บทที่ 4
เสียงกริ่งดังขึ้นสองครั้ง จอห์น เทรวิส เอื้อมไปหยิบหูโทรศัพท์ที่แขวนอยู่ข้างผนังกดปุ่มเปิดสายตรงเข้าสู่ส่วนหัวของเครื่องบิน รับฟังข้อความอยู่เงียบ ๆ เป็นครู่ แล้วจึงได้หันมาพูดกับทุกคน
“เราเตรียมบินลงแล้ว นักบินสั่งให้รัดเข็มขัด”
คิทหันกลับมาจากหน้าต่าง ลดขาลงควานหารองเท้า จากปลายหางตาเธอทันเห็นชิพ ฟรีแมน ที่กระดกเหล้าอึกสุดท้ายเข้าปาก รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้น เมื่อคิดถึงว่าชิพกําลังใช้เหล้าย้อมใจให้เกิดความกล้าขึ้นเท่านั้น
เธอหยิบเข็มขัดที่ติดอยู่กับเบาะขึ้นมาคาด ขณะชิพเดินไปยังที่นั่งซึ่งติดกับพอล่า ใบหน้าเผือดซีด สายตามองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้เหลียวซ้ายแลขวาเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ทันเห็นยิ้มที่คิทส่งไปให้อย่างปลอบใจ
“น่าเห็นใจชิพจัง” เธอพูดเบา ๆ กับจอห์น เทรวิส “ท่าทางตอนนี้เหมือนต้องการยาระงับประสาท ที่จริงคุณน่าจะชวนเขาคุยเรื่องหนังไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะลงถึงพื้นดินนะ”
“เดี๋ยวก็ถึงแล้วละน่า” เขาตวัดสายตามองไปทางชิพอย่างขบขัน “รับรองว่าเขาต้องทําได้ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่”
ที่จริงจอห์น เทรวิส ก็พูดไม่ผิดหรอก...คิทครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ในใจ ถ้าจะว่าไปแล้ว ชาร์ลส์ หรือที่ทุกคนเรียกเขา “ชิพ ฟรีแมน” นั้น ท่าทางเหมือนเด็กที่ตัวโตเท่าผู้ใหญ่มากกว่า เพราะนอกจากเขาจะตื่นกลัวกับการนั่งเครื่องบินแล้ว เขาก็มีรูปร่างใหญ่โตจะดูเป็นเด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องสติปัญญาแล้ว ชิพเป็นอัจฉริยะทีเดียว มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และความตั้งใจที่มุ่งมั่นอยู่กับการทํางานอย่างมากมาย
ชิพกับเธอดูจะไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนมาเป็นเวลาหลายปี เขาก็สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกขึ้น โดยมีดาราใหญ่เข้าร่วมแสดงด้วยหลายคน และยังมีเงินที่ใช้ในการลงทุนเพื่อการถ่ายทําอีกถึงห้าสิบล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ประกาศออกมาว่าเขาได้ขึ้นมาอยู่ในตําแหน่งผู้อํานวยการสร้างดูจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนในวงการภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดไม่น้อย และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ไว้ท์ ไล” ซึ่งทุกบททุกตอนล้วนแต่น่าสนใจติดตาม และมีผู้สนใจที่จะสั่งซื้อภาพยนตร์เรื่องนั้นไปฉาย ซึ่งทําให้ฝ่ายจัดจําหน่ายมองเห็นลู่ทางว่ามันจะเป็น “หนังทําเงิน” อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าก่อนหน้านั้นภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้กำกับจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ และไม่ประสบความสําเร็จในทรรศนะของชาวฮอลลีวู้ดมาก่อนก็ตาม
แต่สําหรับทรรศนะของคิทแล้ว อนาคตในวงการภาพยนตร์ของเธอจะรุ่งโรจน์ได้ก็ด้วยฝีมือของชิพเท่านั้น แม้ว่าความสันทัดจัดเจนของเธอในวงการนี้จะยังน้อยอยู่มากก็ตาม
เธอร่วมงานกับเขามาเมื่อเจ็ดปีก่อน ในละครเวทีเรื่อง “เดอะ กลาส แม็จเนจเจรี่” เป็นเรื่องราวที่สนุกสนานให้ความบันเทิงใจแก่ผู้ชมอย่างมาก และเมื่อการสิ้นสุดลง ทุกคนก็ต้องปรบมือให้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริง
ดังนั้น กับภาพยนตร์เรื่องที่กําลังจะถ่ายทําต่อไปนี้ ย่อมเป็นโอกาสที่เขาจะพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงความเป็นอัจฉริยะ และแน่นอนที่เขาจะต้องก้าวขึ้นมาสู่ความมีชื่อเสียงเช่นที่สมควรจะได้รับ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ คิทก็ดีใจกับเขาเช่นเดียวกับที่ดีใจกับตัวเองมาตลอด
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกึกก้อง เมื่อเครื่องเริ่มลดเพดานบิน สีหน้าของชิพเผือดซีดลงกว่าเดิมเกาะแขนเก้าอี้ไว้แน่น พอล่าตบหลังมือเขาเบา ๆ อย่างปลอบใจชิพจึงถือเป็นโอกาสที่จะเกาะกุมมือเธอไว้ตลอดเวลา เมื่อไม่มีทางจะดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุมนั้นได้ พอล่าก็หันมามองหน้าคิทส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจกับความตื่นกลัวของผู้ชายคนนี้
แต่การแสดงออกดังกล่าว มันก็อดทําให้คิทสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพอล่ากับชิพไม่ได้ บางครั้งสองคนนี่จะคุยกันราวพี่ชายกับน้องสาว บางครั้งก็ดูเหมือนเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างที่สุด แต่หลายครั้งที่เธออดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งสองจะเป็นคู่รักกัน มันก็ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนกันที่เธอมิได้ล่วงรู้ในเรื่องนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว คิทถือว่าในฮอลลีวู้ด พอล่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ โดยเฉพาะ ตลอดเวลาสามปีที่เธอกับพอล่าต้องทํางานร่วมกันใน “วินด์ส ออฟ เดสตินี่”
“คุณจะจับมือผมไว้หน่อยไหมล่ะ” จอห์น เทรวิส เอียงหน้าเข้ามาถาม
“ถามทําไม หรือว่าคุณก็กลัวกับเขาด้วย” คิทถามยิ้ม ๆ รู้ดีว่าที่เขาพูดนั้น มันหมายถึงอะไร
“ก็อาจเป็นได้นะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง
“ถ้าคุณเป็นยังงั้นละก้อ ฉันว่าหมูมีปีกบินได้แน่” แต่กระนั้นเธอก็ยังสอดประสานมือเข้ากับเขาอยู่ดี รู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อยที่ได้นั่งจับมือกันไว้อย่างนี้
ที่โต๊ะทํางาน อีวอน เดวิส สอดกระดาษที่จดบันทึกข้อความแผ่นสุดท้ายลงในกระเป๋าหนังจระเข้สีดําและกดปิดลง มัวรี่ โรส กวาดถั่วในจานมาทั้งหมดแล้ว ก็นั่งเอนหลังพิงพนักกินถั่วอย่างสบายอารมณ์ ขาที่ค่อนข้างสั้นแทบจะไม่แตะพื้นเสียด้วยซ้ำ เรือนผมสีน้ำตาลแกมเทายุ่งเหยิงตามแบบของเขา
มัวรี่ โรส เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างพิถีพิถันในเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้าทุกชุดของเขาจะประกอบด้วยสามชิ้น และมักจะเป็นผ้ามันอย่างเช่นผ้าชาร์คสกิน แต่แม้เสื้อกั๊กตัวนอกจะตัดให้ฟิตสักแค่ไหนก็ยังมองเห็นได้ชัดว่าน้ำหนักตัวของเขาเกินขนาดอยู่ไม่น้อยกว่าสามสิบปอนด์อยู่ดี แม้ว่าเขาจะใช้สายคาดเพื่อช่วยรัดส่วนหน้าท้องไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก็ตาม
“อ้อ...แล้วก็อย่าลืมจดด้วยนะว่าจะต้องเชิญผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์พีเพิลมาร่วมด้วย” มัวรี่ทําเสียงสั่ง “ผมไม่อยากให้พวกเขาเข้าใจผิดเรื่องปาป้าราสโซ่ เข้าใจไหม
“อยู่ในรายชื่อเรียบร้อยแล้วละค่ะคุณโรส” เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งมีเชื้อสายเท็กซัสตอบเสียงขุ่น ออกจะรําคาญใจมัวรี่ โรส ทําราวกับว่าเธอไม่รู้หน้าที่ของตนเอง “ฉันเชิญให้เขามาร่วมงานคืนนี้เสียด้วยซ้ำ” แต่มัวรี่หนังหนาเกินกว่าที่จะรู้สึกถึงน้ำเสียงห้วน ๆ ของเธอได้ อีวอน เดวิส จึงหันไปทางคิท “นานเท่าไหร่แล้วนี่ที่เธอไม่ได้กลับมาแอสเพน” เธอมีเจตนาจะเปลี่ยนเรื่องพูดมากกว่าอย่างอื่น
“ถ้าที่ถามนี่หมายถึงว่า นอกเหนือจากที่กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างเป็นครั้งคราว แล้วก็พักอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แล้วละก้อ...หลายปีเหมือนกัน” คิทตอบอย่างยอมรับในความเป็นจริง “ที่จริงฉันก็วางแผนมาตลอดนั่นแหละ แต่เป็นเพราะเวลา เงิน หรือไม่บางครั้งก็สถานการณ์มันไม่อนุญาตให้”
“ฉันเข้าใจที่เธอพูดดี” อีวอนพยักหน้ารับ “ตอนที่ฉันออกเดินทางมาจากฮิวสตั้น ฉันก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านในทอมบอลล์ทุกปีเหมือนกัน แต่ตลอดเวลาสิบหกปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้กลับไปจริง ๆ เพียงแค่สี่ครั้งเท่านั้น คนเราเมื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่มันมีภารกิจยุ่งเหยิงที่จะต้องจัดทํา แทบจะลืมชีวิตเก่าไปเลยด้วยซ้ำ ฉันน่ะไม่อยากคิดเลยนะว่า เมื่อถึงเวลานี้ต้องเสียเพื่อนดี ๆ ไปตั้งกี่คน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ” เธอวางกระเป๋าลงกับพื้นใกล้ตัว
“ฉันก็ว่ายังงั้น” คิทครุ่นคํานึงไปถึงแองจี้ มาร์ติน เพื่อนรักที่เรียนร่วมโรงเรียนเดียวกันมา และออกเสียใจไม่น้อย เพราะสมัยก่อนเคยคุยโทรศัพท์กันชนิดมาราธอนก็ว่าได้ แต่พอคิทย้ายไปอยู่แอลเอ ความสัมผัสก็เริ่มห่างเหินไป
เมื่อตอนที่พ่อตาย แองจี้ได้มาร่วมในพิธีฝังศพด้วย แต่ก็มีโอกาสพูดคุยกันไม่กี่คํา แต่ครั้งนี้...ในการเดินทางเที่ยวนี้เธอจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก เพราะเธอกับแองจี้จะต้องมีเรื่องนินทาอดีตสามีของแองจี้ที่เพิ่งหย่าขาดกันไป คิทพยายามทบทวนความทรงจําว่าสามีคนใหม่ของแองจี้ชื่ออะไร เมื่อนึกไม่ออกก็อดยิ้มอย่างนึกขำตัวเองไม่ได้
“เธอรู้ตัวหรือเปล่าคิท...” เสียงอีวอนขัดจังหวะความคิดของเธอลง “ว่าเวลานี้น่ะเธออยู่ในความฝันของใครทุกคน ในเมื่อเธอเดินทางกลับบ้านอย่างคนที่ประสบความสําเร็จมากมายขนาดนี้ คิดดูสิ...เวลานี้น่ะเธอคือคิท มาสเตอร์ส ดาราดังของฮอลลีวู้ดไปแล้วนะ”
คําพูดประโยคนั้นทําให้คิทหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“จะยอกันมากเกินไปหน่อยละมั้งอีวอน ฉันน่ะมันแค่นักแสดงฝึกหัดเท่านั้นละ และสําหรับหนังเรื่องใหม่นี่มันก็ยังไม่ได้ถ่ายทําเสียด้วยซ้ำ”
“มันอาจจะเป็นยังงั้นก็จริง...แต่ฮันนี่...ฉันน่ะได้อ่านสคริพท์แล้ว แล้วก็ได้เห็นการซ้อมหน้ากล้องของเธอมาแล้วด้วย เธอน่ะทําให้ฉันถึงกับตะลึงเชียวนะคิด มาสเตอร์ส” อีวอนชะโงกหน้าเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “รับรองว่าเมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉาย เธอจะเป็นดาวดวงใหม่ที่พุ่งแรง ชนิดที่คนข้างหลังไม่เห็นฝุ่นเลยละ”
คิทถึงกับจ้องมองหน้าเพื่อนร่วมงานตาค้างอยู่ นึกไม่ถึงว่าอีวอนจะพูดจาอย่างจริงจังและมั่นใจขนาดนั้น มันทําให้เธอนึกไปถึงคําพูดของโนแลน วอล์คเกอร์ ซึ่งเป็นผู้กํากับของจอห์น เทรวิส ซึ่งก็พูดอะไรทํานองเดียวกันนี้ แต่ตอนนั้นเธอเพียงแต่ยักไหล่อย่างไม่สนใจ คิดเอาเองว่าเป็นเพราะโนแลน วอล์คเกอร์ อยากจะให้งานชิ้นตรงหน้าเสร็จ ๆ ไปเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ยึดถือจริงจังกับคําพูดของเขาเท่าไรนัก
แต่ขณะนี้ คําพูดของอีวอนดูราวจะส่งเสริมความจริงในเรื่องนี้ให้แข็งแรงขึ้น มันทําให้คิทต้องคิดต่อไปว่า ไม่ว่าภาพยนตร์ที่กําลังจะถ่ายทําที่ดีหรือเลวแค่ไหน มันก็สามารถส่งเธอขึ้นมาเป็นดาวดวงใหม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เธอรอเวลาที่จะได้สัมผัสความตื่นเต้นที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ยินคําทํานายทํานองเดียวกันนี้มาถึงสองครั้งสองคราและความปลาบปลื้มยินดีก็เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
แต่ถึงอย่างไร คิทก็พยายามบอกตัวเองอยู่ว่า ชื่อเสียงเกียรติยศนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเธอ เธอเพียงแต่ต้องการแสดงในบทที่ตนพอใจเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังอดนึกถึงความตื่นเต้น เมื่อได้อ่านสคริพท์เรื่องนี้ครั้งแรกไม่ได้
ตอนนั้นเธออยู่ที่สตูดิโอ ถ่ายทําภาพยนตร์เรื่อง “วินด์ส ออฟ เดสตินี่” ซึ่งมีความยาวตอนละหนึ่งชั่วโมงอยู่