บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

เบื้องหน้านั้น คือเส้นทางกว้างที่เข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกแห่งหนึ่ง ท้องทุ่งสีเหลืองทองตัดอยู่กับสีเขียวมรกตของหมู่สนที่ขึ้นลําต้นอยู่เรียงราย ฝูงปศุสัตว์ต่างกระจัดกระจายอยู่ในท่ามกลางความไพศาลของทุ่งหญ้าแห่งนี้ โดยมีโคบาลคอยไล่ต้อนอยู่ด้านข้าง

และที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าคือตัวอาคารที่เป็นบ้านของเขาเอง มันเป็นบ้านหลังเดียวในชีวิตที่โอลด์ทอมรู้จัก ความรู้สึกภาคภูมิใจอัดแน่นขึ้นมาในอก มันก่อให้เกิดพละกําลังขึ้นในจิตใจอย่างมหาศาล เขาจับตามองพวกโคบาลที่กําลังทํางานกันอยู่เบื้องหน้า พยายามบังคับให้วัวฝูงนั้นเดินรวมกลุ่มกันอยู่

“ไอ้งานโคบาลนี่มันเป็นงานที่น่าเบื่อที่สุด” พ่อเต่าเปรยออกมาดัง ๆ ทําลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ลง “นอกจากจะรายได้ต่ำแล้วก็ยังต้องคลุกอยู่กับความสกปรก อยู่กับฝุ่นละอองทั้งวัน งานที่ทํากันหลังแทบหักทีเดียว ไม่ได้มีความเจริญรุ่งเรืองหรือความโรแมนติกอยู่ในงานแบบนี้เลย”

“ผมว่าเรื่องการไล่ปศุสัตว์ก็ไม่แพ้กันหรอกนะพ่อ” แบนน่อนพูดยิ้ม ๆ

“แกคิดว่าฉันไม่รู้งั้นเรอะ” พ่อเฒ่าพ่นเสียงหัวเราะออกมา “ฉันน่ะอยู่กับธุรกิจแบบนี้มากกว่าหกสิบปีแล้ว และสิ่งที่ฉันได้รับมาจากมันก็คือกระดูกสันหลังที่ลั่นดังกว่าเสียงอานรองหลังม้าเสียอีก แต่ถึงยังไงเราก็ยังอยู่หน้าธนาคารก้าวหนึ่งละ”

“จริง” รอยยิ้มอ่อน ๆ ที่ฉาบขึ้นทําให้ใบหน้าของแบนน่อนดูอ่อนกว่าวัยลง และยังช่วยลดความกร้าวกระด้างลงได้ไม่น้อย

“แต่ไม่ว่าแกจะมีความคิดเห็นขัดแย้งยังไงก็ตามทีเถอะ นี่คือวิถีชีวิตที่ลูกผู้ชายทุกคนควรจะเป็น อยู่อย่างคนตีนติดดิน จะทําให้แกสามารถมองเห็นฤดูกาลที่เปลี่ยนไป และได้สัมผัสความรู้สึกว่าวงจรแห่งชีวิตนั้นมันเป็นยังไง” เจ้าม้าสีน้ำตาลปนแดงตัวนั้นบุกผ่านลงไปในลําธารสายแคบ น้ำใส ๆ ขุ่นขึ้นด้วยโคลนตมจากก้นบึ้งทันที

“เมื่อออกมาอยู่ที่นี่ แกจะไม่ได้พบเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องมือสมัยใหม่หรือกลิ่นอายที่เหม็นเน่าของตัวเมืองหรอก ไม่มีกําแพงที่จะมาขวางกั้นแกไว้ เมื่ออยู่ที่นี่สิ่งที่แกจะได้พบเห็นก็มีแต่สภาพของอากาศ น้ำใส ๆ หญ้าเขียว ๆ แล้วก็ฝูงปศุสัตว์ กับมนุษย์ที่ยืนหยัดต่อสู้กับทุกสิ่งที่ภูเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นไว้เพื่อต่อสู้กับมนุษย์ที่บุกเดี่ยวเข้ามา และตรงนี้แหละที่ทําให้แผ่นหลังของมนุษย์แข็งขึ้น ทําให้เขามองเห็นโลกในแง่มุมที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ”

“ก็อาจเป็นไปได้”

“แกว่ามันอาจเป็นไปได้เท่านั้นน่ะเรอะ...นรกน่ะสิ มันเป็นยังงั้นจริง ๆ”

“นั่นสินะพ่อ” รอยยิ้มอย่างเอาใจฉาบขึ้นบนริมฝีปากอีกครั้ง

แบนน่อนผู้ได้รับการสั่งสอนอบรมมาจากผืนแผ่นดิน ให้รู้จักระมัดระวังตน ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท และให้ตระหนักถึงทุกสิ่งที่แวดล้อมอยู่รอบกายตลอดเวลา กวาดสายตามองไปโดยรอบ ไปหยุดอยู่เป็นครู่ตรงเทือกเขาด้านทิศเหนือ เขารู้ว่าฤดูหนาวได้เริ่มคืบคลานเข้ามาแล้ว และเพียงชั่ววันหรือชั่วคืน หิมะก็จะโปรยปรายลงตกแต่งผืนแผ่นดินให้กลายเป็นสีขาวไปเสียสิ้น เขารู้จักแผ่นดินนี้อย่างดี และความรู้สึกที่ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินนี้นั้นสร้างความปิติยินดีให้อัดแน่นขึ้นในอก

มันเป็นแผ่นดินแห่งความเป็น “ที่สุด” ของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นแผ่นดินที่เงียบสงัดจนลึกลับ เสียงลมที่หอนโหยหวน ความเขียวขจีของพรมหญ้าที่สดสวยปานสีมรกต ดวงอาทิตย์ที่แผดแสงแรงกล้าอยู่เหนือศีรษะ และในท่ามกลางสายฝนที่สาดซัดลง คือแสงแปลบปลาบของสายฟ้าที่ฟาดฟันลงอย่างไร้ความปรานี ยามอรุณรุ่งในฤดูหนาว อากาศจะโปร่งใสราวแก้วผลึก

และ ณ ที่นั้นคือเทือกเขาร็อคกี้ ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ไว้ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย แผ่นดินที่สร้างความกร้าวแกร่งให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ แผ่นดินที่มีอํานาจอันลึกลับเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้ามามีอํานาจเหนือได้ มันกําจัดความอ่อนแอออกจากจิตใจมนุษย์ และจะสอดใส่แววตาแบบใหม่ลงไว้ในตัวเขา แววตาที่ไม่มีวันจะจางแสงลง กับหัวใจที่ไม่มีวันอ่อนแออย่างเด็ดขาด

รถลิมูซีนคันนั้นหยุดสนิทลงเบื้องหน้าคฤหาสน์ต่างระดับที่ตั้งอยู่ภายในกําแพง ซึ่งมีหน่วยรักษาความปลอดภัย ยืนรักษาการณ์อยู่ตรงหน้าประตูรั้วเหล็กตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่นี่คือย่านสตาร์วู้ด ซึ่งจัดว่าเป็นตำบลที่หรูหราที่สุดแห่งแอสเพน คฤหาสน์หลังนี้แผ่กว้างอยู่บนไหล่เขาที่สามารถมองลงไปเห็นตัวเมือง เป็นอาคารที่มีโครงสร้างประกอบขึ้นด้วยไม้ ศิลา และผนังกระจกสูง พรั่งพร้อมด้วยระเบียงอาบแดด ลานเฉลียงและมุขที่ยื่นออกไปรับสายลมกับแสงตะวัน

“ถึงแล้ว” จอห์น เทรวิส เอ่ยขึ้นขณะช่วยพยุงคิทออกจากที่นั่งทางด้านหลัง เธอหยุดอยู่ข้างเขามองดูบ้านหลังนั้นอยู่ ชื่นชมกับการวางระดับตามแนวเรขาคณิตที่ช่วยให้ตัวบ้านเข้ากับสภาพธรรมชาติอันประกอบด้วยภูเขาสูงที่เด่นตระหง่านอยู่ทางด้านหลัง เขาชี้มือไปที่ตัวบ้านพร้อมกับบอกว่า

“มันตั้งอยู่อย่างสงบเงียบมากทีเดียวเห็นไหม”

“ไม่จริงหรอกจอห์น ที. บ้านหลังนี้จะไม่มีวันเป็นอย่างที่คุณว่าแน่” คิทพูดออกมาตามความรู้สึกแท้จริง แววในดวงตาบอกอารมณ์ขึ้น “บ้านหลังนี้จะไม่มีรู้จับการสงบเสงี่ยมอย่างที่คุณคิดด้วยซ้ำ”

“คุณอาจจะพูดถูกก็ได้นะ” รอยผ่าตรงคางกดลึกลง เมื่อเขาตอบเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ฉันต้องพูดถูกแน่” เธอหันหลังให้กับตัวบ้าน สภาพแวดล้อมยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด หมู่สนและพุ่มไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามขึ้นอย่างเป็นอิสระ ไม่มีร่องรอยว่าจะมีมือของคนสวนเข้าช่วยตัดแต่ง แต่การที่มันจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ผู้ที่ดูแลจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการรักษาพันธุ์ไม้อย่างดี

“โอ้โฮ ดูวิวด้านนี้สิ” พอล่าซึ่งยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของรถมองดูวิวหุบเขาที่มีชื่อว่าโรริ่ง ฟอร์ก วอลเล่ย์, ตัวเมืองแอสเพน และเทือกเขาเอลค์ เมาเท่น “คุณน่าจะลงมือถ่ายทําที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลยนะชิพ” เธอหันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างตัว “คิดดูสิว่าถ้าเปิดกล้องขึ้นที่นี่สีสันมันจะบรรเจิดเพริดพรายขนาดไหน”

“ไม่สําเร็จหรอก” เขาไม่พยายามอําพรางความห้วนห้าวในน้ำเสียงที่ตอบปฏิเสธออกไปเสียด้วยซ้ำ “ฉากของไว้ท์ ไล จําเป็นจะต้องมีบรรยากาศของฤดูหนาว ภาพที่แอสเพนปกคลุมอยู่ด้วยหิมะ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะเปิดกล้องได้ที่ไหน” เขาประสานมือเข้าด้วยกันท่าทางเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

“เราจะต้องขึ้นไปให้ถึงยอดเขาตามเส้นทางที่เขาใช้วิ่งสกีลงมา ซึ่งจะทำให้มองเห็นภาพตัวเมืองแอสเพนได้อย่างเต็มที่และเป็นมุมกว้าง กล้องจะโฟกัสที่ผู้หญิงสามคน แต่งตัวในชุดสกีเลิศหรูสีสดใส ทั้งสามคนจะหันหลังให้กับกล้อง จากนั้นเราจะดึงภาพเข้ามาทีละน้อยๆ...” น้ำเสียงของเขาบอกทั้งอารมณ์และความรู้สึก

“จากนั้นอีเด็นก็จะปรากฏตัวออกมา มีแว่นกันแดดสวมปิดตาไว้ ผมสีบลอนด์ปล่อยสยายกระจายอยู่ในแรงลม เธอจะวิ่งสกีลงมาตามแนวลาดของไหล่เขา กล้องจะตามภาพเธอไปจนสุดทาง เมื่อถึงเชิงเขาเธอจะหยุดอยู่ตรงนั้นพร้อมกับถอดแว่นออก แม็คคอร์ดจะรอเธออยู่ตรงนั้น” ชิพหยุดเว้นระยะลดมือที่ประสานกันอยู่ลง “จากนั้นกล้องจะแพนไปที่ภาพตัวเมืองแอสเพนที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน” เขายุติการบรรยายลงด้วยสีหน้าบ่งบอกความพอใจ

“สมบูรณ์ที่สุดเลยชิพ” คิทพยักหน้าสนองตอบ “ฉันชอบภาพที่คุณวาดขึ้นมาก”

เขาหันขวับมามองหน้าเธอ แววในดวงตาบอกความตกใจอยู่

“เอ้อ ผมก็ลืมถามไป ว่าแต่คุณเล่นสกีเป็นหรือเปล่าล่ะคิท”

เธอเกือบจะยั่วเขาด้วยการปฏิเสธออกไปแล้วว่า เล่นไม่เป็น แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าชิพไม่ใช่คนอารมณ์ขันจึงตอบออกไปว่า

“ฉันใช้เวลาอยู่กับเนินเขานั่นติดต่อกันสักสองสามปีเห็นจะได้ แต่ถ้าจะให้ตอบคําถามคุณตอนนี้เลยก็เห็นจะต้องบอกว่า...ฉันก็นักสกีคนหนึ่งทีเดียวนะ” เธอพูดยิ้มๆ “เพียงแต่วิ่งในที่ราบได้ดีกว่าวิ่งลงมาจากที่สูงเท่านั้น”

“ผมวางแผนไว้แล้วว่าจะใช้ตัวแทนตอนที่วิ่งสกีลงมาจากภูเขา ซึ่งต้องใช้ความเร็วอย่างค่อนข้างน่ากลัวอันตรายอยู่” ชิพออกเดินไปทางหลังรถ “แต่ผมต้องการให้คุณวิ่งสกีเข้ามาในเฟรม กล้องจะต้องจับให้เห็นภาพใบหน้าของคุณ ถ้าจะต้องมีการตัดต่อในฉากนี้มันอาจจะทําให้เกิดความเสียหายขึ้นได้” เขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างตัว เอียงคอมองแว่นสายตาหนาเปอะทําให้หน้าตาของเขาดูคล้ายนกฮูก

“ตอนที่คุณวัดตัวตัดเสื้อผ้าเมื่ออาทิตย์ก่อน โซฟี่เขาให้คุณดูรูปสเก็ตช์ชุดสกีที่คุณจะต้องสวมเข้าฉากหรือเปล่า”

“ให้ดูแล้ว” โซฟี่ เดอวิตต์ คือนักออกแบบเครื่องแต่งกายสําหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ความสามารถของเธอกําลังจะกลายเป็นตํานานแห่งฮอลลีวู้ดไปแล้ว

“ผมว่าคุณลืมสิ่งที่เขาให้คุณดูเสียให้หมดดีกว่า เพราะผมโยนทิ้งไปหมดแล้ว สีสันมันผิดจากความต้องการของผมทั้งหมด” ชิพเอื้อมมาจับแขนพาเธอเดินตรงไปยังบันไดที่ทอดขึ้นสู่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนั้น

“ผมไม่ต้องการให้อีเด็นแต่งตัวด้วยสีเหลืองสลับดําเหมือนสีกิ้งก่าอะไรทํานองนั้น เพราะอีเด็นในทัศนะของผมเป็นผู้หญิงที่มีระดับมากกว่านั้นนัก สีสันของเสื้อผ้าจะต้องสดใสเด่นกว่านักสกีคนอื่น ๆ ตอนที่วิ่งสกีลงมาจากเนินสูงนั่น ผมปรึกษากับโซฟี่แล้วและคิดว่ากางเกงสกีควรจะเป็นสีม่วงเข้มของพลอยอะมิทีส ส่วนแจ๊คเก็ตควรจะเป็นสีฟ้าเข้มมีเลื่อมลายเหมือนสีรุ้งที่เป็นสีม่วงเข้าไว้”

“โก้มากเลย” คิทหยุดอยู่ตรงประตูด้านหน้ามองดูห่วงทองเหลืองที่ขัดมันวาววับ

มัวรี่วิ่งขึ้นมาหยุดอยู่บนบันไดชั้นบนสุด หอบหายใจหนักหน่วง

“ไอ้บันไดบ้านี่สูงชะมัดเลย” เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก “เล่นเอาผมแย่ไปเหมือนกัน”

“ก็มันสูงกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้วนี่” คิทพูดเป็นเชิงอธิบาย “คุณน่าจะรู้ว่าแอสเพนน่ะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแปดพันฟุต เมื่อขึ้นมาอยู่บนนี้มันก็เกือบเก้าพันฟุตเข้าไปแล้ว”

“น่าจะเตรียมออกซิเย่นไว้มั่ง” มัวรี่หอบหายใจ

“ไหน...คุณว่าอะไรนะ” พอล่าพูดเสียงเบา และมัวรี่ส่ายหน้าอย่างอ่อนระโหย

“ผมหายใจแทบไม่ออกเลยจริง ๆ”

จอห์นเดินไปเปิดประตูบ้านออก หันมาบอกกับเขาว่า

“ผมว่าคุณเข้าไปเป็นลมข้างในดีกว่า”

“ขอบคุณพระเจ้า” พอล่าพึมพําอยู่ในลําคอเดินตามคิทเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งจะต้องขึ้นบันไดเตี้ย ๆ อีกสี่ขั้นจึงจะถึงห้องโถงทางเดิน แต่แล้วเธอก็หยุดชะงักจับแขนคิทไว้แน่น “คิท ที่นี่น่ะมันไม่ใช่คฤหาสน์หรอกนะ น่าจะเรียกว่าวังหิมะจะถูกต้องกว่า”

“ใช่ เป็นคําจํากัดความที่เหมาะที่สุด” คิทตอบอย่างเห็นด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel