บทที่ 10
ห้องโถงทางเดินนั้นองค์ประกอบล้วนเป็นสีขาว ทั้งผนังกระจกเคลือบ พื้นหินอ่อนและบันได โคมระย้าขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กับเพดานเป็นรูปก้อนน้ำแข็งที่มีเกล็ดระย้าย้องลงมาในรูปแบบทันสมัย ประกอบด้วยเงินและแก้วผลึก ความสว่างไสวของมันเน้นสีขาวของห้องให้กระจ่างขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ทําให้ตาพร่าไปกับแสงสว่างที่เกิดอยู่ภายใน
ยิ่งกว่านั้น ก็ยังมีสีขาวที่สะท้อนออกมาจากห้องที่เลยประตูบานคู่ด้านซ้ายอีกด้วย ด้วยความใคร่รู้ ทําให้คิทเดินลงบันไดเตี้ย ๆ อีกสองขั้นไปดู และพบว่ามันเป็นห้องรับแขกที่เพดานประดับด้วยโคมระย้าอีกเช่นกัน เพียงแต่ว่าภายในห้องนี้สีขาวของผนังกับเครื่องเฟอร์นิเจอร์ถูกตัดด้วยสีน้ำตาลของพื้นห้องที่เป็นไม้โอ๊ค ตรงมุมห้องมีเตาผิงขนาดใหญ่สีขาวอีกเช่นกันตั้งอยู่ แต่เธอไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก
ทั้งนี้เพราะเธอกําลังตื่นตาตื่นใจกับผนังกระจกขนาดมหึมาที่เผยให้เห็นทิวทัศน์อันน่าตื่นตะลึงของเทือกเขาภายนอก สีสันแห่งฤดูกาลที่ห่มเทือกเขาไว้ ทําให้บรรยากาศภายในห้องเพิ่มความสวยสดงดงามอย่างน่าละลานตา
“มันจะเป็นภาพที่น่าตื่นใจที่สุดเมื่อถึงฤดูหนาวตอนที่ภูเขาทั้งลูกปกคลุมอยู่ด้วยหิมะ” คิทหันไปทางคู่สนทนาซึ่งคิดว่าเป็นพอล่า แต่ปรากฏว่าคนที่กําลังยืนเคียงข้างเธออยู่ในยามนี้คือจอห์น
“ใช่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืน เมื่อมีแสงสีจากตัวเมืองแอสเพนเป็นประกายสะท้อนขึ้นมาเหมือนหยิบดาวลงไปประดับไว้กับพื้นดิน” เขาลูบไล้พวงผมเธออยู่ “แต่ถ้าจะดูให้เห็นชัดกว่านี้จะต้องมองจากหน้าต่างห้องนอนใหญ่” เขาเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าเธอ “ผมคิดว่าคุณจะต้องชอบแน่”
“แค่ที่เห็นอยู่นี่ก็หลงรักแล้วละ” คิทตอบโดยไม่จําเป็นต้องใช้ความคิด
“ผมหมายถึงห้องนอนใหญ่ที่เป็นห้องชุดต่างหากล่ะ”
“ก็คงจะชอบอีกนั่นแหละ คิทตอบอย่างยอมรับ ยามที่อยู่ใกล้ชิดเขาเช่นนี้ มันทําให้เธอรําลึกนึกถึงจุมพิตอันร้อนเร่า รสสัมผัสที่ยังติดตราตรึงใจ กับความรู้สึกที่ถูกปลุกเร้าให้ตื่นตัวขึ้น
“งั้นเราจะรออยู่ทําไมล่ะ” เขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เสียงพูดนั้นอ่อนทุ้มนุ่มนวลยิ่งนัก เป็นน้ำเสียงที่ทําให้มองเห็นภาพยามที่ร่วมรักกับเขา
“อาจจะเป็นเพราะฉันยังมองเห็นรอยแผลเป็นจากที่ไฟลวกไว้ครั้งก่อนละมัง” คิทตอบเรียบ ๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยตกหลุมรักมาแล้ว เป็นความรักที่ลึกซึ้ง รักอย่างทอดกายถวายใจให้ มันเป็นความรักแบบเดียวที่เธอรู้จัก แต่ในที่สุดมันก็เป็นเพียงรักที่ถูกเมิน
ตราบเท่าทุกวันนี้เธอไม่เคยลืมความเจ็บช้ำรานร้าวกับความรักครั้งกระนั้นเลย และนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เธอจึงระมัดระวังตนอย่างยิ่งที่จะไม่สร้างความผูกพันทางร่างกายให้เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะในชีวิตการเป็นนักแสดงของเธอจะต้องใช้อารมณ์กับความรู้สึกเข้ามาช่วยอยู่ตลอดเวลา
“ยิ่งกว่านั้นนะจอห์น ที.” คิทพยายามแต่งน้ำเสียงให้สดใสเข้าไว้ “คุณเองก็ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงน่ะมีความมั่นคงในจิตใจแค่ไหน”
“ที่คุณพูดมามันก็จริงอยู่หรอกนะ” เขาพิจารณาความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่อย่างเคร่งขรึม “แต่ผมมีความรู้สึกอยู่ว่า ถ้าเป็นคุณแล้วความรู้สึกที่ผมจะมีมันจะต้องแตกต่างกว่าผู้หญิงคนอื่นแน่ แตกต่างกันอย่างมากทีเดียวละ”
คิทเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ยื่นหน้าเข้าไปจูบเขาตรงแก้มเบา ๆ
“เรื่องอย่างนี้มันต้องขึ้นอยู่กับเวลาด้วย”
ก่อนที่เขาจะทําให้จบนั้นยืดเยื้ออย่างที่ใจต้องการมัวรี่ก็เดินลงบันไดเข้ามาในห้อง และคนอื่น ๆ ก็พลอยเดินตามเข้ามาด้วย
“นี่คือสิ่งที่คุณจัดเตรียมไว้เพื่อความสุขของตัวเองจริง ๆ นะจอห์น เทรวิส” มัวรี่มองไปทางบาร์ที่ตั้งอยู่ข้างผนังด้านหนึ่ง ไม่ใส่ใจกับสายตาบอกความรําคาญของจอห์นเลยแม้แต่น้อย “คุณมีสระว่ายน้ำด้วยหรือเปล่านี่” เขาเดินไปยังประตูกระจกที่เปิดออกสู่ระเบียงที่ปูด้วยพื้นไม้
จอห์นจุดบุหรี่พ่นควันออกมาเป็นทางยาว สายตามองตามร่างคิทที่เดินไปหยุดพิจารณาแจกันกระเบื้องเคลือบอยู่
“ที่นี่ เรามีสระทั้งภายในและภายนอก นอกจากนั้นก็ยังมีเซาว์น่า, อ่างอาบน้ำร้อน ห้องออกกําลังกาย ห้องใต้ดินที่ใช้เก็บไวน์มีการควบคุมอุณหภูมิอย่างดีเยี่ยม แล้วก็ยังมีห้องบิลเลียด สตูดิโอส่วนตัว ทุกอย่างที่จะอํานวยความสะดวกทั้งในชีวิตการทํางานและความเป็นส่วนตัว
“อ้าว...แล้วไม่มีรางโบว์ลิ่งด้วยหรอกหรือ” มัวรี่ถามอย่างเป็นเรื่องขัน
“ไม่มีหรอก” จอห์นหันไปมองชิพ “สําหรับห้องแถลงข่าวนั่นจะมีทั้งเครื่องฉายหนังกับจอเตรียมไว้พร้อมเลย เราสามารถฉายหนังให้ผู้สื่อข่าวได้ชมกันทันที”
“เยี่ยมมาก” สีหน้าของชิพแจ่มใสขึ้นเมื่อได้รับฟังเรื่องนี้
“ถึงแม้จะไม่มีเครื่องอํานวยความสุขหรือสิ่งที่ทําให้เจริญหูเจริญตาขนาดนี้ บ้านหลังนี้มันก็ยังสวยที่สุดอยู่นั่นเอง” อีวอน เดวิส ยืนอยู่กลางห้อง กวาดสายตามองเครื่องแต่งบ้านล้ำค่าด้วยความชื่นชม “คุณคงมาที่นี่บ่อย ๆ สินะคะจอห์น”
“ถ้าจะให้พูดกันตามความจริงละก้อ ผมแทบจะไม่ค่อยมีโอกาสมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ และกําลังคิดจะขาย...”
“ทําไมล่ะ” คิทร้องอย่างแปลกใจไม่ทันสังเกตว่าเขายังพูดไม่จบประโยค
“ผมซื้อบ้านหลังนี้มาเมื่อห้าปีก่อนในราคาล้านห้าแสน แต่ราคาในตลาดวันนี้มันขึ้นไปเกือบจะห้าล้านอยู่แล้ว” คําบอกเล่าของเขาทําให้มัวรี่ถึงกับผิวปากวืด
“โอ้โฮ ได้กําไรงามจริง ๆ”
“ใช่ กําไรงามมาก” จอห์นพ่นควันบุหรี่อย่างสบายอารมณ์
“ผมคิดว่าคราวนี้คุณคงวางแผนที่จะให้บริษัทเช่าบ้านหลังนี้เพื่อการถ่ายทําหนังเรื่องใหม่สินะ อย่างน้อยก็ยังได้เงินเป็นค่าใช้จ่ายสักสองสามเหรียญบ้าง” มัวรี่เดา
“เวลาที่หนังอยู่ในระหว่างการถ่ายทํา มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องฉากที่ใช้ประกอบเรื่องอยู่แล้ว” นั่นคือคําตอบของจอห์น เทรวิส
“เพียงแต่ว่าความสุขสบายมันไม่เท่าเทียมกันเท่านั้น” มัวรี่พูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่คุณคิดจะเช่าอะไรบางอย่างแบบเดียวกันนี้ให้คิทอยู่หรือเปล่าล่ะ”
จอห์นดับบุหรี่ลงด้วยอาการกระแทกกระทั้น ถามตัวเองอยู่ในใจ...ว่าเจ้าหน้าโง่คนนี้มันไม่รู้บ้างเลยหรือว่า ถ้าเขาต้องการอะไรเป็นพิเศษให้กับนักแสดงแล้ว เขาจะต้องระบุลงไว้ในสัญญาด้วย
“ไม่จําเป็นหรอกมัวรี่” คิทสอดขึ้น “ฉันอยู่ที่บ้านไร่ได้”
จอห์นตวัดสายตามองหน้าเธอแวบหนึ่ง และรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบความคิดเช่นนั้นของเธอเลย
“ดูไปก่อนก็แล้วกัน” เขายุติเรื่องลงเพียงแค่นั้น ซึ่งก็พอดีกับที่โนแลน วอล์คเกอร์ กับเอ๊บ ซิกเลอร์ เดินเข้ามาในห้อง ทั้งสองต่างอยู่ในชุดที่พร้อมจะทํางานด้วยกันทั้งคู่
“เราคิดว่าได้ยินเสียงคุยกันอยู่ในห้องนี้” โนแลนเดินแกมวิ่งลงบันไดมา เขาเป็นคนรูปร่างสะโอดสะอง ผิวสีน้ำตาลท่าทางกระฉับกระเฉงแคล่วคล่อง
เอ๊บเดินตามหลังมาติด ๆ สัมผัสมือกับชิพก่อนจะถามทุกคนขึ้นว่า
“เพิ่งมาถึงกันหรือครับนี่ การเดินทางเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“อย่าไปถามเขาเลย” พอล่าสอดขึ้นทันที “เพราะชิพน่ะนั่งหลับตามาตลอดทาง”
“แล้วคุณสองคนหายไปอยู่ที่ไหนกันมาล่ะ” ชิพไม่สนใจในคําพูดของเธอ “คิดว่าจะไปรับเราที่สนามบินเสียอีก”
“ลงไปอยู่ในห้องยิมเพื่อให้คลายความตึงเครียดน่ะสิ” โนแลนตอบ “ยังเข้าท่ากว่าจะไปยืนแขวนรอเวลาเครื่องบินเข้าไปไหน ๆ”
“ขอโทษนะที่ต้องขัดจังหวะหน่อย” อีวอน เดวิส เอ่ยขึ้น “แต่คุณช่วยชี้ทางไปห้องฉันหน่อยก่อนได้ไหมคะจอห์น หรือว่าถ้าจะให้ดีนะ... ถ้าจะพิจารณาความใหญ่โตมโหฬารของบ้านหลังนี้ ฉันว่าคุณเขียนแผนที่แจกเลยจะดีกว่า ตอนนี้ฉันมีงานด่วนอีกสองสามเรื่องจะต้องทํา”
“งั้นก็ช่วยบอกฉันด้วย” พอล่ายกมือขึ้นเสยผมสีแดง “ฉันก็อยากจะล้างหน้าล้างตาเหมือนกัน”
“ห้องเหรอ...” เอ๊บทําเสียงเหมือนครางออกมา “นี่มีการพูดถึงเรื่องห้องพักที่นี่กันด้วยงั้นหรือ”
“เดี๋ยวคาร์ล่าจะเป็นคนพาพวกคุณไปห้องพัก” จอห์นพยักหน้าไปทางผู้หญิงคนที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างประตู แม้หล่อนจะอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดํา แต่มันก็ไม่ช่วยลดขนาดของรูปร่างใหญ่โตเท่าไรนัก
“ทําไม มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องร้องที่นี่ล่ะ” ชิพถามเพราะเกิดสงสัยในคําพูดของเอ๊บขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องห้องที่นี่หรอก” โนแลนช่วยอธิบาย “คือเอ๊บแทบจะหัวหงอกเพราะหาที่พักให้กับเจ้าหน้าที่ในกองถ่ายอยู่แล้ว”
“ใช่ ถ้าโชคดี เราก็อาจจะพอหาที่พักให้กับทุกคนในบาซอลท์หรือเกลนวู้ด สปริง ได้” เอ๊บทําเสียงบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ผมหวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะว่าการทําเช่นนั้นมันหมายถึงว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง แล้วก็ยังเวลาที่ต้องเสียไปในการเดินทางนั่นอีกด้วย”
“อ้าว...แล้วเราจะให้ทุกคนพักอยู่ด้วยกันในตัวเมืองแอสเพนนี้ไม่ได้หรือไง” ชิพขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อในคําบอกเล่านั้น
“ไม่มีทางหรอก นอกเสียจากจะไปเล่นเก้าอี้ดนตรีอยู่ตามโมเต็ล และรับรองได้เลยว่าผลที่เกิดตามมาก็คือ เจ้าหน้าที่ทุกคนในกองถ่ายจะทํางานกันอย่างไม่มีความสุขถ้าจะต้องเปลี่ยนห้องอยู่ทุกสี่ห้าวัน”
“รู้สึกว่าการพูดคุยเรื่องนี้เหมือนการประชุมก่อนหน้าที่จะมีการถ่ายทํา เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่รังเกียจจะก้อ ฉันเห็นจะต้องขอตามคาร์ล่าไปอีกคนแล้วละค่ะ” คิทหันไปบอกกับชายหนุ่ม
ใจหนึ่งจอห์นอยากจะเรียกเธอไว้ หรือจะให้ดีกว่านั้น ก็คือออกเดินตามเธอไปเสียเลย แต่เขาก็ไม่ได้ทําทั้งสองอย่าง เพียงแต่มองตามร่างที่วิ่งขึ้นบันไดไปเท่านั้น