๔ สายตาพร่ามัว (๑)
๔
สายตาพร่ามัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูไม่อาจทำลายสมาธิของหญิงสาวที่กำลังนั่งร่างภาพอยู่บนโต๊ะทำงานได้ จินตนาการที่กำลังพลุ่งพล่านทำให้พื้นสีขาวบนจอสี่เหลี่ยมถูกละเลงให้เป็นเหตุการณ์แสนหวาน ซึ่งหล่อนไม่อาจพบได้ในชีวิตจริง
ปาลิตาปรารถนาได้รับความรักจากคนที่ขึ้นชื่อว่าสามี ไม่ต้องมีคำหวานออกจากปากเขาก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ถูกหมางเมินก็พอแล้ว
ปากหยักแต้มยิ้มเมื่อถึงบทสุดท้ายของการ์ตูนแสนหวาน นางเอกถูกขอแต่งงานท่ามกลางสวนดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมกระจาย แก้มนวลแดงปลั่งดวงตาเป็นประกายยามเห็นแหวนเพชรที่ถูกยื่นมาตรงหน้า พระเอกค่อยสวมมันลงที่นิ้วของเธออย่างอ่อนโยน แล้วมอบอ้อมกอดแสนอบอุ่นให้แก่นางเอก พร้อมสัญญาว่าจะรักเธอเพียงผู้เดียวตราบเท่าโลกนี้มลาย
หล่อนเองก็อยากได้ยินคำนั้นจากปากของอาชาไนยเหมือนกัน...แต่คงไม่มีวันเป็นจริง
“คุณไหมคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะคะ” แม่บ้านตะโกนจากหน้าห้อง เรียกสติของคนที่กำลังเพ้อฝันอยู่ในโลกของตัวเองให้ได้สติ พรูลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าแล้วเอาแต่จ้องตอนจบของผลงานที่เธอตั้งใจรังสรรค์มันขึ้นมา
“ไหมขอทำงานอีกแป๊บเดียวค่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว...พี่ช้างมาหรือยังคะ” ตอบกลับโดยที่สายตาไม่ละจากรอยยิ้มของนางเอก ไม่ลืมถามถึงสามีของตัวเอง
“ยังไม่กลับเลยค่ะ” คิดไว้แล้วเชียวว่าเขาคงยังไม่กลับ
ไม่รู้ว่างานที่บริษัทมีมากแค่ไหน เพราะบางครั้งเขาก็ไม่กลับมาบ้านหลายวันโดยมีข้ออ้างเรื่องงานมาเป็นเหตุผลตลอด ทั้งที่เราแต่งงานเป็นสามีภรรยาแต่เหมือนหล่อนใช้ชีวิตในบ้านหลังให้เพียงลำพัง
เริ่มอยากเป็นนางเอกในการ์ตูนที่ลงท้ายกับพระเอกด้วยความรัก ยิ่งมองรอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเพิ่มความอิจฉาให้มากขึ้นทั้งที่ตนเป็นคนวาดแท้ๆ แต่ไม่เคยมีรอยยิ้มแสนสดใสแบบนี้เลย
มีโอกาสไหมที่หล่อนจะสามารถยิ้มได้เต็มปากแบบนี้อีกครั้ง ไม่ต้องแสร้งยิ้มเพื่อให้คนอื่นสบายใจหรือยิ้มให้ตัวเองเพื่อหลอกว่ากำลังสบายดี ทั้งที่ความจริงหัวใจของหล่อนกำลังถูกความเจ็บปวดกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเขารักปาลินได้ แล้วทำไมเขารักเธอไม่ได้ล่ะ...
นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองหลายนาที จนต้องตั้งสติแล้วปิดงานตรงหน้าหลังจากส่งลงแอพลิเคชั่นเพื่อเปิดให้ทุกคนได้อ่านเรียบร้อย นอกจากวาดการ์ตูนขายในเว็บไซต์ชื่อดัง เธอยังรับจ้างวาดภาพหน้าปกจากสำนักพิมพ์และบรรดานักเขียนที่ชื่นชอบในผลงานของตัวเอง
ตอนแรกทางครอบครัวกังวลเกี่ยวกับงานที่ไม่มั่นคง ทว่าตอนนี้กลับสนับสนุนเต็มที่เมื่อพบว่ารายได้ค่อนข้างมั่นคง นับวันก็ยิ่งมีงานมากขึ้นเรื่อยๆ จากผลงานที่หล่อนรังสรรค์และฝึกปรือฝีมือจนถูกยอมรับจากคนภายนอก
เรื่องการงานถือว่าโชคดี ต่างจากความรักที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่รู้ว่าวันใดจะมาถึงทางตัน
เดินลงมาจากชั้นบนของบ้านผ่านหน้าห้องสามีที่เมื่อก่อนเป็นห้องรับแขก ทว่าเขายึดเป็นห้องนอนถาวร บอกชัดเจนว่าไม่ยินดีร่วมห้องกับภรรยา แม้จะแต่งงานกันมาเกือบสองเดือนแล้วก็ตาม เท้าของอาชาไนยแทบไม่ย่างกรายเข้าใกล้ห้องหอ
“กินข้าวกันหรือยังคะ” กวาดตามองอาหารที่วางเต็มโต๊ะแต่กลับมีข้าวเพียงจานเดียว หล่อนไม่อยากนั่งกินข้าวลำพังได้ มันดูเปล่าเปลี่ยวเกินไป จึงรีบรั้งแม่บ้านซึ่งกำลังพากันทยอยเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างเงียบเชียบ
“เดี๋ยวพวกเราเข้าไปกินในครัว...”
“มากินด้วยกันสิคะ ไหมกินข้าวคนเดียวแล้วรู้สึกเหงายังไงไม่รู้ โต๊ะกว้างแล้ววังเวงชอบกล...มากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยนะคะ” ไม่อาจนั่งคนเดียวได้จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้อง เปลี่ยนที่วางจานข้าวของตนจากหัวโต๊ะเป็นฝั่งซ้ายมือ
จากนั้นจึงทำแววตาอ้อนให้คนที่เหลือยอมทำตามคำขอ เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องความเหมาะสม ขอเพียงแค่ตนได้นั่งกินข้าวอย่างมีความสุข ได้นั่งพูดคุยระหว่างรับประทานของอร่อยก็พอแล้ว
ไม่ใช่นั่งกินข้าวแล้วจมกับความคิดถึง...
“แต่พวกเราเป็นแค่แม่บ้าน...” เอ่ยค้านไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบเจ้านาย
“ทุกคนเป็นครอบครัวของไหมค่ะ” ยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมรอยยิ้มกว้างจนคนอื่นต้องเหลียวมองหน้ากัน ไม่คิดว่าหญิงสาวจะพูดคำนี้ด้วยซ้ำ กลายเป็นความซาบซึ้งจนไม่กล้าจะปฏิเสธความมีน้ำใจของเจ้านายคนสวย
ยิ่งสงสารหล่อนที่ทำได้เพียงคอยสามีให้กลับบ้านในแต่ละวัน
หลังแต่งงานควรจะมีความสุข แต่แววตาหวานล้ำกลับหม่นหมองลงทุกวันอย่างน่าเศร้า คนที่งดงามขนาดนี้ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังได้อย่างไร
“มากินข้าวเถอะค่ะ” เมื่อไม่มีใครค้านหล่อนจึงรีบชักชวนให้นั่งลงเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งยังใจดีคดข้าวใส่จานให้อีกต่างหาก
รอยยิ้มหวานแต้มปากอวบอิ่มเมื่อโต๊ะยาวไม่ว่างอีกต่อไป ถึงตอนแรกเหล่าแม่บ้านจะเกร็ง แต่ไม่นานเริ่มปรับตัวได้จึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนคุณผู้หญิงของบ้านกลับมาหัวเราะอีกครั้งด้วยแววตาสดใสชวนมอง
ถ้าเธอไม่หลงรักชายไร้ใจ ป่านนี้ก็คงมีความสุขไปแล้ว...
“จะไปไหนคะ” รับประทานอาหารเรียบร้อยทุกคนจึงช่วยกันเก็บแล้วนำไปล้างให้สะอาด กลับมาเช็ดโต๊ะจนมีกลิ่นหอมแล้วคอยมองนาฬิกาเป็นระยะเหมือนกำลังรอคอยเวลา ทำเอาปาลิตานึกสงสัยว่าเหล่าแม่บ้านจะไปไหน เหตุใดจึงมีท่าทีร้อนรน
“คืนนี้มีละครที่พวกพี่ชอบค่ะ เลยว่าจะไปรวมกันที่ห้องของป้าจิก” คนที่อายุใกล้เคียงกับหล่อนรีบตอบด้วยความตื่นเต้น ใกล้เวลาละครฉายเข้ามาทุกทีจึงไม่อยากพลาดเพราะเปิดเรื่องก็เป็นฉากสำคัญหลังค้างคาจากเมื่อวาน
จึงไม่มีใครอยากพลาดฉากต้นเรื่องเท่าไหร่
“มานั่งดูกับไหมดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไหมจะไปอบป็อปคอร์นมากินระหว่างที่เราดูละคร น่าสนุกจะตาย...นั่งเลยค่ะทุกคน ที่เหลือไหมจัดการเอง” คิดบางอย่างขึ้นได้จึงชักชวนทุกคน ตนก็ไม่ได้ดูละครมาหลายปีเพราะพล็อตเรื่องไม่ชวนดึงดูด
แต่คราวนี้ต้องการใช้เวลาร่วมกับคนในบ้าน จึงเลือกเปลี่ยนบรรยากาศดูละครให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์ชั่วคราว ทั้งจำได้ว่าเคยซื้อเมล็ดข้าวโพดไว้ทำป็อปคอร์นใส่ในตู้เก็บของที่ห้องครัว จึงไม่พลาดจะรีบเดินไปจัดการด้วยตัวเอง ถึงใครห้ามก็ไม่ฟัง
บรรดาแม่บ้านมานั่งเล่นที่ห้องรับแขกโดยเลือกนั่งบนพื้นถึงเจ้าของบ้านจะพยายามกล่อมให้นั่งบนโซฟา แต่ก็ไม่มีใครยอมทำตามโดยให้เหตุผลว่านั่งข้างล่างสบายกว่า สุดท้ายปาลิตาจำต้องนั่งลงที่พื้นเช่นกัน แล้วหยิบป็อปคอร์นมากินเล่น
เพิ่งเคยดูละครหลังข่าวครั้งแรกแต่เนื้อเรื่องกลับทำให้หล่อนนั่งนิ่งแล้วขบคิดถึงเรื่องของตัวเอง ไม่คิดว่าตนกับนางเอกจะมีชีวิตแต่งงานที่คล้ายกันขนาดนี้
ไม่ได้รับความรักจากผู้เป็นสามี...
“นางเอกก็ไม่ออกไปสักที คนเขาไม่รักแล้วจะไปอยู่ด้วยทำไม” ทุกคนอินกับละครจนแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
เหตุการณ์บนจอแก้วเป็นฉากที่นางเอกซึ่งเป็นเมียแต่งถูกรังควานจากเมียน้อยของพระเอก โดยที่ฝ่ายชายก็ไม่ได้เข้าข้างภรรยาแต่อย่างใด กลับเลือกเข้าหานางร้ายแล้วประคบประหงมต่อหน้าต่อตานางเอก
ปาลิตารู้ดีว่าเป็นละครน้ำเน่าขนานแท้ แต่หล่อนกลับมีอารมณ์ร่วมไปกับภาพความเจ็บปวดตรงหน้าจนไม่ได้สนใจขนมที่อยู่ในมือ น้ำตาคลอเบ้าเสียอย่างนั้น นึกชมนักแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
เธอไม่ได้เผชิญเหตุการณ์สามีพาเมียน้อยเข้าบ้าน...แต่เขาไม่รักเธอเลยต่างหาก
“ดูแล้วขัดใจนะป้า เป็นฉันคงไปตั้งแต่พระเอกเอาเมียน้อยมาเย้ยถึงในบ้านแล้ว ผู้ชายมีเป็นร้อยจะไปเอาคนที่มันไม่รักเราทำไม” ความเห็นของแม่บ้านเหมือนหมัดฮุกเข้าหน้าเธออย่างจัง จนร่างบางไม่อาจอยู่เฉยได้จึงเข้าข้างนางเอก โดยเอาประสบการณ์และความรู้สึกของตัวเองตัดสินแทนคนในเรื่อง
“บางครั้ง...เขาอาจจะแค่อยากลองดูสักตั้งน่ะค่ะ อยากลองให้สุดกำลัง ทุ่มเต็มที่เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
ดวงตากลมเหม่อลอยหลังจากพูดจบ เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้ากับความรักที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ครอบครอง แล้วเหตุใดจะไม่คว้าไว้ล่ะหากมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอสามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ คนภายนอกจะมองอย่างไรหญิงสาวไม่สน เพียงแค่ได้ลองทุ่มสุดตัวกับรักครั้งนี้สักครั้ง
ถึงจะไม่สมหวังในตอนท้าย...ก็ดีกว่าไม่ได้ลอง
ทุกคนในที่แห่งนั้นเงียบเสียงลงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ เลือกสนใจภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าก่อนที่เสียงรถยนต์จะเรียกความสนใจของทุกคน แต่มีเพียงคุณผู้หญิงคนเดียวที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง เอาแต่มองตรงไปยังจอโทรทัศน์อย่างไม่ยินดียินร้าย
“คุณช้างน่าจะกลับมาแล้ว” แม่บ้านบอกกับหล่อนเสียงเบา แต่ปาลิตากลับทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วตอบรับแบบขอไปที
“ค่ะ”
“เอ่อ คุณไหมไม่ออกไปรับหน่อยเหรอคะ” ปกติถ้าได้ยินเสียงรถของคุณผู้ชาย คนเป็นภรรยาจะรีบวิ่งออกไปรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปเมื่อเห็นหล่อนทำหน้านิ่ง ไม่ยอมขยับลุกจากโซฟาแม้เพียงก้าวเดียว
“พี่ช้างคงไม่อยากเห็นหน้าไหมหรอกค่ะ นั่งรอตรงนี้ดีกว่า” เสียงฝีเท้าหนักก้าวเข้าบ้าน เธอพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองสามี แต่เพียงครู่เดียวก็ต้องเหลียวไปเพราะไม่อาจห้ามใจเอาไว้ได้ กลับพบเพียงแผ่นหลังกว้างที่ขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
เขาคงไม่แม้แต่จะหันมามองเธอด้วยซ้ำ หล่อนกำลังคาดหวังอะไรจากสามีที่ไม่มีใจให้ตนกันแน่...
“เราดูละครกันต่อดีกว่าค่ะ กำลังสนุกเลย” รีบเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนแล้วสนุกไปกับละครที่บีบคั้นความเจ็บปวดของคนดูเป็นอย่างยิ่ง
จนปาลิตาถึงกับเสียน้ำตาแล้วต้องรีบใช้มือปาดออก ไม่รู้ว่ากำลังอินหรือเสียใจที่โดนเมินจากชายผู้เป็นที่รัก
ช่วงกลางวันที่อากาศขมุกขมัว ปาลิตาออกมานั่งเล่นที่สระน้ำสีใสที่ตนไม่เคยได้ใช้สักครั้ง อย่างมากก็แค่นั่งหย่อนเท้าคลายเครียด ให้ความเย็นจากเท้าช่วยให้สดชื่นขึ้นบ้าง ในแต่ละวันของเธอทำได้เพียงเฝ้าคอยสามีกลับบ้าน
เหมือนว่าตอนนี้เขากลายเป็นความสุขของตน...
และเป็นความเศร้าในคราวเดียวกัน
เพิ่งปิดจบการ์ตูนเรื่องล่าสุดที่โด่งดังด้วยเนื้อเรื่องชวนฝัน และลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ของหล่อน ยอดวิวจึงพุ่งสูงจนนำไปเผยแพร่หลายประเทศ ล่าสุดเพิ่งได้รับการติดต่อขอนำการ์ตูนของเธอไปสร้างเป็นละคร หญิงสาวยังไม่ให้คำตอบเพราะเธอยังรักในตัวละครที่โลดแล่นเป็นรูปภาพ
ไม่มั่นใจว่าหากเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง จะสร้างความประทับใจเท่าที่ควรหรือเปล่า หากหล่อนสามารถพูดคุยหรือถามไถ่เรื่องราวเหล่านี้กับอาชาไนยได้ก็คงดี
“หนูไหม” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เธอต้องเหลียวมอง ก่อนรีบลุกยืนค่อยเดินมาหาแขกผู้คุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดี
คุณปวีณอรมารดาของอาชาไนยที่ยืนส่งยิ้มแล้วมองหล่อนด้วยแววตาเอ็นดู ท่านก้าวเข้ามาใกล้ลูกสะใภ้ ย่างกรายเข้ามาในเรือนหอของบุตรชายไม่กี่ครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทีของปาลิตา ทำให้คิดว่าคงต้องมาหาบ่อยๆ เสียแล้ว