๒ เป็นเพียงอากาศ (๒)
ของที่เตรียมถูกลำเลียงขึ้นบนรถ ดวงหน้าหวานจึงเหลือบไปทางบันไดที่ตนเพิ่งเดินลงมา “พี่ช้างลงมาหรือยังคะ เขาจะไปด้วยหรือเปล่า เมื่อวานพี่ช้างกลับดึกไหมหลับไปแล้วเลยไม่ได้ถาม” การจะเจอหน้าอาชาไนยแต่ละครั้งไม่ง่ายสักนิด
ถึงอยู่บ้านเดียวกันแต่เขาไม่ค่อยอยากยุ่งกับเธอเท่าไหร่ ยังดีที่เดี๋ยวนี้ยอมนำอาหารที่ภรรยาห่อให้ไปกินที่ทำงาน
“ยังไม่ลงมาค่ะ แต่ดูจากเวลาน่าจะใกล้ลงมาแล้วนะคะ คุณไหมลองชวนคุณช้างดูเถอะค่ะเผื่อจะไปด้วย” เมื่อพูดจบก็พอดีกับคุณผู้ชายลงมาข้างล่าง นางจึงเลือกจะเลี่ยงให้สามีภรรยาได้พูดคุยกัน ริมฝีปากบางเฉียบค่อยยกขึ้น แล้วยืนรอเขาอยู่ตีนบันไดบ้าน
“พี่ช้างคะ วันนี้วันเกิดไหมเลยว่าจะไปทำบุญที่วัด พี่ช้างว่างไปด้วยกันไหมคะ” ขาเรียวที่กำลังจะก้าวผ่านกลับหยุดชะงัก เหลียวมองดวงหน้าที่เหมือนกับคนรักเก่า
ถ้าเป็นวันเกิดของปาลิตา...ก็คงเป็นวันเกิดของปาลินด้วย
ความสับสนปรากฏในดวงตาเรียว แต่สุดท้ายก็เอื้อนเอ่ยในสิ่งที่เธอพอจะเดาได้อยู่แล้ว “ฉันมีนัดแล้ว..” อย่างไรอาชาไนยก็คงไม่อยากไปกับเธอหรอก
“ค่ะ”
ร่างหนาเดินห่างจากภรรยา ก่อนชะงักเท้าค่อยหันกลับไปมองคนที่ทำหน้าเสียดาย “แต่ถ้าเสร็จเร็วจะตามไปที่วัด” พูดจบค่อยเดินออกห่างเพื่อไปยังหน้าบ้านที่มีรถจอดต่อกันสองคัน
คันแรกคือรถตู้ที่ขนอาหารเต็มคันรถเพื่อไปวัด ส่วนคันที่สองเป็นรถยนต์ของอาชาไนยเตรียมพร้อมออกไปตามนัดตีกอล์ฟแต่เช้าตรู่
“ไหมจะรอนะคะ” ตะโกนไล่หลังถึงเขาจะไม่หันมาก็ตาม รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากหยักแล้วค่อยเดินไปยังรถตู้ที่จอดคอยท่า เตรียมของทุกอย่างหมดแล้วถึงเวลาต้องไปวัดสักที
รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าประตูวัดมาจอดลงหน้าศาลาการเปรียญ ค่อยลำเลียงหม้อใบใหญ่ขึ้นไปวางด้านบน แล้วจัดอาหารใส่ถ้วย ยกใส่ถาดใหญ่ที่ลวดลายเดียวกันไปวางตรงหน้าพระแต่ละรูป โดยมีร่างแบบบางคอยกำกับช่วยเหลือ แล้วจึงมานั่งกับแม่บ้านระหว่างพระท่านกำลังเทศน์
สองมือประนมไว้กลางอก นั่งพับเพียบศีรษะตั้งตรงด้วยความแน่วแน่ ถึงจะเหลือบมองประตูของศาลาการเปรียญบ่อยครั้ง หวังให้เป็นสามีที่ขึ้นมาก็ยังไม่เห็นเขาสักที
แต่แล้วก็มีร่างสูงของคนที่คุ้นเคย ส่งยิ้มมาให้แต่ไกลพลางรีบเดินมานั่งข้างหล่อน ก้มกราบสามครั้งแล้วยิ้มแฉ่ง “มาได้ไง เราไม่ได้ทักไปบอกไม่ใช่เหรอ” ท้วงเสียงเบาพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู ไม่อยากรบกวนคนอื่นที่กำลังตั้งใจฟังพระสวด
ไม่น่าเชื่อว่าปวัตรจะมา...
“เป็นเพื่อนกันมากี่ปีทำไมจะไม่รู้ว่าเธอชอบมาทำบุญวันเกิดที่วัด มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ถามจากคนที่บ้านจึงทราบว่าหล่อนมาวัดใกล้บ้าน เขาถึงได้รีบบึ่งรถมาทันทีกลัวจะไม่ทัน
“ไม่ต้องหรอก ตักอาหารใส่ถาดไปวางให้พระแล้วนั่งฟังเทศน์ก็พอ”
“ปีนี้เล่นใหญ่เลยนะ ทำอาหารมาซะเยอะ” มองโดยรอบแล้วเอ่ยชม ทำราวกับจะมาเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน น่าจะเตรียมการเอาไว้หลายวัน
“อือ เหมือนเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีไง” หลังจากแต่งงานเหมือนความสุขที่เคยรอคอยมันสิ้นสุดลง เธอได้เคียงข้างเขาในฐานะภรรยา แต่ใจของอาชาไนยที่ยังมีปาลินอยู่เต็มทุกห้องจนตนไม่อาจเข้าไปอยู่ข้างในได้
การแต่งงานจึงเหมือนบทลงโทษมากกว่าความสุข...
“พี่ช้างล่ะ...ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” มองโดยรอบกลับไม่เห็นคนที่ควรจะนั่งข้างหล่อน จากนั้นจึงเงียบเสียงลงเมื่อดวงหน้าหวานเริ่มหม่นแสง เขาเม้มปากแน่นรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ที่เอ่ยถึงชื่อของพี่ชายตนเอง
“พี่ช้างมีนัดน่ะเลยมาพร้อมกันไม่ได้ แต่เขาบอกถ้างานเสร็จจะรีบมาทันที” แก้ตัวให้สามีด้วยวาจาฉะฉาน ปวัตรจึงไม่ได้ไล่ต้อนอีกนอกจากนั่งข้างหล่อนเพื่อฟังพระเทศน์จนจบ
กระทั่งถึงบทสวดที่ต้องกรวดน้ำ หล่อนจึงหยิบที่กรวดน้ำสีเงินลายไทยซึ่งเตรียมมาจากบ้าน เตรียมจะเทลงในแก้วลวดลายเดียวกัน แต่กลับมีเงาทะมึนทาบทับร่าง พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องยิ้มแฉ่งรีบวางของในมือลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“พี่ช้างมาทันจริงด้วย” พึมพำกับเขาแต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้สนใจหล่อนเท่าไหร่
“ฉันต้องทำอะไร” ถามอย่างสงสัย เขาอุตส่าห์รีบขอตัวจากนักธุรกิจท่านอื่นเพื่อนมาทำบุญวันเกิดให้กับคนรักเก่าที่จากไป
“กรวดน้ำค่ะ นี่ของพี่ช้าง” หล่อนยกที่กรวดน้ำของตนให้เขา จากนั้นก็ขยับเข้าใกล้ชายหนุ่ม แตะมือที่ข้อศอกระหว่างที่พระท่านสวดบทกรวดน้ำ รอยยิ้มประดับริมฝีปากหยัก มีความสุขที่ได้ทำบุญร่วมกับสามี
ปวัตรทำได้แค่มองแล้วถอนหายใจ เขามาก่อนทั้งยังอยู่ข้างเธอมาตลอด ไม่เคยทำให้ปาลิตาเสียใจสักครั้ง ทำไมคนที่อยู่ในหัวใจเธอจึงเป็นตนไม่ได้
คนที่ใช่ไม่เห็นต้องทำอะไรสักอย่าง...เธอก็หลงรักหัวปักหัวปำ
หญิงสาวออกไปกรวดน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ปล่อยสองพี่น้องนั่งคุยกันอยู่บนศาลา คนอายุน้อยกว่าเหลียวมองพี่ชายแล้วนึกอิจฉา ทั้งที่อาชาไนยไม่ได้ทำอะไรแต่กลับได้หัวใจของหล่อนไปครอบครองโดยง่าย ต่างจากเขาซึ่งอยู่ข้างกายตลอดกลับที่เป็นได้แค่เพื่อนสนิท
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีความยุติธรรม ทุ่มเทให้หล่อนทุกอย่าง แค่การจะบอกชอบยังไม่มีสิทธิ์
ทำไมคนที่ถูกบังคับแต่งงานไม่ใช่ตน...
“พี่ไม่คิดว่านายจะมาด้วย” อาชาไนยเป็นคนเอ่ยปาก
“ผมเป็นเพื่อนกับไหมตั้งหลายปี ทำไมผมจะไม่มาล่ะ” ถึงพวกเขาจะอยู่รั้วบ้านเดียวกันแต่ก็ไม่ค่อยได้พูดคุย ความสัมพันธ์จึงเป็นแค่ญาติที่ไม่มีความสนิทสนม เพียงพูดคุยปราศรัยกันได้หากเจอตามโอกาส
“พี่มีธุระต้องไปทำ ฝากไปส่งปอไหมกลับด้วย” พูดคุยเพียงครู่เดียวก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ การมาวัดครั้งนี้ไม่ได้ต้องการทำบุญวันเกิดให้หล่อน แต่เขากำลังระลึกถึงแฟนเก่าที่ล่วงลับไปต่างหาก จึงได้ยอมมาแม้งานจะรัดตัว
หัวใจยังคงคิดถึงปาลินไม่เปลี่ยน...
ถึงเขาจะแต่งงานกับฝาแฝดของแฟนเก่า แม้คนทั้งสองจะมีหน้าตาเหมือนกันราวจับวางมากแค่ไหน แต่นิสัยที่แตกต่างสุดขั้วก็ทำให้แยกได้ทันที และเขายังคงรักปาลินไม่ใช่ปาลิตา
“ที่พี่มาทำบุญครั้งนี้ มาทำบุญวันเกิดให้ปอไหมหรือป่านทอ” คำถามที่รั้งให้อาชาไนยชะงัก ดวงตาคมเรียบเฉยติดเย็นชา คนเอ่ยถามเหมือนจะรู้คำตอบ แต่ที่เขาไม่รู้คือมีบุคคลที่สามเดินมาได้ยินพอดีจึงหยุดฟังด้วยใจที่เปี่ยมความหวัง
“นายน่าจะรู้คำตอบ ไม่เห็นต้องถามพี่เลย...พี่ทำเพื่อป่าน” ปาลิตายิ้มเย้ยตนกับความคาดหวังที่ไร้ค่า
เธอกำลังหวังให้เขามาเพื่อทำบุญวันเกิดให้ตนอย่างนั้นเหรอ...
ทั้งที่รู้ดีว่าสี่ห้องหัวใจของอาชาไนยมีแฝดพี่อยู่เต็มไปหมดจนไม่เหลือที่ว่างให้ตนได้แทรกเข้าไป...แม้แต่นิดเดียว
เมื่อทำบุญเสร็จเรียบร้อยก็เก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับ ระหว่างที่ลงมาจากศาลาการเปรียญ ดวงตากลมเหลือบมองสามีตลอดเวลา พยายามเดินเข้าไปใกล้เขาให้มากกว่าเดิม จากนั้นจึงรวบรวมความกล้า พลางแย้มยิ้มหวานเพื่อเอาใจคนหน้านิ่ง
ปวัตรที่เดินรั้งตามหลังนึกสงสารเพื่อนสนิทของตัวเอง เขารู้ดีว่าหล่อนรักอาชาไนยมากแค่ไหน แอบรักมาโดยตลอดเพิ่งได้มีโอกาสอยู่เคียงข้าง แล้วเหตุใดดวงตาสุกสกาวที่ควรมีแต่ความสุข จึงหม่นหมองนัก
“เย็นนี้คุณพ่อชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน พี่ช้างว่างหรือเปล่าคะ” ก้าวเท้าไปเดินเคียงข้างร่างสูง กว่าสองปีที่อีกฝ่ายคบกับพี่สาวของตน อาชาไนยจะมาฉลองงานวันเกิดที่บ้านเธอเสมอ ขณะที่คนแอบรักอย่างหล่อนก็ปลีกตัวออกห่างมักอ้างว่าติดงานแล้วไม่ไปร่วมงานวันเกิด
ทำได้เพียงฉลองอยู่คนเดียว...
บอกตัวเองเสมอว่าในอนาคตเขาต้องมาเป็นพี่เขย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้แต่งงานกัน อยู่ในสถานะสามีภรรยา
“ไม่ว่าง” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยในทันที จนคนชวนถึงกับหน้าเสีย แต่กระนั้นยังทำใจดีสู้เสืออยากชวนเขาคุยระหว่างเดินไปที่รถยนต์
“แล้วพี่ช้างจะกลับกี่โมงคะ”
“ไม่รู้” เดินมาถึงซีดานคันหรูของหนุ่มวิศวกร มือหนาจับประตูเตรียมจะเปิด กลับถูกหล่อนคว้าประตูเอาไว้เช่นเดียวกัน สายตาคมจึงรีบตวัดมองภรรยาในนามอย่างเอาเรื่อง พร้อมเปิดปากเพื่อจะเปิดศึก แต่ปวัตรที่นึกห่วงจิตใจของร่างบางก็รีบเข้ามาแกะมือนุ่มออกจากประตู ส่งยิ้มให้อาชาไนยเป็นการบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น
“พี่รีบกลับไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย” เขาดึงปาลิตาให้มายืนเคียงกาย แล้วผายมือให้พี่ชายเข้าไปในรถเพื่อตัดปัญหาไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อใจของเพื่อน
“อือ”
รถคันหรูถูกสตาร์ทแล้วขับออกจากวัดใกล้บ้านในเวลาต่อมา หลงเหลือเพียงเพื่อนสองคนที่นิ่งเงียบไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยออกจากปาก
มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองด้วยอารมณ์น้อยใจ อยากเป็นคนเข้มแข็งทว่าทำได้ยากเสียเหลือเกิน เมื่อใจเกือบทั้งดวงไปผูกติดไว้กับชายที่เขาไม่มีใจเสน่หาต่อหล่อนสักนิด
“วันนี้จะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านใช่ไหม ให้ไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า วันนี้ฉันว่างด้วยสิได้ไปฉลองวันเกิดที่บ้านเธอก็ดีเหมือนกัน คิดถึงสมัยเรียนมหา’ลัย เราไปขลุกที่บ้านเธอบ่อยมากจนแทบจะกลายเป็นฐานลับประจำกลุ่ม” ปวัตรที่ไม่ชอบเห็นน้ำตาของเธอก็รีบพูดเพื่อทำลายบรรยากาศแสนอึดอัด ให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติมากที่สุด
เขาไม่ต้องการเห็นปาลิตาเสียใจ...
“เอาสิ อาหารไม่อร่อยหรือบรรยากาศกร่อยอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน” ฝืนยิ้มแล้วบอกเพื่อนสนิท ค่อยเดินกลับไปยังรถของตัวเองเพื่อจะได้กลับเรือนหอ
“ไม่หรอกน่า”
เมื่อหล่อนตอบรับเขาก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เมื่ออาชาไนยไม่ไปก็ขอเป็นตัวแทนไปฉลองวันเกิดที่บ้านอีกฝ่าย แม้จะไปในสถานะของเพื่อนก็ตาม
คนรถลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย หล่อนจึงพยักหน้าเป็นการขอบคุณ จังหวะที่กำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถแขนเรียวกลับถูกคว้าไว้เสียก่อน ใบหน้าหวานจึงหันมามองปวัตรที่ยืนนิ่งเงียบเหมือนใช้ความคิด สร้างความฉงนให้แก่เธอเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้า...ถ้าเป็นฉันแทนพี่ช้าง เธอจะไม่มีวันได้ร้องไห้หรอก” ถามเสียงสั่นแล้วรอคอยคำตอบ แม้ใจจริงจะอยากบอกรักแต่รู้ดีว่าไม่ควร
นอกจากเธอจะเป็นเพื่อนสนิท ยังเป็นพี่สะใภ้ของเขาอีกด้วย...
“น่าเสียดายที่เราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนกันตลอดไป” หล่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตน เขาเป็นเพื่อนที่แสนดีเสมอ
“อือ เพื่อนกัน...ตลอดไป”
และจะเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง...