บทที่ 3
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันเข้าเป็นตัวคิท มาสเตอร์ส นั้นบ่งบอกถึงรสนิยมอันสูงส่งและทันสมัย น้อยนักที่ผู้หญิงจะให้ความประณีตกับทุกองค์ประกอบของตนเองขนาดนี้ และคิทเป็นคนหนึ่งในจํานวนน้อยนั้น
“พอล่า., จอห์น ที. ดูนั่นสิ” เธอแนบใบหน้าเข้ากับช่องหน้าต่างกระจก แววตาฉายแสงแห่งความตื่นเต้น ซึ่งทําให้เธอดูอ่อนกว่าอายุสามสิบสองลงมาก “นั่นไงซิลเวอร์วู้ด บ้านฉัน”
จอห์น เทรวิส ชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากชีวิตส่วนใหญ่ของเขานั้นวนเวียนอยู่แต่ในค่ายทหารที่กระจัดกระจายอยู่เกือบครึ่งโลก พออายุสิบเจ็ด เขาก็ออกเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองต้องถูกย้ายไปอยู่ฐานทัพอื่น ต้องเข้าโรงเรียนแปลก ๆ อีก เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตในโลกบันเทิง ซึ่งแตกต่างกว่าชีวิตที่เคยผ่านพบมาโดยสิ้นเชิง
เขาพิจารณาอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในหุบเขารูปสามเหลี่ยม มีปราการธรรมชาติ คือสันเขาร็อคกี้ตั้งกระหนาบอยู่สองด้าน ภาพอาคารโรงนาเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางมีรั้วไม้ล้อมรอบนั้นเป็นภาพที่น่าดูอย่างยิ่ง และในท่ามกลางหมู่สน คืออาคารที่ไม่ได้รับการวางผังอย่างเหมาะสมประกอบด้วยหน้าจั่วสามด้าน และระเบียงกว้างที่โอบล้อมตัวบ้านไว้ทั้งสี่ด้าน
“บ้านหลังนั้นมีลักษณะเป็นบ้านในชนบทที่ดูแปลกตา เราไม่ค่อยได้เห็นบ้านแบบนี้มากนักหรอกนะคิท” พอล่าเอ่ยอย่างชอบใจ
“นั่นสินะ” คิทพูดเสียงเบา นึกไปถึงวันแห่งความสุขที่เธอเคยมีชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนี้ มันเป็นบ้านแห่งความสุข และความเศร้าสําหรับความทรงจําของเธอเสมอมา
“คงจะเป็นเพราะสถานที่ตั้งของมันนั่นเอง” พอล่าเอ่ยต่อ “มีภูเขาสูงตั้งตระหง่านเป็นฉากอยู่ด้านหลัง เต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่าไม่มีที่ไหนจะสวยเท่ากับฤดูใบไม้ร่วงในนิวอิงแลนด์อีกแล้ว แต่พอมาเห็นที่นี่เข้า...” เธอชี้มือที่สวมแหวนพราวออกไปยังทัศนียภาพนอกหน้าต่าง “มันเป็นภาพที่สวยอย่าน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเลย”
คิทเลื่อนสายตาจากบ้านของเธอไปยังภูเขา ซึ่งบัดนี้ฤดูกาลได้แต่งแต้มเปลี่ยนสีสันให้สดสวย และอาบอยู่ด้วยแสงตะวัน สีเหลืองทองของใบไม้แทรกอยู่ในท่ามกลางสีเขียเข้มของป่าสนที่ขึ้นเบียดเสียดลดหลั่นกันลงมาตามแนวเนินของลอนเขา ที่ต่ำลงไปเบื้องล่างนั้นคือแมกไม้ที่มีลําต้นสีขาวแกมเทาที่ธรรมชาติได้ระบายสีลงบนใบของมันหลากหลาย ทั้งสีส้มสด สีเหลืองมะนาว สีเหลืองอําพัน และเหลืองบุษราคัม
“ฉันเคยเล่าให้เธอฟังแล้วไงล่ะพอล่า ว่าเมื่อถึงฤดูนี้ ที่นี่มีทัศนียภาพสวยงามแค่ไหน แต่ตอนนั้นเธออยากไม่เชื่อฉันเองนี่” คิททําเสียงงอน “เธอน่ะมันนักวิจารณ์ ที่จริงเธอน่าจะเกิดแถว ๆ มิสซูรี่มากกว่าเวอร์มอนท์นะ”
“อันที่จริงการวิจารณ์อะไรอย่างที่เธอว่านั่นน่ะ มันออกจะเป็นเรื่องสําคัญนะ เพราะมันเกี่ยวกับความอยู่รอด เมื่อเราอยู่ในธุรกิจแบบนี้” พอล่าตอบกลับมา “เอาเถอะน่า ถ้าเมื่อไหร่เธออยู่ในวงการนี้นานเท่ากับฉันละก้อ เมื่อนั้นแหละที่เธอจะรู้ได้ด้วยตัวเอง”
“นั่นมันเป็นทรรศนคติตามแบบของเธอ แต่ก็อย่างที่เธอรู้นั่นแหละ ว่าฉันมันเป็นคนที่ชอบมองโลกในแง่ดี เป็นธรรมชาตินิสัยที่เห็นจะแก้ไม่ได้เสียแล้ว” คิทไหวไหล่อย่างไม่สนใจ
“น่าเสียดายนะคะจอห์น ที่คุณไม่ได้ลงมือถ่ายทําหนังเรื่องใหม่นั่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต้องรอไปจนกระทั่งถึงหน้าหนาว” พอล่าพูดต่อ “ภาพสวย ๆ อย่างนี้หาดูได้ยากนะ”
“ใจเย็น ๆ น่าพอล่า” จอห์น เทรวิส พูดอย่างล้อเลียน “รู้ไหมพอล่าว่าคุณน่ะชักจะทําเสียงเหมือนพวกนักทัศนาจรเข้าไปทุกทีแล้ว”
“อ๋อ หลังจากงานการกุศลคืนนี้แล้วฉันจะทําตัวเป็นนักท่องเที่ยวอย่างที่คุณว่าตลอดทั้งเดือนเลย” น้ำเสียงของพอล่าออกจะโอ้อวด “เพราะตอนนั้นจะไม่มีโทรศัพท์ที่ตามตัวกันแต่เช้ามืด ไม่ต้องทํางานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ต้องนั่งอ่านบทกันเป็นปึก ๆ ไม่ต้องทํางานอาทิตย์ละหกวัน คุณไม่รู้หรอกว่าฉันน่ะปลาบปลื้มยินดีมากแค่ไหน เมื่อคนเขียนบทลงความเห็นว่าควรจะเลิกบททราเชลเสียที”
“ซึ่งก็หมายความว่า สัญญาการแสดงของคุณมันต้องสิ้นสุดยุติตามลงไปด้วย” จอห์น เทรวิส สอดขึ้น
“เรื่องนั้นก็ด้วย” พอล่าไม่ได้ทุกข์ร้อนกับคําพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย “แต่หลังจากที่ฉันต้องรับบทแสดงในวินด์ ออฟ เดสตินี่ มานานถึงเจ็ดปี ฉันคิดว่าฉันควรจะมีสิทธิ์ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่บ้าง คุณว่าจริงไหม”
“ฉันว่าเธออย่าไปสนใจกับคําพูดของจอห์น ที. ดีกว่า” คิทว่า “เพราะสองชั่วโมงที่เขาใช้เวลาอยู่กับชิพ ทําให้เขาคิดแบบผู้กํากับมากกว่าจะเป็นนักแสดงไปแล้ว”
“ก็เห็นอยู่แล้วละ” พอล่าหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง ราวกับมีอะไรบางอย่างมากระทบตาทําให้เธอแนบหน้าลงกับกระจกหน้าต่างเพื่อมองดูภาพนั้นอย่างใกล้ชิด “ภูเขานั่นราวกับภูเขาทองคําแน่ะ” เธอพูดเสียงเบา
“ถ้าจะพิจารณาจากราคาที่ดินในแอสเพนเวลานี้แล้ว ผมว่ามันต้องเป็นยังงั้นแน่” จอห์น เทรวิส ออกจะเห็นด้วยกับคําวิจารณ์ของเพื่อนสาว และพอล่าก็พยักหน้าอย่างยอมรับ
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันว่า แม้กระทั่งที่ดินผืนเล็ก ๆ ก็ราคาสูงอย่างน่ากลัวทีเดียว”
ในความรู้สึกส่วนตัว คิทเองก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็รีบกําจัดความโลภออกไปให้พ้นจากใจ
“ตรงนั้นคือตัวเมืองแอสเพนใช่ไหมคิท” พอล่าเอ่ยถามขึ้น
จากหน้าต่างเครื่องบิน คิทจับตามองภาพตัวเมืองที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหุบเขาแคบ ๆ ไล่เรียงกันขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำที่มีชื่อว่าโรริ่ง ฟอร์ค ริเวอร์ จนถึงไหล่ของเทือกเขาร็อคกี้
เธอมองเห็นภาพสกีที่วิ่งลัดเลาะลงมาตามแนวลาดของเทือกเขาแอสเพน ซึ่งเมื่อประมาณร้อยปีที่ผ่านมา คนงานเหมืองหน้าดําเคยใช้เป็นเส้นทางเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยกลับบ้าน ภายหลังจากที่ออกมาจากเหมืองเงิน
แต่บัดนี้ตามแนวลาดหลั่นของไหล่เขาแห่งนั้น จะเห็นอาคารแบบทันสมัยตั้งตระหง่าน แทนที่โรงเก็บเครื่องมือในการทําเหมืองเงิน ที่รายเรียงไปตามแนวถนนดูแร้นท์คือร้านรวงทันสมัย จัดจําหน่ายทั้งเสื้อผ้าแพรพรรณ และของที่ระลึกต่าง ๆ บรรยากาศแห่งความเป็นตัวเมืองแอสเพนอันแท้จริงได้สูญสิ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง จะเหลืออยู่ก็แต่ประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ถึงเรื่องราวของบารอน ผู้คิดดําริสร้างทางรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรก และประวัติที่ว่า ครั้งหนึ่ง พระราชวงศ์แห่งยุโรปเคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนเมืองนี้เท่านั้น
ถนนหลายสายที่สองฟากฝั่งร่มครึ้มด้วยแมกไม้นั้น ครั้งหนึ่งมันคับคั่งอยู่ด้วยรถม้า เกวียนบรรทุกสินค้า ฝูงแกะนับจํานวนพัน และยังกองทัพสกีที่ต่างมุ่งมาสู่ที่นี่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
คิทอดยิ้มไม่ได้ เมื่อนึกถึงความรุ่งโรจน์แห่งบ้านเกิดของตนเอง...นับตั้งแต่สมัยที่มันเป็นเพียงบ้านป่าเมืองเถื่อน จะมีก็แต่แค้มป์ของพวกทําเหมืองแร่ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้วยแร่เงิน จากเมืองที่เกือบจะร้างผู้คนกลายมาเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกผู้ดีมีเงิน เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่ล้ำหน้าทันสมัย...
มันเป็นตำนานแห่งเรื่องราวที่ฮอลลีวู้ดน่าจะตั้งชื่อให้ว่า “ซินเดอเรลล่า มีทส์ คิง มีดาส” ทีเดียว
เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ตรงต่อความเป็นจริงอย่างที่สุด...