๑ ความเย็นชาจากสามี (๒)
“พี่ช้างน่าจะยังไม่ตื่น...เดี๋ยวไหมลองไปถามดีกว่า” รีบก้าวเท้าขึ้นบันได ห้องของพวกเขาอยู่ชั้นสาม ส่วนชั้นสองเป็นห้องนั่งเล่นและห้องสมุดรวมถึงห้องต้องห้ามของอาชาไนย ที่เธอไม่สามารถย้ำกรายเข้าไปใกล้ได้
บ้านมีลิฟต์แต่เธอไม่ใช้เพราะมันไม่ทันใจ ไม่นานก็มาหยุดหน้าของเขา ที่เงียบเชียบไม่ได้ยินเสียงเดิน คิดว่าชายหนุ่มอาจจะยังไม่ตื่น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เคาะประตูแล้วรอสักพัก เธอมือนาฬิกาที่ข้อมือกลัวว่าจะไปไม่ทันพระบิณฑบาต ไหนจะต้องซื้อของอีก กังวลระหว่างรอเจ้าของห้องมาเปิดประตู แต่ไม่นานบานไม้ทึบก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างของสามีในนามที่หน้ายุ่งบอกบุญไม่รับ
“ไหมจะไปใส่บาตรที่หน้าหมู่บ้าน พี่ช้างจะไปด้วยกันไหมคะ” ไม่ต้องลุ้นกับคำตอบ เพราะแค่ถามจบเขาก็สวนทันควัน
“ไม่” ปิดประตูใส่หน้าไม่เกรงใจสักนิด ร่างบางทำได้เพียงยิ้มจืดเจื่อน หัวใจเจ็บแปลบอีกครั้งแล้วกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล มันพาลจะคลอเบ้าทุกครั้งยามโดนอีกฝ่ายทำร้ายจิตใจ
แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบสักที...
ปาลิตาไปหน้าหมู่บ้านกับพี่แป้งที่เป็นแม่บ้าน เธอมีทักษะในการขี่จักรยานยนต์จึงให้อีกฝ่ายซ้อนท้ายแล้วไปด้วยกัน รีบซื้อของเท่าที่จำเป็นมารอใส่บาตร
ความจริงคนที่อยู่ข้างกายควรเป็นสามี แต่เพราะงานแต่งไม่ได้ถูกจัดด้วยความเต็มใจ แค่อยู่ใกล้เธอเขาก็ออกอาการฟึดฟัดไม่ค่อยชอบใจ แล้วอย่างนี้จะไปรอดได้อย่างไร
ไม่สิ...
ยังไงก็ต้องรอดมาถึงขนาดนี้แล้ว
เธอต้องพิชิตใจที่แข็งเหมือนหินของอาชาไนยให้ได้ ลองดูสักตั้งว่าต้องทำอย่างไร อาจใช้เสน่ห์ปลายจวักที่คุณย่าสอนมาแต่เด็ก เห็นจะมีดีบ้างก็เรื่องเข้าครัวทำงานบ้านงานเรือนนี่แหละ
“เดี๋ยวต่อจากนี้ไหมจะเข้าครัวด้วยนะคะ” กลับมาถึงบ้านก็เข้าครัวแล้วดูวัตถุดิบในตู้เย็นว่าตอนเที่ยงพอจะทำอะไรได้บ้าง
“อุ้ย ไม่เป็นไรค่ะ งานพวกนี้ของพวกพี่อยู่แล้ว” แม่บ้านอีกคนรีบปฏิเสธ
ความจริงงานบ้านพวกนี้สะใภ้ใหญ่ต้องเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่ทว่าเมื่อปาลิตาออกมาอยู่ข้างนอกกับสามีจึงไม่ต้องจัดการงานจุกจิกทั้งหลาย ครอบครัวใหญ่คนเยอะเรื่องก็แยะไปด้วย
คุณปวีณอร วัฒนารุ่งเรืองมารดาของอาชาไนยเป็นคนจัดการทุกเรื่องมาตั้งแต่ต้น ถูกใจพ่อแม่สามียิ่งนักเพราะนอกจากเป็นลูกนักการเมืองยศใหญ่ตระกูลสมฐานะกันแล้วยังเก่งงานบ้านงานเรือนอีกต่างหาก
“ไหมอยากทำค่ะ ช่วงนี้เคลียร์งานเสร็จแล้วด้วยยังไม่อยากเริ่มเรื่องใหม่” อาชีพของเธอคือวาดการ์ตูนและรับออกแบบโลโก้ งานศิลปะทั้งหลายหล่อนถนัดนักมักเอาศิลปะมาใส่ในอาหาร การจัดวางจานจึงมีเอกลักษณ์จนบิดามารดาชมไม่ขาดปาก
“คุณไหมจะรับอาหารเช้าพร้อมคุณช้างเลยไหมคะ” เธอนิ่งคิดแล้วส่ายศีรษะ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไหมไม่กินข้าวเช้า ขอเป็นชาเอิร์ลเกรย์ดีกว่า ใส่มะนาวให้ด้วยนะคะ...คิดดูอีกทีรับอาหารเช้าด้วยก็ดีค่ะ” ดื่มประจำจนชินเสียแล้ว มารดาอยากให้รับประทานข้าวมากกว่าจะได้กินครบสามมื้อ กลัวลูกสาวจะเป็นโรคกระเพาะ แต่ปาลิตาก็กินเพียงคำสองคำ ไม่มีความอยากสักนิด
ทว่าหล่อนอยากร่วมโต๊ะอาหารกับสามีนานหน่อย การกินข้าวดูเหมือนจะใช้เวลามากกว่าจิบเพียงน้ำชา ขอเพียงแค่ได้ยืดเวลาอยู่ด้วยกัน ต่อให้ทำสิ่งที่ไม่ชอบก็ยินยอม
เธอเดินออกจากห้องครัวไปยังสวนหลังบ้านที่เป็นเพียงผืนหญ้า พินิจครู่หนึ่งว่าควรจะทำอะไรกับพื้นที่ตรงนี้ดี ก่อนผุดไอเดียสร้างผักสวนครัว
“ลุงสนคะ ไหมอยากทำสวนผัก ลุงสนช่วยทำแปลงให้ได้ไหมคะ สักสามสี่แปลงเดี๋ยวไหมจะไปซื้อเมล็ดพันธุ์แล้วก็ของอย่างอื่น” พอดีกับที่คนสวนเดินมาหลังบ้านเพื่อจะเข้าไปกินข้าวเช้าที่ห้องครัวของคนรับใช้ เธอเห็นจึงได้เรียกไว้ก่อนเพื่อถามไถ่
“ได้ครับ คุณไหมอยากทำตรงไหนบ้าง” คิดครู่หนึ่งแล้วมองพื้นที่ว่าง
“อือ...เอาเป็นตรงนี้ถึงตรงนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวที่เหลือไหมจะซื้อชั้นวางแล้วปลูกใส่กระถาง ถ้าเป็นผักต่างประเทศลุงสนปลูกเป็นไหมคะ ไหมกลัวว่าถ้าปลูกเองจะตายมากกว่ารอด” วางแผนเดี๋ยวนั้นอย่างร้อนใจ เธอเพิ่งมีบ้านเป็นของตัวเองก็อยากจัดการทุกอย่าง
ถึงอาชาไนยจะไม่ออกปาก แต่เขาก็ยกทุกอย่างในบ้านให้หล่อนจัดการ ปาลิตาจึงเริ่มคิดอยากปรับปรุงบางส่วน โดยไม่ต้องรอถามความเห็นของชายหนุ่ม
“ได้ครับ” รับคำแล้วคุยกันสักพัก ค่อยเข้าด้านหลัง ปล่อยให้หญิงสาวชื่นชมสวนสักพัก ค่อยเดินมาข้างบ้านด้านซ้ายที่ติดกับห้องรับแขก
เธออยากทำสวนน้ำตกขนาดเล็ก ให้ความสดชื่นยามมอง ทั้งยังมีมุมพักผ่อนอีกต่างหาก อย่างไรก็มีต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ถ้าจะจ้างนักออกแบบสวนมาจัดการคงไม่ยาก
“คุณไหมคะ คุณช้างมารับประทานอาหารเช้าแล้ว”
“อ้อ เดี๋ยวไหมไปค่ะ” ผละจากงานตรงหน้าเพื่อเข้าบ้านแล้วไปรับประทานอาหารเช้าพร้อมสามี ใบหน้าหวานยิ้มแย้มมีความสุข ชีวิตที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้เป็นจริงแล้ว
หล่อนเห็นเขานั่งอยู่หัวโต๊ะพร้อมดื่มกาแฟด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือข้างขวาถือไอแพดเลื่อนอ่านเอกสารที่ส่งมาทางอีเมล เธอค่อยเลื่อนเก้าอี้ด้านขวาออกเสียงเบากลัวรบกวนสามี นั่งลงบนเก้าอี้พลางมองอาหารบนโต๊ะ
“เย็นนี้เราจะกลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ” ตอนแรกนึกว่าจะได้อยู่บ้านใหญ่กับครอบครัวเขาเสียอีก เธอกลัวว่าตนเองจะปรับตัวไม่ได้เพราะเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ อาจต้องรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างของบ้าน
แต่พอทราบเรื่องที่เขาย้ายออกมาอยู่คนเดียวก็โล่งใจ อย่างน้อยก็เป็นส่วนตัวไม่ต้องพยายามเข้าหาใคร เพียงแค่แวะเข้าไปทักทายพ่อแม่ฝ่ายชายบางคราวก็น่าจะพอ
“ฉันไม่ว่าง” ตอบเสียงไร้เยื่อใย เขาแทบไม่ฟังว่าหญิงสาวพูดอะไร นั่งอ่านเอกสารแล้วจิบกาแฟจนเกือบหมด
“ถ้างั้นเดี๋ยวไหมจะซื้อของไปไหว้ท่านวันหลัง พี่ช้างว่างวันไหนคะ” ยังพยายามจะชวนคุยถึงเห็นท่าทีไม่อยากเสวนาของเขา ทำใจดีสู้เสือถึงจะน้อยใจมากแค่ไหนก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
“ช่วงนี้ไม่ว่าง ถ้าเธออยากไปก็ชวนแม่บ้านไปแล้วกัน” ปาลิตาแสดงออกด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอกำมือแน่นไม่ยอมตักข้าวใส่ปากสักคำ ทำเพียงจ้องร่างสูงที่ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แต่ว่าเราควรไปด้วยกันนะคะ” ยังใจเย็นแล้วพูดกับเขาเสียงเรียบ
“น่ารำคาญ” วางแก้วกาแฟไว้ที่เดิมแล้วลุกจากเก้าอี้ หยิบเสื้อสูทพลางเดินออกจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว ปล่อยภรรยาให้ร้องถามเสียงหลง
“พี่ช้าง พี่ช้างจะไปไหนคะ” แล้วรีบลุกมาจับแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตากลมฉายแววเจ็บปวดที่ถูกกระทำเหมือนคนไม่สำคัญ
ไม่อยู่ในสายตาของเขาสักครั้ง
“เลิกทำตัวน่าเบื่อสักที เธอก็น่าจะรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ฉันไม่เต็มใจ ต่างคนต่างอยู่เถอะ แค่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักฉันก็อึดอัดจะแย่แล้ว”
คำว่าไม่ได้รักทำให้เธอไร้เรี่ยวแรง ปล่อยมือออกจากแขนหนาไม่กล้ารั้งเขาเอาไว้ มองตามแผ่นหลังกว้างไม่กล้าพูดอะไรอีก
รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รักแต่ก็ดันทุรังจะลองดูสักครั้ง สุดท้ายกลายเป็นตนที่บาดเจ็บหนัก ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้น ค่อยทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ห้องอาหารเพียงลำพัง
แม่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้าพูดหรือเข้าไปปลอบหล่อน ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ แล้วเอาใจช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายโดยเร็ว สักวันคุณช้างจะต้องหันกลับมารักปอไหมบ้าง
แต่ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงวันนั้นสักที...
หลังเลิกงานเขาเลือกจะมาดื่มที่บาร์กับเพื่อนสนิทแทนการกลับบ้าน อาชาไนยไม่ต้องการกลับไปเห็นหน้าคนที่เหมือนแฟนเก่า ทำให้หวนนึกถึงยามรักกันจนไม่อาจตัดใจได้
เหมต์ อัศวากิตติ์เพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก คบหามานานจนรู้ไส้รู้พุงหมด มีเรื่องอะไรก็สามารถปรึกษาและบอกความลับของอีกฝ่าย เขาเป็นตัวตั้งตัวตีให้เพื่อนคนนี้เดินหน้าจีบปาลิน ทว่าทางรักกลับถูกตัดขาดเมื่อฝ่ายหญิงด่วนจากโลกไปก่อนเวลาอันควร
เหมือนโลกของอาชาไนยถล่มลงตรงหน้า เสียศูนย์ไปพักใหญ่และเปลี่ยนจากคนอบอุ่นเป็นชายหนุ่มแสนเย็นชา
“มึงไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง เดี๋ยวเมียก็เป็นห่วงหรอก” งานแต่งยิ่งใหญ่แห่งปี ถึงฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ได้เป็นคนในวงการบันเทิง แต่เพราะตระกูลใหญ่โตทำให้นักข่าวแห่มาทำข่าวตลอดทั้งงาน
เจ้าบ่าวแทบจะไม่ยิ้มแย้มและเหมือนคนโดนบังคับมาแต่งงาน แต่ก็หล่อเหลาเหมาะสมกับฝ่ายหญิงจนเป็นที่กล่าวขานไม่หยุดปาก
สมกันราวกิ่งทองใบหยก...
“กูไม่มีเมีย” ตามความคิดเขายึดถือว่าตนยังโสด ถึงจะมีผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสรออยู่บ้านเดียวกันก็ตาม หล่อนเป็นแค่คนที่บิดาหามาให้ ไม่มีผลกับหัวใจสักนิด
“ไม่รักเขาแล้วแต่งงานกับเขาทำไมวะ สงสารน้องไหม”
“สงสารทำไม เขาแต่งงานก็มีแต่ได้กับได้ พ่อกูได้เส้นสาย พ่อเขาก็ได้คนช่วยเหลือ เขาแอบชอบกูก็สมหวัง ทุกคนแฮปปี้หมดเลย” ยกแก้วเหล้าดื่มอึกใหญ่ ทุกคนมีความสุขกันหมด
ยกเว้นเขา...
“แต่มึงก็ตัดสินใจแต่งเองไม่ใช่เหรอ”
“แล้วกูมีทางเลือกมากนักหรือไงล่ะ” โดนบังคับขนาดนั้น เอ่ยปากอะไรออกไปก็คงไม่ได้หรอก แค่ยอมให้เขาแยกครอบครัวออกมาอยู่เองก็มากเกินไปแล้ว
“กูล่ะเชื่อเลยจริงๆ ชีวิตมึงโคตรแฟนตาซี นึกว่านิยายสมัยก่อน” แค่นหัวเราะในลำคอแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย กลัวว่าจะสร้างบรรยากาศแสนอึดอัดมากกว่านี้ ตนเข้าใจเพื่อนเป็นอย่างดีแต่ก็อดสงสารผู้หญิงที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวไม่ได้
ปาลิตาเป็นคนนิสัยดีและค่อนข้างน่ารัก เขาก็อยากให้เพื่อนลองเปิดใจให้เธอบ้าง อย่างไรก็แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว
แต่กลายเป็นว่าอาชาไนยนอกจากไม่เปิดใจยังหาเหตุผลเกลียดอีกต่างหาก คงยากที่จะลงรอยกันได้ในเร็ววัน
ห้องครัวถูกคุณผู้หญิงของบ้านครอบครองผู้เดียว หล่อนเตรียมทุกอย่างตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนเย็นก็ยังไม่เสร็จ ตั้งใจทำเองทุกขั้นตอนไม่ว่าจะแกะสลักผักและผลไม้ หรือหั่นผัก ปาลิตาใส่ใจเพราะอยากให้อาชาไนยประทับใจบ้าง
“คุณไหมพอเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกป้าทำเอง” แม่ครัวเข้ามาบอกเพราะหล่อนขลุกอยู่ที่นี่ทั้งวันไม่ยอมไปไหน สวนก็ให้คนอื่นจัดการแทน
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ไหมทำได้ ไม่อยากคุยเลยว่าไหมถนัดงานครัวมากเลยนะคะ คุณย่าสอนมาอย่างดีเลย” คุณย่าของเธอเคยทำงานอยู่ห้องเครื่องในรั้วในวังมาก่อน จึงค่อนข้างมีความรู้เรื่องอาหารจนมาถ่ายทอดให้หลานสาวคนโปรด
ตอนแรกจะสอนทั้งปาลินและปาลิตา แต่เพราะคนพี่ไม่ชอบงานครัว ทำให้น้องสาวต้องรับหน้าที่แทนทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอาหาร ปักผ้า ร้อยมาลัย ทำความสะอาด คุณย่าถ่ายทอดจนหล่อนจำขึ้นใจ
“แค่เห็นอาหารก็รู้แล้วค่ะ ป้าลองชิมอร่อยมาก คุณช้างจะต้องชอบ” แม่ครัวคนเก่งยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดช่วงเช้าที่โดนเขาพูดจาทำร้ายจิตใจ
“ใช่ไหมคะ พี่ช้างจะชอบใช่ไหม”
แม่ครัวพยักหน้าอีกรอบเพื่อเป็นการให้กำลังใจ หล่อนจึงทำอย่างตั้งใจแล้วนำของทุกอย่างไปตั้งโต๊ะเพื่อรอสามีกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมานั่งทำงานตรงห้องรับแขกที่จะเห็นคนเข้ามาทันที
มือวาดการ์ตูนในไอแพด สลับกับมองหน้าประตูและเงี่ยหูฟังเสียงรถที่จะเข้ามาในบ้าน ปกติอาชาไนยจะเลิกงานช่วงหกโมงเย็น กลับถึงบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่ม แต่นี่สองทุ่มแล้วทำไมยังไม่กลับสักที
ทำงานรอไปเรื่อยจนท้องร้องด้วยความหิว
สองทุ่ม...ยังไม่มา
สามทุ่ม...ยังคงเงียบ
สี่ทุ่ม...ดวงตากลมเริ่มโรยแรง
ห้าทุ่ม...หล่อนฟุบหลับอยู่โซฟา
กระทั้งได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้านจึงรีบลุกจากโซฟา แล้วเดินไปรอเขาที่หน้าประตู ฉีกยิ้มกว้างเพื่อจะรับเสื้อสูทหรือกระเป๋าที่ชายหนุ่มถือมาด้วย
ทว่ากลิ่นตามตัวของอาชาไนยทำให้ทราบว่าเขาไปกินเลี้ยงสังสรรค์จากข้างนอก แค่เดินตรงยังทำได้ยากเลย
“พี่ช้างหิวไหมคะ ไหมทำข้าวเย็นไว้..” กำลังจะจับแขนแต่ชายหนุ่มสะบัดหนีก่อน มือเล็กจึงนิ่งค้างกลางอากาศ ก่อนปล่อยแนบข้างลำตัวด้วยใบหน้าจืดเจื่อน
“ฉันไม่กิน” ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วเดินขึ้นข้างบน ปล่อยร่างบางมองตามพลางเดินไปนั่งลงบนโซฟา ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก กระทั่งแม่บ้านที่อยู่ในครัวเพื่อรอคุณผู้ชายเป็นเพื่อนเธอต้องเดินออกมาถาม
“จะให้เก็บอาหารเลยไหมคะ”
“ค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เก็บของมากอดเอาไว้แนบอก ค่อยค้อมศีรษะให้คนอายุมากกว่าแล้วรีบขึ้นบันไดเพื่อไปห้องของตัวเอง ซ่อนน้ำตาเอาไว้ไม่อยากให้คนอื่นเห็น เพราะทั้งเช้าหล่อนก็ร้องไห้จนตาบวมไปหมด