บทย่อ
คิท มาสเตอร์ส สาวสวยผมทองผู้กําลังจะได้เป็นดาวโรจน์แห่งฮอลลีวู้ด ต้องหวนกลับมาสู่ แอสแพน แผ่นดินทองแห่งโคโลราโด ซึ่งเธอหลีกลี้ไปนับสิบปีอีกครั้ง เพื่อตามหาหัวใจที่เธอทําหล่นหายไว้กับหนุ่มชาวไร่ และทนายความผู้กร้าวแกร่ง ทอม แบนน่อน ซึ่งทําให้หัวใจของเธอแทบแหลกสลาย เมื่อเขาแต่งงานไปกับสาวหนึ่ง เธอจะต้องเลือกเอาอย่าง ระหว่างชื่อเสียงและความรัก จะทําอย่างไรเพื่อให้อนาคตเป็นไปอย่างที่หวังตั้งใจไว้ โดยเฉพาะเมื่อมี ซอนดร้า ฮัดสัน เป็นผู้คอยขัดขวางคุกคามอยู่อีกคน
บทที่ 1
เครื่องบินเจทลำนั้นบินฝ่าไปในท่ามกลางอากาศเย็นเยือกของฤดูใบไม้ร่วง และขณะนี้ ส่วนหัวได้เริ่มลดลงช้า ๆ ในมุมที่เที่ยงตรงเตรียมพร้อมที่จะร่อนลง เบื้องล่างคือเทือกเขาร็อคกี้ที่ปกคลุมด้วยป่าสนเขียวครึ้ม มันเป็นแผ่นดินแห่งป่าชัฏ แผ่นดินที่ไม่มีวันโรยรา แต่ขณะเดียวกันก็ดํารงความสวยงามอันซ่อนเสน่ห์ลึกลับไว้ ความกว้างใหญ่ไพศาลของแผ่นดินแห่งนี้นั้น ปราศจากขอบเขตอันจํากัด ท้าทายในความเข้มแข็งของมนุษย์ทุกผู้ ขณะเดียวกันก็หยันเยาะต่อผู้อ่อนแอ ไม่เคยประหวั่นหรือสนใจไยดีในมนุษย์ทุกผู้ที่ต้องการจะใช้อํานาจเหนือมัน
ณ แผ่นดินแห่งนี้ ครั้งหนึ่งฝูงกวางเอลค์ได้ขึ้นมากินหญ้าอยู่บนทุ่งกว้างเหนือภูเขาสูง และบัดนี้วัวพันธุ์ผสมระหว่างเฮียร์ฝอร์ดกับแบล็ค-แองกัส กว่าห้าร้อยตัวกําลังเดินตามกันเป็นฝูง ตัดผ่านท้องทุ่งสีเหลืองทองแห่งฤดูใบไม้ร่วง ขนาบข้างอยู่ด้วยโคบาลที่คอยควบคุมฝูงของมันกว่าหกคน
ทางด้านขวานั้นสายน้ำแห่งแอสเพน โกลด์ ทิ้งตัวกระแทกกระทั้นอยู่กับแก่งหินที่ลดหลั่นลงตามแนวลาดของภูเขา ซอนเซาะเข้าไปในปราการสีเขียวเข้มของป่าสนและเอ่ออาบออกไปยังท้องทุ่งกว้างใต้โค้งครอบแห่งขอบฟ้า
แสงอาทิตย์สาดกระทบอยู่กับลําเครื่องบินเป็นประกาย โอลด์ทอม แบนน่อน ทันเห็นแสงที่สว่างวาบจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ละความสนใจจากฝูงปศุสัตว์ที่กําลังถูกต้อนไปยังทุ่งหญ้าฤดูหนาวซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสโตน ครีก แรนช์ ลงชั่วคราว
หมวกปีกกว้างเก่าแก่ที่สวมอยู่บนศีรษะนั้นเป็นสีน้ำตาล มันเก่าพอ ๆ กับใบหน้าในวัยแปดสิบสองที่ช่วยบังร่มเงาให้อยู่ ฝ่ามือใหญ่โตกระชับอยู่กับปุ่มอาน จุดกระสีน้ำตาลกระจายอยู่ทั้งบนหลังมือและตามเนื้อตัว และวันวัยที่ผ่านไปก็เปลี่ยนเรือนผมให้เป็นสีเทาไปนานแล้ว
ดวงตาคู่ใหญ่ลุ่มลึกคู่นั้นซ่อนอยู่ใต้ขนคิ้วหยิกหยอง ขณะนี้มันกําลังกวาดไปทั่วท้องฟ้าอันกระจ่างสดใสแห่งเดือนตุลาคมเพื่อมองหาที่มาของแสงแปลบปลาบ สิ่งที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากการหวนรําลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่ต้อนปศุสัตว์แบบเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน ๆ ทันทีที่เขาเห็นเครื่องบินลำเพรียวงามที่พุ่งผ่านลงมาจากท้องฟ้าราวลูกธนู สันกรามก็นูนเด่นขึ้น
“แกเห็นไอ้พวกหน้าโง่นั่นมั่งหรือเปล่า” โอลด์ทอมชี้มือไปทางเครื่องบินให้ลูกชายที่ชื่อ ทอม แบนน่อน เช่นเดียวกับเขาดูภาพที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า “อยากรู้นักว่า พวกมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้บินต่ำขนาดนั้น ไอ้พวกนี้ล้วนแต่โง่เง่าเบาปัญญากันทั้งนั้น”
ทอม แบนน่อน มองตามมือพ่อพิจารณาเครื่องบินเจท ส่วนตัวลํานั้นด้วยสายตาครุ่นคิด ในวัยสามสิบหก รูปร่างหน้าตาของเขา ราวเป็นภาพจําลองของผู้เป็นพ่อในวัยหนุ่ม ใบหน้าแกร่งกร้าวราวหินผา เต็มไปด้วยริ้วรอยของคนที่ต่อสู้กับงานหนักมาตลอด ใบหน้าที่อาจจะไม่หล่อเช่นผู้ชายสํารวยทั่วไป แต่กระนั้นผู้หญิงที่ได้พบก็ยังต้องมองซ้ำ คนที่รู้จักเขาจะเรียกเขาง่าย ๆ ว่า แบนน่อน และเขาก็เป็นเช่นนั้นมานับแต่วาระที่พ่อเห็นเขาเป็นครั้งแรก และเอ่ยปากออกมาว่า
“มันเป็นแบนน่อนทั้งเนื้อตัวและสายเลือดทีเดียว”
เสียงพ่อกําลังเอ่ยออกมากึ่งเยาะหยันว่า
“พนันกันก็ได้ ฉันว่าไอ้ปัญญาอ่อนคนไหนสักคนในฮอลลีวู้ดมันจะต้องบินชมวิวก่อนจะร่อนลงที่แอสเพน แกเชื่อไหมล่ะ”
ทันทีที่แบนน่อนมองเห็นเครื่องหมายของโอลิมปิค พิคเจอร์ ที่เขียนอยู่ข้างลําตัวเครื่องบิน เขาก็พอจะรู้ว่าใครควรจะอยู่บนเครื่องบินลํานั้นบ้าง แต่ไม่ยอมเสียเวลากับการสอดส่องให้รายละเอียดมากไปกว่านั้น เขาเหลือบตามองไปทางฝูงปศุสัตว์ที่แออัดกันอยู่เบื้องหน้าประตูรั้วที่เปิดกว้าง ดูเหมือนพวกมันจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้าบ้างแล้ว
“เน็ด...แฮงค์” เขาตะโกนเรียกโคบาลที่ขี่ม้าขนาบอยู่รอบนอก “รีบตอนมันเข้าประตูก่อน เร็วเข้า”
เขาตวัดสายตามองไปทางด้านหลังของฝูงปศุสัตว์เพื่อหาลอร่า ลูกสาววัยเก้าขวบ และก็พบว่าเจ้าหล่อนนั่งอยู่บนหลังม้าที่รั้งท้าย ทั้งศีรษะและช่วงไหล่ส่ายไหว ดีดนิ้วเป็นจังหวะกับเสียงเพลงที่ผ่านมาทางซาวน์อะเบ๊าท์ ท่าทางบอกให้รู้ว่ากําลังสนุกสนานอยู่กับเสียงเพลงในจังหวะร็อค จนไม่ได้ยินคําสั่งของเขา
แบนน่อนผิวปากเป็นสัญญาณเตือนให้สุนัขสองตัวที่วิ่งขนาบข้างเจ้าม้าด่างตัวที่ลูกสาวขี่อยู่ และทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณดังกล่าว เจ้าสุนัขทั้งสองก็พุ่งตัวเข้าไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์เป็นพัลวัน ขณะที่แบนน่อนบังคับม้าให้วิ่งไล่ต้อนเจ้าตัวที่ยังอ้อยอิ่งไม่ยอมเข้าประตูไปง่าย ๆ เขาไม่สนใจกับเสียงร้องราวจะทักท้วงของพวกมัน ขณะที่ส่งเสียงตะโกนไล่ บ่วงบาศที่ถืออยู่ในมือฟาดกับต้นขาอยู่เป็นระยะ ๆ
จากยอดเนินนั้น โอลด์ทอมจับตามองดูการทํางานของลูกชายกับพวกโคบาลอยู่ รู้ดีว่าเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มกึกก้องทําลายความเงียบอยู่นั้น ไม่มีทางที่จะต้อนฝูงวัวให้เข้าสู่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ได้ง่าย ๆ ขณะนี้เครื่องบินเจทลํานั้นบินต่ำลงมามาก จนเขาสามารถมองเห็นแว่นกันแดดสีดําที่นักบินสวมป้องกันแสงแดด และเห็นใบหน้าที่แนบอยู่ตรงช่องหน้าต่างได้ชัดถนัดตา
“เฮ้ย... ระวังอย่าให้แตกฝูงนะโว้ย...ระวังอย่าให้มันแตกฝูง” เขาตะโกนสั่งลูกชายแข่งกับเสียงเครื่องยนต์อยู่
เครื่องบินลํานั้นกระหึ่มผ่านไป โดยบินอยู่ในระดับสามร้อยฟุตเหนือไหล่เขากับฝูงปศุสัตว์ เสียงเครื่องยนต์ที่กึกก้องประสมประสานอยู่กับเสียงร้องของฝูงวัว สร้างความสั่นสะท้านให้เกิดขึ้นทั้งในอากาศและพื้นดิน เจ้าม้าสีแดงที่พ่อเฒ่าขี่อยู่ ซึ่งไม่เคยหวั่นไหวกับเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ขณะนี้มันกําลังต่อต้านกับมือที่บังคับให้มันวิ่งโค้งเป็นครึ่งวงกลม หางชี้ด้วยความตกใจ
ในความรู้สึกของโอลด์ทอม ภาพของฝูงปศุสัตว์ที่แตกตื่น ภาพของโคบาลที่ควบม้าไล่ต้อนล้วนแล้วแต่เป็นภาพแห่งความหลังเมื่อครั้งวัยเด็กทั้งสิ้น และกับภาพที่ผุดขึ้นในความทรงจําหลากหลายเหล่านี้ ทําให้เขามีความรู้สึกราวกับได้กลับเป็นหนุ่มขึ้นอีกครั้ง จึงกระแทกโกลนบังคับม้าให้วิ่งไล่ตามปศุสัตว์ที่แตกฝูงไปในทันที
ไกลออกไป โอลด์ทอมมองเห็นหลานสาวที่กําลังบังคับม้าอย่างสุดความสามารถ พยายามควบคุมเจ้าม้าด่างของเจ้าหล่อนที่กําลังตื่นตกใจอยู่ เขารู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของหลานสาวยิ่งนัก เพราะนับแต่วันที่ลอร่าเริ่มสอนพูดสอนเดิน เขาก็เริ่มสอนให้เธอรู้จักวิธีการขี่ม้าอย่างถูกต้องและฝึกฝนเพื่อความชํานิชํานาญแล้ว ลอร่าอาจจะนั่งอย่างตามสบายอยู่บนหลังม้าได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องทรงตัวไว้ให้มั่นเตรียมพร้อม ถ้าม้าที่เธอขี่อยู่จะเกิดเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันขึ้นมา
และแล้วเขาก็เหลือบไปเห็นกําแพงป่าสนอนทึบทะมึนเข้า รู้ดีว่าถ้าวัวตัวใจตัวหนึ่งวิ่งเข้าไปในระหว่างหมู่ไม้แล้วมันจะกระจายตัวออกราวใบไม้ต้องสายลม อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันหรือถึงสองวันกว่าที่จะไล่ต้อนพวกมันให้มารวมตัวกันได้อีก
“เฮ้ย...พยายามตอนมันให้ออกมาอยู่กลางทุ่งหญ้าไว้” เขาตะโกนสั่งเสียงหลง “อย่าให้มันวิ่งเข้าป่าได้เชียวนา...”
แต่กับเสียงเครื่องยนต์ที่คำรนคำราม เสียงฝีเท้าปศุสัตว์ที่กระแทกพื้นดินอยู่สนั่นหวั่นไหว ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนสั่งนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็มองเห็นอยู่ว่ามันไม่จําเป็นเท่าไรนัก เพราะแบนน่อนลูกชายของเขาก็มองเห็นเหตุการณ์เดียวกันนั้นอยู่ จึงโผนม้าออกจัดการกับเจ้าตัวจ่าฝูง ไล่ต้อนมันไว้ได้ก่อนที่มันจะทันวิ่งเข้าป่าสนไป
โอลด์ทอมจับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ มันก็เคยมีอยู่บ้างบางครั้งที่เขาจะต้องควบมาไล่ต้อนฝูงวัวด้วยตนเอง แต่ทว่าวันเวลาอย่างนั้นได้ผ่านไปแล้ว เขาจะไม่ต้องเหนื่อยยากเช่นที่เคยเป็นมาอีก...