๔ สายตาพร่ามัว (๒)
ทราบเป็นอย่างดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของบุตรชาย ต่างจากฝ่ายหญิงที่มีใจให้แก่ลูกของนางอย่างชัดเจน พอได้มาใช้ชีวิตด้วยกันจึงไม่สมดุล
อีกคนรักมาก...ขณะที่อีกคนแทบไม่มีความรู้สึกรักตอบเลย
“คุณแม่ สวัสดีค่ะ ถ้าจะมาน่าจะโทรบอกไหมก่อนสิคะจะได้ทำอาหารไว้ต้อนรับ” หยุดยืนตรงหน้าแม่ของสามีด้วยรอยยิ้มกว้าง บ้านหลังนี้ไม่ค่อยได้ต้อนรับใครเท่าไหร่เพราะเจ้าของบ้านแทบไม่พาเพื่อนมาเลย
เหมือนว่าเขาไม่ต้องการป่าวประกาศว่ามีหล่อนเป็นเมีย
“ไม่ต้องทำหรอกลูก แม่เตรียมอาหารมาด้วย...หมักหมูสูตรพิเศษให้หนูลองชิมไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า เราปิ้งเนื้อกินด้วยกันดีไหม” เตรียมอาหารเย็นมาเรียบร้อยคิดไว้อย่างดีแล้ว ต้องการใช้เวลากับทั้งสองเพื่อจะได้ดูภาพรวมว่าชีวิตคู่ครั้งนี้จะไปรอดหรือเปล่า
ฝ่ายหญิงมั่นใจว่ารักลูกชายของนางร้อยเปอร์เซ็นต์ คงยอมหมดทุกอย่างทุ่มหมดตัวเพื่อรั้งให้อาชาไนยอยู่ข้างกาย ต่างจากชายหนุ่มที่อาจทำทุกทางเพื่อจะได้หย่า...
“ของโปรดเลยค่ะ” พูดจบก็ชวนกันเข้ามาในบ้านเพื่อเตรียมสถานที่สำหรับย่างเนื้อรับประทานยามเย็น หล่อนมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวของสามี เริ่มอยากไปอยู่บ้านใหญ่เสียแล้ว ถึงจะมีงานหนักให้ทำในฐานะสะใภ้ใหญ่เพราะบิดาของอาชาไนยเป็นลูกชายคนโต ทำให้ร่างสูงกลายเป็นหลานชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัววัฒนารุ่งเรือง
ความจริงเขาควรเรียกพ่อกับแม่ว่าป๊าและหม่าม้า แต่เพราะความดื้อและต้องการต่อต้านครอบครัว ชายหนุ่มจึงเรียกทั้งสองว่าพ่อแม่ กลายเป็นเคยชินแล้วไม่สามารถกลับไปเรียกเหมือนเดิมอีก
เมื่อเตรียมของเสร็จหมดก็ช่วยกันย่างเนื้อ เลือกตั้งโต๊ะที่ข้างสระน้ำด้วยบรรยากาศยามเย็นมีลมพัดผ่าน ทั้งท้องฟ้ายังกลับมาสดใสหลังจากมืดครึ้มมาทั้งวัน เหมาะแก่การรับการประทานอาหารร่วมกันระหว่างครอบครัวเป็นอย่างมาก
“คุณแม่มาทำไมครับ” ปากอวบอิ่มยิ้มกว้างยามเห็นสามีกลับบ้าน ไม่ว่าเขาจะตั้งใจกลับมาเองหรือมีคนบังคับก็ตาม
แต่สุดท้ายอาชาไนยก็อยู่ตรงหน้าหล่อน
“ดูคำถามสิ เหมือนจะไล่แม่ไปให้พ้นจากบ้านของเราเลย ไม่ต้อนรับแม่หรือไง” ดูเหมือนว่าคุณปวีณอรจะน้อยใจกับคำถามของบุตรชาย จนเขาต้องรีบปฏิเสธเสียงอ่อนแล้วมองบนโต๊ะที่มีอาหารวางไว้แน่นไปหมดแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
“เปล่าครับ”
“แม่แค่คิดถึงเลยอยากมากินข้าวเย็นกับเราแล้วก็หนูไหม เลิกงานแล้วก็ว่างไม่ใช่เหรอมากินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยสิ นานทีแม่จะมาหาถึงเรือนหอ”
“ครับ” ท่านออกตัวขนาดนี้แล้วตนจะทำอะไรได้ สุดท้ายจึงจำต้องยอมนั่งลงบนเก้าอี้ทั้งที่ไม่มีความอยากอาหารสักนิด
ปาลิตาเห็นอย่างนั้นก็รีบนั่งข้างกายชายหนุ่ม เพื่อจะได้บริการอีกฝ่ายสะดวก หยิบจับทุกอย่างให้สามีด้วยความเต็มใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจก็ตาม แต่เมื่อมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยก็พูดอะไรมากไม่ค่อยได้
“กลิ่นหอมจังเลยค่ะคุณแม่” กลิ่นจากเนื้อที่หมักมาจากบ้านใหญ่ถูกย่างจนสุกบนเตาถ่ายโชยมาตามลม เตะจมูกของหญิงสาวเข้าอย่างจังจนต้องเอ่ยปากชมแม่สามี
“กลิ่นไม่เท่าไหร่ แม่อยากรู้ว่ารสชาติจะอร่อยหรือเปล่า หนูไหมลองชิมแล้วคอมเมนต์ทีนะ” สองสาวต่างวัยเข้ากันเป็นอย่างดี พูดคุยกันไม่นานก็สนิทสนมรวดเร็วราวกับว่าหญิงสาวเป็นลูกในอุทร แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางคงไม่ยอมให้ลูกสาวมาแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้มีใจเสน่หาหรอก
เพราะสุดท้ายคนเจ็บก็มีแค่คนที่รักมากกว่า...อย่างปาลิตา
“อร่อยนะคะ ยิ่งกินกับน้ำจิ้มตัวนี้ยิ่งอร่อยค่ะ คุณแม่ทำเองหรือซื้อคะ” ชิมเนื้อที่ย่างจนสุกวางบนผัก จากนั้นจึงตักน้ำจิ้มเพียงเล็กน้อยมาโรยด้านบน นำเข้าปากก่อนเคี้ยวให้ละเอียดเพื่อชิมรสชาติแสนอร่อย
เอ่ยชมอย่างจริงใจแล้วคีบอีกคำเข้าปาก จนคนที่ตั้งใจทำยิ้มแก้มปริ เสียดายที่มีลูกชายเพียงคนเดียว อยากมีลูกอีกสักคนสามีก็ไม่ยอมเนื่องจากสุขภาพของท่านไม่ค่อยแข็งแรง เคยฝันว่าถ้ามีลูกสาวช่างอ้อนอีกสักคนก็คงดี
สงสัยลูกสาวจะมาในรูปแบบของสะใภ้...
“น้ำจิ้มแม่ทำเอง ลองผิดลองถูกหลายรอบจนได้รสชาติที่พอใจ อร่อยใช่ไหม”
“อร่อยมากค่ะ สงสัยไหมต้องขอสูตรกับคุณแม่หน่อยแล้ว” ทั้งสองคนคุยกันเข้าขาจนอาชาไนยที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวถูกเมิน เขาเลือกนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ แล้วจ้องมองเนื้อที่ถูกตักมาวางบนจานของตน
แน่นอนว่าเป็นฝีมือของภรรยา ที่แม้ดวงตาจะจ้องตอบแม่สามี แต่มือก็ยังคอยบริการวิศวกรหนุ่มไม่ขาด
“ขอสูตรอะไรล่ะ แม่ต้องขอสูตรอาหารจากหนูไหมมากกว่า ศิษย์เอกของคุณมลฤดี แม่ครัวฝีมือดีรสมือไม่เป็นสองรองใครถ่ายทอดมาถึงหลานสาว เอาไว้แม่จะมาขอฝากท้องกับหนูบ่อยๆ นะ” ชื่อของคุณย่าผู้ล่วงลับไปแล้วถูกเอ่ยถึง
ท่านเป็นคนที่สอนงานบ้านงานเรือนให้หล่อนหมดทุกอย่าง สนับสนุนงานวาดภาพจนกลายเป็นอาชีพเลี้ยงตนทั้งที่ตอนนั้นคนในครอบครัวไม่มีใครเห็นด้วยเลย อยากให้เลือกทำงานมั่นคงมากกว่า
คุณย่ามลฤดีจึงเป็นคนที่หล่อนยังให้ความเคารพและคิดถึงมาจนวันนี้...แม้ท่านจะจากไปแล้วก็ตาม
“ได้เลยค่ะ” เป็นการรับประทานอาหารกับเขาครั้งแรกที่ทำให้หล่อนยิ้มได้เต็มปาก
อยากให้ทุกวันเป็นเหมือนวันนี้...
ยามว่างที่ไม่มีงานและหล่อนยังไม่มีแผนที่จะวาดเรื่องต่อไป ทั้งยังงดรับงานวาดหน้าปกชั่วคราวเพราะอยากให้เวลากับตัวเองบ้าง ร่างแบบบางนั่งอยู่ที่ห้องพักผ่อนติดกับแปลงผักของตน ซึ่งตอนนี้เขียวชอุ่มสามารถนำมาทำอาหารได้แล้ว
ข้างกายหล่อนมีตะกร้าหวานหนึ่งตัวบรรจุไหมพรมก้อนใหญ่เอาไว้ มือถือเข็มโครเชต์มั่นคงพลางถักไหมเพื่อขึ้นรูป ถึงสามีจะไม่กลับบ้านมาหลายวันจนนึกเป็นกังวล สติแตกไปหลายครั้งจนต้องหากิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“คุณไหมทำอะไรเหรอคะ” แม่บ้านเดินเข้ามานั่งลงบนพื้นพรมข้างเจ้านายคนสวย นึกชื่นชมปาลิตาอยู่เสมอในความน่ารักใจดี แต่ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินเมื่อหล่อนไม่เป็นที่ต้องการของสามี แววตาที่ควรสดใสเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข
จึงได้ต่างออกไป...
บรรยากาศรอบตัวของหล่อนช่างน่าเศร้าและหดหู่ จนอยากให้ใครสักคนนำดวงตะวันเข้ามาในชีวิตของเธอ เผื่อความขมุกขมัวจะมลายไป
“ไหมว่าจะถักกระเป๋าให้พี่แป้งสะพายไปจ่ายตลาดค่ะ ใบที่ใช้เก่ามากแล้วเดี๋ยวขาดระหว่างทาง” คนฟังถึงกับเผยอปากค้างไม่คิดว่าเจ้านายจะใจดีกับตนขนาดนี้ รีบส่ายหน้าพลางยกมือบอกปักทันที
“อุ้ย ไม่เป็นไรค่ะพี่ใช้ใบเก่าได้ ของคุณไหมทำสวยขนาดนี้มาให้พี่ฟรี...พี่ก็เกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ลืมไปแล้วหรือคะว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่แป้งเป็นเหมือนพี่สาวของไหม เรื่องแค่นี้เล็กน้อยค่ะ” มาอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวคิดจะสร้างครอบครัวกับบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าสามี พอได้มาอาศัยความจริงกลับตีแสกหน้าว่าหล่อนไม่ใช่คนที่เขาต้องการ
ต้องพยายามอีกแค่ไหนจึงจะได้เป็นคนสำคัญสักที
“แต่คุณไหมไม่ทำงานหรือคะ”
“งานของไหมเสร็จแล้วค่ะ”ยังคงยิ้มแย้มมีความสุขกับงานตรงหน้า บอกตัวเองไม่ให้ชะเง้อออกไปนอกบ้านให้ช้ำใจ ยิ่งตะวันคล้อยต่ำจนท้องฟ้าเหลือเพียงความมืด ก็ยิ่งทำให้ความเศร้าชัดเจนกว่าเมื่อวาน เรือนหอที่มีเพียงภรรยาเฝ้าบ้านคนเดียว...มันน่าอยู่ตรงไหน
“ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหมคะ” ขันอาสาด้วยความกระตือรือร้น กลัวว่ายิ่งดึกจะทำให้คุณผู้หญิงที่อยู่คนเดียวเหงา
ถึงปาลิตาไม่ได้บอกว่ารอสามี แต่ทุกวันก็มักมานั่งทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ห้องนั่งเล่นเสมอ ใช้เวลาเกือบค่อนคืนในห้องนี้จนกระทั่งมั่นใจว่าคืนนี้ไม่มีใครกลับจึงค่อยเข้านอน
พร้อมร่องรอยของน้ำตาเปื้อนหมอนเช่นทุกวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ไหมนั่งทำคนเดียวได้ พี่แป้งไปนอนเถอะดึกมากแล้วด้วย” รีบไล่อีกฝ่ายกลับเข้าห้องเพราะไม่อยากให้แม่บ้านที่ต้องตื่นเช้าอดหลับอดนอนกับตัวเอง อย่างไรหล่อนจะตื่นกี่โมงก็ได้เพราะไม่ต้องปรนนิบัติดูแลสามี
“อย่านอนดึกนักนะคะ” บอกด้วยความเป็นห่วง จนเธอต้องยิ้มกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเข้านอนกี่โมง
ถ้าเกินเที่ยงคืนแล้วเขายังไม่กลับมา ก็คงขึ้นนอนได้แล้วล่ะ แม้ใจจะหวังได้ยินเสียงรถยนต์ของสามี แต่เธอก็เริ่มปลงเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าตนจะทนได้นานสักแค่ไหน...
“รับทราบค่ะ”
นั่งถักกระเป๋าให้แม่บ้านอย่างขยันขันแข็ง ยกมือปิดปากหาวหลายรอบแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เหลือบสายตามองนาฬิกาที่บอกเวลายี่สิบสามนาฬิกาสี่สิบห้านาที เหลือเวลารออีกสิบห้านาทีสุดท้ายด้วยหัวใจที่กระวนกระวายของคนเป็นภรรยา
ยังคงคาดหวังให้สามีกลับมานอนบ้าน ถึงเราจะไม่ได้นอนห้องเดียวกันแต่มันก็ทำให้หล่อนอุ่นใจ ว่าอย่างน้อยอาชาไนยก็อยู่บ้านหลังเดียวกัน
ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนอื่น
“ระวังนะคะ คุณช้างค่อยๆ เดินค่ะ” เสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้ามุขสร้างความดีใจให้แก่คนที่คอยเงี่ยหูฟังตลอดเวลา หล่อนละมือจากงานที่ทำก่อนเดินแกมวิ่งออกมาที่โถงกลางบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข
เชื่อมั่นว่าต้องเป็นอาชาไนยแน่นอนที่กลับมาบ้าน ไม่ได้หวังจะพบหญิงสาวนิรนามที่โอบประคองร่างสูงเดินขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเล หญิงสาวไม่อาจแม้แต่จะก้าวขาไปข้างหน้า ทำเพียงแค่ยืนนิ่งเหมือนมีรากงอกออกจากเท้า
ดวงตากลมร้อนผ่าวยังคงจดจ้องภาพตรงหน้าพร้อมยกมือขึ้นชี้ไปยังหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้าค่าตา อีกทั้งชุดที่หล่อนสวมก็ไม่ได้ปกปิดเนื้อหนังมังสาสักเท่าไหร่ ไม่อยากตัดสินคนอื่นจากภายนอก จึงต้องถามเพื่อให้แน่ใจ
“คุณเป็นใคร”
“ฉันเหรอ...ก็เป็นคนที่คุณช้างจ้างมาให้นอนด้วยไง” ตอบแบบขอไปทีเพราะเริ่มหนักจากการแบกหนุ่มร่างสูง คะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มค่อนข้างเยอะเพื่อหวังความสบายในอนาคต แล้วก็เป็นดั่งหวังเมื่อได้มาเหยียบบ้านหลังงาม
กระชับแขนหนาที่โอบไหล่ของตัวเองไว้ ถึงตัวเขาจะหนักแค่ไหนขอแค่ได้เข้าห้องแล้ววางชายหนุ่มลงบนเตียงก็พอแล้ว
แต่ผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร เหตุใดจึงมองหล่อนเหมือนเห็นตัวประหลาด...บางทีอาจจะเป็นแม่บ้านก็ได้
“ว่า ว่าไงนะ” คำตอบของหญิงขายบริการทำให้เธอยิ่งสับสน
จ้องหน้าของสามีที่ใบหน้าแดงก่ำทั้งดวงตายังปิดสนิทเหมือนหลับ เขาเมาจนต้องให้หญิงอื่นพาเข้าบ้าน เหมือนต้องการจะเย้ยหล่อนที่เป็นเมียกอดทะเบียนสมรส อาชาไนยกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่จึงทำร้ายกันแบบนี้
เขาอยากให้หล่อนเจ็บมากนักหรือไง
“ฉันถูกคุณช้างซื้อตัวให้มานอนด้วย แต่เราหาสถานที่ไม่ได้เลยตัดสินใจมาที่บ้านเขา เธอเป็นแม่บ้านใช่ไหม พาเขาไปที่ห้องทีสิ” รีบกวักมือเรียกเพื่อให้มาช่วยแบกร่างหนาเพื่อขึ้นห้อง แต่คนที่สติเพิ่งกลับมาเลือกจะเดินเข้าไปใกล้พลางดึงร่างสูงให้มาหาตัวเอง
แต่เพราะเขายืนได้ไม่มั่นคงจากอาการเมา จึงทำให้อาชาไนยล้มลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว คนหลับจึงสร่างเมาในเวลาต่อมา ทว่าทำเพียงลืมตาแล้วกระพริบปริบเงยมองหญิงสาวสองคนที่ยืนประชันหน้ากันไม่ยอมแพ้
“ว้าย” ร้องด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงร่วงลงพื้น
“ฉันเป็นเมียของเขา” บอกเสียงนิ่งพลางกัดฟันกรอดที่ถูกหญิงอื่นเข้ามาหยามถึงในบ้าน ทั้งที่บ้านหลังนี้คือเรือนหอของเรา หากไม่เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นคงได้โวยวายใส่คนเมาไปแล้ว แต่ทว่าหญิงสาวยังเลือกดับความร้อนด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
ซึ่งเหมือนครั้งนี้มันจะไม่ได้ผล เพราะไฟที่ผุดขึ้นมันไม่ใช่หย่อมเล็ก แต่เป็นเปลวเพลิงลูกหนาที่โหมกระหน่ำแผดเผาใจของหล่อน
“หะ...เมียเนี่ยนะ ไม่เห็นบอกว่ามีเมีย” ถึงกับสบถด้วยความโมโหก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่ตนหมายมาดจะปอกลอก
ตอนแรกเห็นมาดื่มคนเดียวทุกวันคิดว่าอกหักเสียอีก ทำไมกลับกลายเป็นว่ามีครอบครัวไปเสียได้
“ถ้ารู้ว่าเขามีเมียแล้วก็รีบออกไปจากบ้านหลังนี้ ก่อนที่ฉันจะให้คนลากเธอออกไป” ย่างเท้าเข้าหาผู้หญิงตรงหน้าขณะที่กำหมัดแน่น เธอไม่สนใจสามีที่ค่อยหยัดกายลุกยืนพลางพรูลมหายใจเสียงดัง เพิ่งเคยโกรธจนตัวสั่นเป็นครั้งแรก
หล่อนแสดงความเป็นเจ้าของในตัวอาชาไนยเพราะมีสิทธิ์ทุกประการ จนสาวที่เพิ่งเข้ามาในบ้านถึงกับหัวเสีย ยกมือขึ้นเสยผมยาวสลวยของตัวเองแล้วผินหน้ามองชายหนุ่มที่เพิ่งสร่างเมา
“คุณช้าง นี่เมียคุณเหรอ คุณ!” ถามเสียงดังด้วยความโมโหแล้วแตะที่แขนหนาจนเขาตวัดสายตาอันเฉียบคมมามอง จึงได้สติแล้วเก็บมือทิ้งไว้ข้างลำตัว ไม่กล้าขึ้นเสียงกับเขาอีกต่อไป
อาชาไนยค่อยละสายตาแล้วกลับมาจ้องมองภรรยาในนามของตัวเอง ยิ่งมองหล่อนนานเท่าไหร่ ก็ทำให้คิดถึงแฟนสาวที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เหตุใดคนทั้งสองจึงต้องเป็นฝาแฝดกันด้วย แล้วอย่างนี้บาดแผลในใจของเขาจะสมานได้เมื่อไหร่
เห็นปาลิตาคราวใดใจก็เผลอนึกไปถึงปาลิน...
แต่กระนั้นคนทั้งสองก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน อดีตแฟนสาวน่ารักร่าเริงแววตาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ส่วนแฝดคนน้องที่มักส่งสายตาหลงใหลมาให้เขา ยิ่งมองก็ยิ่งไม่ชอบใจเพราะมันทำให้เผลอคิดตลอดเวลาว่าหล่อนดีใจกับการตายของพี่สาว
จะได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้แทนผู้ล่วงลับ...ภรรยาของนายอาชาไนย
“ฉันไม่มีเมีย” ตอบเสียงเรียบพร้อมจดจ้องภรรยาตีทะเบียนจนเธอถึงกับสะท้านไปทั่วกาย มือกำยิ่งแน่นกว่าเดิมจนเล็บจิกฝ่ามือทว่าไม่รู้สึกเจ็บสักนิด หัวใจของหล่อนต่างหากที่มันปวดเหมือนมีคนกระชากออกมาบีบเล่น
ดวงตากลมมีน้ำสีใสคลอเบ้าระหว่างจ้องชายตรงหน้าไม่วางสายตา โกรธจนตัวสั่นเทิ้มแต่สิ่งที่ทำคือตะโกนเรียกคนสวนเสียงดังก้องบ้าน จนหญิงขายบริการถึงกับสะดุ้ง
“ลุงสน! ลุงสน!” เหมือนว่าหญิงสาวใช้การตะโกนเรียกเป็นการระบายความคับแค้นในใจ
“ครับ ครับคุณไหม” ไม่นานชายวัยกลางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบมายืนตรงหน้าเจ้าของบ้าน เหลียวมองอาชาไนยด้วยความตกใจ แต่ที่แปลกใจคือท่าทีของปาลิตาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำเพียงยืนรอรับคำสั่ง
“ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปค่ะ ถ้าเขาไม่ยอมก็จับลากออกจากบ้านได้เลยไม่ต้องออมแรง” ใช้คำสั่งของการเป็นคุณผู้หญิงของบ้านให้เป็นประโยชน์ เธอไม่อยากแสดงอำนาจแต่คราวนี้เลี่ยงไม่ได้
อาชาไนยเหยียบย่ำหัวใจหล่อนเกินไปแล้ว...
“นี่! ผัวเธอเป็นคนซื้อฉันมาก็ไปลงที่ผัวสิ! ใครจะไปรู้วะว่ามีเมียแล้ว คนทำมาหากินเสียเวลา!!” โวยวายเสียงดังเมื่อตนกำลังจะถูกลากออกจากบ้าน จึงสะบัดแขนของชายคนนั้นออกอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนอย่างคับข้องใจที่ตนถูกมองว่ากำลังจะแย่งสามีของคนอื่น
ถึงจะทำงานขายเรือนร่างแต่ใช่ว่าตนอยากทำลายความรักของใคร คนที่ผิดน่าจะเป็นฝ่ายชายมากกว่าไม่ใช่หรือ
ขาเรียวสวยก้าวออกจากบ้านหลังงามเมื่อพ่นความรู้สึกออกมาจนหมด เหลือเพียงสองสามีภรรยาที่เผชิญหน้ากัน แล้วร่างหนาก็ถอนหายใจหนักพลางยกมือขึ้นลูบต้นคอราวไม่ยี่หระกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ต่างจากฝ่ายหญิงผู้ซึ่งเจ็บจนชาไปหมด
สามีซื้อหญิงมาบริการถึงในบ้าน...
“น่าเบื่อ” พึมพำเสียงเบาก่อนก้าวขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องนอนของตัวเอง
ปล่อยภรรยายืนร้องไห้อย่างเปล่าเปลี่ยว
แต่คราวนี้หล่อนจะไม่ยอมอีกต่อไป เมื่อได้สติกลับมาก็รีบเดินตามชายหนุ่มขึ้นบนห้องอย่างรวดเร็ว แววตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง จับประตูแล้วหมุนกลอนก่อนผลักเข้าไปทันที ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนอนของสามีแล้วปิดบานไม้เสียงดัง
ปัง!
“พี่จะทำแบบนี้กับไหมไม่ได้ ไหมเป็นเมียของพี่แต่พี่พาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในเรือนหอของเราได้ยังไง” แทบอยากจะพังข้าวของทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง หล่อนไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้อนจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตคู่ ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธ ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมน้ำตาเม็ดใหญ่ซึ่งไหลเปื้อนแก้มจนต้องรีบปาดมันออก
“เมียเหรอ ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเธอเป็นเมียฉันตอนไหน กับแค่ทะเบียนสมรสใบเดียว...จะฉีกทิ้งตอนไหนก็ได้” เขาไม่สนใจและยังคงปลดเนกไทพร้อมถอดเสื้อสูทออกจากกาย
แต่ละวันชายหนุ่มหมดเงินไปกับการนอนที่โรงแรมหลังเสร็จจากงาน เพราะไม่อยากกลับบ้านมาเจอภรรยาที่หน้าเหมือนแฟนเก่า
เขากลัวว่าสักวันหนึ่งตนจะหลงรักน้องสาวฝาแฝดของปาลิน...
จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแสดงถึงความเกลียดในตัวหล่อน ยิ่งหญิงสาวขอหย่าเร็วเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น
“ไหมเป็นเมียพี่ คืนนั้นเรานอนด้วยกันแล้ว” อ้างสิทธิ์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงสักนิด แล้วดูเหมือนว่าร่างสูงก็เลือกไม่ใส่ใจเพราะไม่เชื่อในน้ำคำของหล่อน อีกอย่างคือความทรงจำของเขาที่ไม่มีเหตุการณ์เหล่านั้นในหัวสักนิด
“ฉันจำไม่ได้”
“งั้นก็มาทบทวนความจำหน่อยไหมล่ะคะ พี่จะได้จำคืนนั้นได้ว่าเราเป็นผัวเมียกันแล้ว” พูดจบก็ถอดชุดนอนของตัวเองออกอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ถึงจะอับอายมากแค่ไหนแต่เธอก็เลือกทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง แลกทุกอย่างเพียงเพื่อได้ครอบครองอาชาไนย
ถึงมันจะเป็นการกระทำที่สิ้นคิดก็ตาม...
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ถึงเธอจะหน้าเหมือนป่านแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่ป่าน ฉันไม่มีทางเอากับผู้หญิงแบบเธอ” ร่างหนารีบผินหน้าหนีเมื่อเห็นว่าเธอก้าวเข้ามาใกล้ ทั้งโมโหที่หล่อนกล้าเล่นลูกไม้นี้กับตนอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด
ไม่คิดเลยว่าคนที่ดูเรียบร้อยอ่อนหวานจะกล้าเปลื้องผ้าต่อหน้าตัวเอง หล่อนเล่นแบบนี้คงเพราะคิดว่าเขาจะไม่กล้าทำ
“หรือถ้าอย่างนั้น...เธอยอมเป็นป่านไหมล่ะ ยอมเป็นตัวแทนของป่านให้ฉันหรือเปล่า” แต่แล้วร่างสูงก็เลือกหันมาสบตาหญิงสาว พยายามไม่มองส่วนที่ต่ำกว่าลำคอระหง พลางยื่นข้อเสนอที่แสนโหดร้ายให้ภรรยาที่หลงรักสามีหมดหัวใจ
“หมาย หมายความว่ายังไง”
“ฉันจะยอมนอนกับเธอ ถ้าเธอคือป่านทอ” มุมปากหยักยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เหมือนเป็นการล่อเหยื่อให้ติดกับ แล้วค่อยทรมานอีกฝ่ายจนตายลงอย่างช้าๆ
“แต่มันจะเป็นแค่เซ็กส์ที่ใช้บำบัดความใคร่ ไม่ใช่การเมคเลิฟอย่างที่เธอคาดหวัง เพราะฉะนั้น...ฉันจะไม่อ่อนโยนกับเธอ” แอลกอฮอล์อาจทำให้สติสัมปชัญญะของเขาขาดหายไม่ครบถ้วน หากตอนนี้ตนไม่ได้เมาคงไม่เลือกยื่นข้อเสนอสุดพิสดารให้คนตรงหน้าหรอก
ทว่าคำพูดนั้นเป็นเหมือนโอกาสที่หล่อนจะได้ใกล้ชิดกับเขามากกว่าเดิม ปาลิตาจึงรีบตะครุบมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ยอม อื้อ” เพียงแค่หล่อนตอบตกลง มือหนาก็จับกรอบหน้าหวานแหงนขึ้นเพื่อรับจุมพิตแสนดุดันไร้ซึ่งความปราณี ไล่ต้อนร่างแบบบางจนหล่อนล้มลงบนเตียง ก่อนเจ้าของห้องจะรีบถอดเสื้อผ้าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีแล้วโถมกายมาทาบทับบนตัวหล่อน
“ไหมยอมค่ะ” กระซิบแผ่วเขาข้างหูเขาอีกรอบ โอบกอดเรือนกายแข็งแกร่งเอาไว้พลางลูบไล้แผ่นหลังกว้าง
ในที่สุดเธอก็จะได้เป็นของเขาแล้ว...