ้มได้อีกครั้ง หยัดกายลุกจากเก้าอี้พลางสูดลมหายใจลึกเข้าปอด นั่งอยู่ที่เดิมก็รังแต่จะสร้างความหม่นหมอง สู้ลุกไปหางานทำดีกว่า

“อยากกินอะไรเดี๋ยวทำให้กิน” เอ่ยอย่างใจดีจนแขกหนุ่มหล่อยิ้มกว้าง พร้อมบอกเมนูที่ตนคิดมาจากบ้าน รู้สึกอยากกินเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเป็นฝีมือของปาลิตา

หญิงตรงหน้าครบเครื่องงานบ้านงานเรือน ใครได้ไปเป็นศรีภรรยาช่างโชคดีเหลือเกิน แต่อาชาไนยเหมือนไก่ได้พลอย มองไม่เห็นคุณค่าของคนข้างกายจนน่าหงุดหงิด

ทำไมคนที่เธอรักไม่ใช่เขา...

“เยี่ยม! ขอผัดไทร้อนๆ ชามใหญ่ๆ หนึ่งชามครับ” คำขอนั้นหล่อนรับเรื่องในทันใดแล้วก้าวเข้าสู่ห้องครัวเพื่อทำหน้าที่แม่ครัวจำเป็น

หญิงสาวหยิบจับเครื่องครัวอย่างคล่องมือ แม่บ้านแทบไม่ต้องช่วยอะไรนอกจากพากันยืนมองด้วยแววตาชื่นชม น่าเสียดายที่คุณผู้ชายไม่เคยได้ชิมเลยสักครั้ง อุตส่าห์มีแม่ศรีเรือนอยู่ในบ้านแต่เขามองข้ามไปกินข้าวข้างนอก

กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกลทำให้แขกที่นั่งรออยู่ห้องอาหารถึงกับท้องร้องด้วยความหิว จานสีขาวใบใหญ่บรรจุอาหารเลิศรสเอาไว้พูดจาน แต่กระนั้นก็ยังแบ่งให้บรรดาแม่บ้านและคนสวนได้รับประทานกัน ค่อยวางไว้ตรงด้านหน้าปวัตรที่ยิ้มกว้างมีความสุขยามเห็นเมนูสุดโปรดของตนเอง

“มาแล้วค่ะ ผัดไทร้อนๆ อย่างที่คุณลูกค้าต้องการ กินได้ไม่อั้นแต่ขอค่าอาหารเป็นรูปลักษณ์หล่อเหลามาใช้เป็นเรฟวาดการ์ตูนหน่อยนะ” ระหว่างทำอาหารก็คิดพล็อตการ์ตูนเรื่องต่อไปได้ โดยมีเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นตัวเอกทั้งสองคน จึงต้องขอร้องเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นหากโดนปวัตรเรียกค่าลิขสิทธิ์จะทำอย่างไร

ต้องขอแล้วให้อีกฝ่ายรับปากก่อนสิ ถึงจะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทแสนดีของตนจะไม่มีทางทำแบบนั้นก็ตาม หล่อนแค่อยากหยอกชายหนุ่มเท่านั้น

“ย่อมได้ครับ...แล้วใครเป็นนางเอก” หลุบตามองจานอาหารเพื่อปิดบังความรู้สึกภายในใจของตัวเอง ถึงในชีวิตจริงเธอจะเป็นนางเอกของเขาไม่ได้ อย่างน้อยขอแค่ในโลกแห่งจินตนาการ เราได้คู่กันก็พอแล้ว

แอบอมยิ้มมุมปากรอฟังคำตอบ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นค่อยเลือนหายไป...

“ตุ้มไง” ชื่อของเพื่อนในกลุ่มถูกเอ่ยขึ้น

ตุ้มหรือปริยากร แสวงเดชเป็นสาวสวยที่มีชายหลายคนมาหลงรัก แต่เธอกลับไม่ตกลงปลงใจกับใครสักคน ถือตัวเป็นโสดมานานไม่ยอมลงจากคานสักที กระทั่งตอนนี้ที่ไม่มีชายใดได้หัวใจของหล่อนไปครอบครอง

ยิ่งคิดก็ยิ่งมีพล็อตพุ่งพล่านในหัวจบไม่ลง หล่อนยิ้มกริ่มมีความสุขพลางอ้อนเพื่อนชายตาปริบ จนเขาต้องเบนหน้าหลบไม่อยากหลุดยิ้มกับท่าทีแสนน่ารักของปาลิตา

“โธ่ ฉันกับยัยตุ้มเนี่ยนะ”

“ทำไมล่ะ ตุ้มสวยจะตาย”

“เฮ้อ กัดกันทุกวันเอาอะไรมาโรแมนติก” ส่ายหน้าทันทีเมื่อนางเอกในจินตนาการก็ยังไม่ใช่เธอ ตักข้าวผัดมากินด้วยอารมเบื่อหน่ายถึงมันจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม จนร่างบางต้องเลื่อนเก้าอี้พลางขยับเข้าใกล้เพื่อนสนิทเพื่อต้องการกล่อมให้เขายอมตกลง

โดยไม่รู้เลยว่าทุกเรื่องที่หล่อนเอ่ยขอ ปวัตรไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง

“เดี๋ยวเรารังสรรค์เรื่องราวให้เอง ถือว่าขอแล้วและนายอนุญาตเรียบร้อย ขอบคุณมากนะคะ” ยิ้มกว้างพร้อมรวบรัดทุกอย่างให้เป็นดั่งใจของตัวเอง แล้วอย่างนี้คนที่แพ้หล่อนมาตลอดจะชนะได้อย่างไร เขาเลือกเม้มปากก่อนตอบเสียงเบา

“ตามใจ...”

ทว่าดวงตากลมไม่ได้จ้องที่เพื่อนสนิท แต่กำลังสบตากับใครบางคนที่ทำให้ปากอวบอิ่มสามารถยกยิ้มได้ ปวัตรรีบหันไปมองตามสายตาของหล่อน พบลูกพี่ลูกน้องของตนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องอาหาร แววตาคมเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์

“พี่ช้าง! มากินข้าวเที่ยงที่บ้าน...” คิดว่าอาชาไนยจะก้าวเข้ามาในนี้ แต่ร่างสูงกลับเลือกขึ้นชั้นสองไม่เอ่ยทักทายสักคำ ราวกับว่าคนที่สบตาด้วยเมื่อครู่เป็นเพียงแค่อากาศ

รอยยิ้มหวานแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยจนปวัตรถึงกับวางช้อนส้อมลง ความอยากอาหารลดลงในทันทีเมื่อพบว่าดวงตาที่ควรสุกสกาวกลับมาหม่นหมองอีกครั้ง อาชาไนยมีอิทธิพลกับปาลิตามากเกินไป จนสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของหล่อนได้ในเสี้ยววินาที

“เขาเป็นแบบนี้บ่อยเหรอ” ข่มความโกรธแล้วถามเสียงเรียบ แต่หญิงสาวที่เพิ่งได้สติก็ส่ายหน้า พยายามแก้ตัวให้สามีของตน

“ไม่บ่อยหรอก...นายกินผัดไทไปสิ ฉันจะขึ้นไปหาพี่ช้างสักหน่อยเดี๋ยวจะลงมากินข้าวเที่ยงด้วย” รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินแก้มวิ่งออกจากห้องอาหาร ทว่าแขนเรียวกลับถูกเพื่อนสนิทคว้าเอาไว้ พร้อมจดจ้องหล่อนด้วยแววตาเว้าวอน

“ฉันจะรอ”

“ไม่ต้องรอ กินเลย” ปลดมือหนาออกอย่างรวดเร็ว พลางส่งยิ้มให้เขาปิดท้าย ค่อยก้าวขึ้นชั้นสองอย่างรวดเร็ว ปวัตรจึงทำได้เพียงทอดถอนใจทั้งสงสารร่างบางและสมเพชตัวเอง เขาไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าเป็นที่ปรึกษาของหล่อน

อยากเป็นตัวจริงมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้กันเลยสักครั้ง

หญิงสาวยังคงมองเขาเป็นแค่เพื่อนที่แสนดี...ไม่มีวันเปลี่ยน

“พี่ช้างลืมของไว้เหรอคะ” หยุดอยู่หน้าห้องของร่างสูงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกเข้าปอดเพื่อเรียกความกล้าให้ตัวเอง ค่อยหมุนลูกบิดแล้วผลักประตูเข้าข้างในเสียงเบา พบแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า

ห้องที่เขาใช้หลับนอนไม่ใช่ห้องหลัก จึงไม่มีห้องแต่งตัวแบบบิวท์อินเหมือนห้องหอที่หล่อนอาศัย พยายามโน้มน้าวให้ร่างสูงมานอนด้วยกันแต่ลงท้ายที่ผิดหวังทุกครั้ง

ทว่าช่วงหลังมานี้อาชาไนยเข้าไปในห้องนอนของหล่อนบ่อย แต่ก็ใช้เพียงแค่เตียงนุ่มในการบำบัดความใคร่ เสร็จกิจก็จากไปไม่ไยดี ไม่แม้จะหันมามองภรรยาที่นอนน้ำตารินไหลอยู่บนฟูกหนาเสียด้วยซ้ำ

“เปล่า แค่มาเปลี่ยนชุด” ตอบเสียงเบาจนคนที่ยืนเก้กังอยู่ด้านหลังแทบไม่ได้ยิน

“คะ”

“ฉันมาเปลี่ยนชุดเพราะต้องไปงานเลี้ยงคืนนี้” เพิ่มระดับเสียงขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออก จนเธอต้องผินหน้าหลบไม่กล้ามอง ถึงแม้เราจะผ่านค่ำคืนอันแสนรัญจวนใจมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม กระนั้นผิวแก้มนวลก็ยังแดงปลั่งยามได้มองหุ่นหนาได้รูปยามเปลือยกาย

“ให้ไหมไปด้วยไหมคะ” กระตือรือร้นถามขณะที่สายตายังไม่กล้ามองชายหนุ่ม หล่อนไม่เคยออกไปไหนกับเขาในฐานะสามีภรรยาแบบเปิดเผยเลยสักครั้ง อยากไปหาอาชาไนยที่บริษัทก็ไม่กล้า เกรงจะถูกไล่กลับบ้านต่อหน้าผู้อื่น

แต่ตอนนี้เธอเริ่มมีความกล้าบ้างแล้ว เมื่อเห็นว่าร่างสูงไม่ได้มีท่าทีนึกรำคาญเหมือนเมื่อก่อน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังเปิดรับหล่อนมากขึ้น

“ไม่ต้อง เป็นงานเลี้ยงภายใน” ปฏิเสธในทันควันจนใบหน้าหวานจืดเจื่อน หล่อนยังไม่ยอมแพ้ขอเพียงได้พูดคุยปราศรัยกับสามีอีกสักหน่อย ค่อยเหลือบตามองพบอาชาไนยที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแบบทางการ กำลังผูกเนกไทอยู่หน้ากระจก สายตาของเขาไม่มีวอกแวกมามองเธอสักนิด

มีเพียงปาลิตาที่ยังคงจดจ้องดวงหน้าไม่คลาดเคลื่อน กระพริบตาถี่เพื่อไม่ให้ความเสียใจแสดงออกมาในรูปแบบของน้ำตา

“แล้วพี่ช้างจะกลับกี่โมงคะ ไหมจะได้รอ”

“ไม่ต้องรอ ฉันกลับดึก” ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มก็แต่งตัวเรียบร้อย เขาจึงตรวจตราความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกครั้งสุดท้าย ค่อยหันกลับมามองภรรยาที่ยืนนิ่งพลางตอบรับคำเสียงเบา จำใจทำตามถึงจะไม่ค่อยจำยอมก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel