บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

ภายในห้องผู้โดยสารที่ได้รับการตกแต่งไว้อย่างหรูหรา พรั่งพร้อมด้วยเครื่องอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ของเครื่องบินเจทลำนั้น คิท มาสเตอร์ส นั่งคุกเข่าเกาะพนักที่นั่งกํามะหยี่โซฟามองออกไปนอกหน้าต่าง

มือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาลูบแผ่นหลังได้เรื่อยลงไปจนถึงเนินสะโพก รอยยิ้มฉาบขึ้นบนเรียวปาก สัมผัสอันคุ้นเคยบอกให้คิทรู้ว่ามันเป็นมือใคร เธอเหลือบตามองไปข้างหลัง ยกมือขึ้นจับปอยผมเหน็บเข้ากับหลังใบหู ขณะที่จอห์น เทรวิส ลดร่างที่มีส่วนสูงหกฟุตสองนิ้วลงบนเบาะโซฟาหนานุ่ม ตะแคงร่างมาทางเธอ

เขาเหยียดยิ้ม อันเป็นเครื่องหมายการค้าของตนเองออกมา มันเป็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความมีเล่ห์เหลี่ยมและเลศนัย รอยยิ้มที่เปลี่ยนใบหน้าของเขาจากผู้ชายทรงเสน่ห์ธรรมดามาเป็นเสน่ห์อันร้ายกาจสําหรับผู้หญิง

“ได้ยินนักบินบอกว่า ขณะนี้เรากําลังบินอยู่เหนือบ้านคุณแล้ว พอจะมีอะไรที่คุ้นตาบ้างหรือยังล่ะ” เขามองออกไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ศีรษะเกือบจะแนบอยู่กับพวงผมสีน้ำผึ้ง

“ก็เกือบทุกอย่างนั่นแหละ” คิทเหลือบตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็ง องค์ประกอบที่ได้สัดส่วนและคางผ่าซีก เป็นใบหน้าที่ส่งเสริมเสน่ห์ให้กับเขาอย่างมากมาย และชวนใจให้เพศตรงข้ามใคร่จะได้สัมผัส มันเป็นส่วนผสมขององค์ประกอบที่เขาได้นํามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองมากที่สุด นับแต่วันที่จอห์น เทรวิส ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งฮอลลีวู้ดเมื่อสิบห้าปีก่อน และได้กลายเป็นดาราภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ขณะมองหน้าเขาอยู่นั้น คิทบังเกิดความรู้สึกราวกับว่าได้รู้จักเขาดีมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว เธอเพิ่งได้ทําความรู้จักกับเขาเป็นครั้งแรกเมื่อหกสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ตอนที่เธอได้รับการเรียกตัวไป “ออดิชั่น” เพื่อหาผู้แสดงนําฝ่ายหญิงในภาพยนตร์เรื่อง “ไว้ท์ ไล” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่กําลังจะถ่ายทํากันเร็ว ๆ นี้ และเป็นบทบาทที่เธอได้รับการคัดเลือก โดยมีกําหนดถ่ายทําในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

คิทหันกลับไปทางหน้าต่างอีกครั้ง อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงชีวิตที่ส่งชื่อเสียงเธอให้พุ่งขึ้นเมื่อหกสัปดาห์ก่อน มันพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ และเธอก็รักทุกนาทีที่ผ่านไป แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังรอเวลาที่ตนเองจะได้กลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้นอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง

“ถ้ารู้สึกว่าทุกอย่างข้างหน้านั่นมันคุ้นตาก็บอกให้ผมฟังมั่งสิว่าขณะนี้เรากําลังอยู่ตรงไหน และอะไรเป็นอะไร” จอร์น เทรวิส มองหน้าเธออยู่ มันมีแววบางอย่างปรากฏอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

“ตอนนี้เรากําลังบินอยู่เหนือสโตน ครีก” คิทตอบเรียบ ๆ พยายามสะกดความรู้สึกแปลบเสียวที่ผ่านเข้ามาในใจ ประสาทในเรือนกายตึงเครียดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้เห็นภาพข้างล่างนั้น

“สโตน ครีก งั้นหรือ” จอห์นถามย้ำเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง “ผมไม่เห็นว่าข้างล่างนั่นจะมีเกาะแก่งตรงไหนเลย”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเธอเรียกสายตาของชิพ ฟรีแมน ซึ่งเป็นทั้งผู้กำกับและผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องไว้ท์ ไล แต่ในทันทีที่ดวงตาซึ่งต้องสวมแว่นสายตาสั้นไว้หนาเปอะมองเห็นภาพอันน่าเกรงขามของเทือกเขาสีทองที่เลยไกลออกไปจากหน้าต่างเครื่องบิน เขาก็รีบสะบัดหน้าหนี ลูกกระเดือกแล่นพล่านอย่างเห็นได้ชัด มือที่จับแขนเก้าอี้แน่นกระชับจนข้อนิ้วเป็นสีขาว

มัวรี่ โรส บุรุษรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้เป็นเอเย่นต์ของคิท ไม่ได้แสดงท่าว่าจะได้ยินสิ่งที่เธอกําลังพูดอยู่ เพราะเขากําลังเกลี้ยกล่อมอีวอน เดวิส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้พยายามหาทางให้คิทได้ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลที่ เจ.ดี.ลาสซิเตอร์ มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของบริษัทภาพยนตร์โอลิมปิค พิคเจอร์ส จัดขึ้นในตอนค่ำวันนั้น

ผู้โดยสารอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ในห้องโดยสารของเครื่องบินเจทลำนั้นคือพอล่า แกรนท์ นางเอกละครโทรทัศน์ ผู้มีเรือนผมสีแดงเข้ม ผิวผ่องราวตุ๊กตากระเบื้อง และมีดวงตาสีเขียวขาบ ความงามกับเรือนร่างเพรียวระหงได้สัดส่วน ทําให้เธอเหมาะกับบทบาทนางอิจฉาที่แสดงอยู่ได้อย่างดี เธอนั่งฟังคิทกับจอห์น เทรวิส คุยกันอย่างไม่สนใจเท่าไรนัก ขณะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ให้ความสนใจกับทัศนียภาพของเทือกเขาสีทองภายนอกมากกว่า

“สโตน ครีก เป็นชื่อไร่ปศุสัตว์ที่อยู่ติดกับไร่ของเรา” คิทพูดเป็นเชิงอธิบาย

‘ของเรา’...เธอรู้สึกสะท้อนใจกับการเลือกใช้คํานั้น เพราะโดยความเป็นจริงเธอไม่อาจเรียกไร่ปศุสัตว์ “ซิลเวอร์วู้ด” ว่า “ของเรา” ได้อีกต่อไป ภายหลังจากที่พ่อได้เสียชีวิตลงเมื่อแปดเดือนก่อน และความเป็นเจ้าของที่ดินสี่ร้อยเอเคอร์นั่น ก็ได้ตกทอดมาถึงเธอแต่ผู้เดียว

ภาพของพ่อ...บุรุษผู้มีผิวคล้ำกร้านเกรียมและใบหน้าที่ยังหล่ออยู่มาก ผู้มีชื่อว่าคลิ้นท์ มาสเตอร์ส ได้ปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง คิทตระหนักมานานนักหนาแล้วว่า เธอรับมรดกในสายเลือดที่รักอิสระ ความบันดาลใจที่จะหาสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิตอย่างไม่มีวันหยุดยั้งมาจากเขา

เธอไม่ได้กลับมาเยี่ยมไร่อีกเลย นับแต่วันที่ทําพิธีฝังศพพ่อ ซึ่งทั้งนี้มิได้เป็นเพราะไม่อยากมา เพียงแต่สถานการณ์ไม่อนุญาตให้เท่านั้น แม้จะใช้ความพยายามแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจมองเห็นภาพบ้านไร่ที่ปราศจากพ่อ ปราศจากเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขนั่นได้

“ดูฝูงวัวที่วิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้านั่นสิ” พอล่า แกรนท์ ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “แล้วก็ยังพวกโคบาลที่กําลังไล่ต้อนนั่นอีกด้วย นี่คิท...เธออย่าบอกฉันนะว่าที่นี่เวลานี้ยังมีการใช้ชีวิตตะวันตกแบบสมัยเก่าอยู่”

คิทมองไปทางฝูงปศุสัตว์ที่กําลังวิ่งพล่าน แล้วทําเสียงครางอยู่ในลําคออย่างไม่พอใจ

“ตายจริง นี่เราทําให้พวกปศุสัตว์อื่นเสียแล้วละ ถ้าโอลด์ ทอม รู้ว่าเป็นเครื่องลําที่พาฉันมาละก้อเป็นเด็ดหัวแน่”

“ซึ่งก็หมายความว่า โอลด์ ทอม คนนั้นเป็นเจ้าของปศุสัตว์ฝูงนี้สินะ” เมื่ออยู่ในระยะชิดใกล้เช่นนี้ จอห์น เทรวิส สามารถมองเห็นแผงขนตาที่อ่อนช้อยราวปีกผีเสื้อ จุดกระบาง ๆ บนดั้งจมูก และปากโค้งมนได้รูปอย่างชัดเจน

“ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบ รอยยิ้มอ่อนหวานฉาบขึ้นบนเรียวปาก และเพราะรอยยิ้มนี้เองที่ทําให้บังเกิดความประทับใจในตัวเธอนับแต่วันที่พบหน้ากันครั้งแรก

ถ้าจะมองกันอย่างผิวเผิน คิท มาสเตอร์ส ก็ไม่ได้แตกต่างกว่าสาวสวยผมบลอนด์นับจํานวนพันผู้บริสุทธิ์ยั่วยวนใจ ซึ่งเดินทางมาจากแคลิฟอร์เนีย และประสบความสําเร็จในฮอลลีวู้ด

แต่กระนั้น ดวงตาคู่สีฟ้าเข้มราวพื้นน้ำในทะเลสาบ ก็ยังเน้นความงามบนใบหน้าของเธอให้เด่นขึ้น ความลุ่มลึกในแววตาคู่นั้นราวจะแอบแฝงความลึกลับที่เหลือจะหยั่งไว้ บ่อยครั้งที่จอห์น เทรวิส อดสงสัยไม่ได้ ว่าเขาจะมีวันหยั่งรู้ให้ลึกซึ้งถึงจิตใจเธอได้หรือไม่ แม้ในยามที่กลิ่นกายจะหวนหอมอบอวลอยู่ใกล้จมูกก็ตามที เขารู้ว่าตัวเองเป็นที่สนใจของผู้หญิง ไม่จําเป็นต้องไขว่คว้าก็จะมีผู้หญิงวิ่งเข้ามาหาเอง แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อคิทนั้น มันแตกต่างกว่าผู้หญิงคนอื่นมาก

“ตอนนี้พวกเขากําลังต้อนปศุสัตว์ลงมาจากทุ่งหญ้าฤดูร้อน” คิทพูดเป็นเชิงอธิบาย “ตอนที่ฉันยังเด็กพ่อจะต้องพาฉันไปที่สโตน ครีก ทุกฤดูใบไม้ผลิ ที่นั่นเราจะประทับตรา ฉีดยา คัดเลือกวัว ทําหมันให้กับวัวที่เราไม่ต้องการให้มันมีลูก หลังจากนั้นเราก็จะต้อนพวกมันขึ้นไปที่ทุ่งหญ้าในฤดูร้อน”

“พอถึงฤดูใบไม้ร่วงเราก็จะต้อนพวกมันกลับลงมา” เธอรื้อฟื้นความทรงจําของตนเองต่อไปอีก และคิดไปถึงแบนน่อน ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในความทรงจําแต่ครั้งอดีต

ทุกครั้งที่คิดไปถึงเขา ความรานร้าวก็ผ่านแวบเข้ามาในใจ สร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เธอปัดมันออกเสียจากใจในทันที ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเธอเฝ้าฝึกฝนตนเองให้เคยชินกับความรู้สึกเช่นนี้ บัดนี้จิตใจก็ปลอดโปร่งขึ้นมากแล้ว

“ถึงยังไงฉันก็มองเห็นภาพเธอต้อนวัวอยู่กลางทุ่งไม่ออกอยู่ที่นั่นแหละคิท” พอล่า แกรนท์ พูดยิ้ม ๆ ส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ

ซึ่งจอห์น เทรวิส เองก็ดูจะเห็นด้วยกับการตั้งข้อสังเกตของพอล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่เขามองคิท และได้เห็นท่าทางที่บ่งบอกถึงความมั่นใจของเธอในยามนี้

คิทหัวเราะเริงรื่นกับคําพูดของเพื่อน ลากเสียงช้า ๆ เมื่อตอบกลับไปว่า

“โอ...พอล่าจ๋า...ฉันก็เสียใจด้วยนะที่เธอนึกภาพนั้นไม่ออก แต่ถึงยังไงฉันก็เคยต้อนวัวมาแล้วอย่างแน่นอน จะเล่าให้ฟังนะ...” น้ำเสียงเธอจริงจังขึ้น “พ่อน่ะสอนให้ฉันขี่ม้าเป็นตั้งแต่ยังพูดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แม่น่ะตกใจแทบจะเป็นลมตายเสียด้วยซ้ำ พออายุได้สองขวบ ฉันก็มีม้าของตัวเองตัวหนึ่ง พอสามขวบพ่อก็ให้บ่วงบาศ เธอรู้ไหมว่าฉันเอาบ่วงบาศนั่นทําอะไร วิ่งไล่หมาไล่ไก่อยู่ทั้งวันจะได้เอาบ่วงบาศคล้องมัน พออายุหกขวบฉันก็ขี่ม้าที่มันเป็นม้าจริง ๆ แล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น เมื่อรื้อฟื้นความหลังให้เพื่อนสาวฟัง

“มันก็จริงอยู่หรอกที่ว่า แม่พยายามสั่งสมความรู้ต่าง ๆ ให้ฉันอย่างมาก พาไปเข้าโรงเรียนบัลเล่ต์ บังคับให้ฉันเรียนเปียโน ไม่ว่าจะมีคอนเสิร์ตที่ไหนแม่เป็นต้องลากตัวฉันไปดู คือแม่มีความคิดอยู่ว่า ถ้าฉันอยากจะเป็นโคบาลกับเขาจริง ๆ แล้วละก้อ ควรจะต้องเป็นโคบาลชนิดมีภูมิกับเขาสักหน่อย”

“ซึ่งคุณก็มีภูมิมากจริง ๆ” จอห์น เทรวิส สนองตอบอย่างเห็นด้วย จับตามองต่างหูห่วงทองที่ห้อยอยู่ตรงติ่งหู เคลียเคล้าอยู่กับปอยผมสีบลอนด์ทองที่รุ่ยร่ายอยู่ข้างใบหน้า มองดูกําไลทองหนาหนักที่เธอสวมไว้กับข้อมือ กวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างที่อบอุ่นอยู่ในเสื้อชุดขนสัตว์สีองุ่น มีเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงปะการังสวมทับไว้อีกชั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel