บทที่ 6
ความตื่นเต้นที่บังเกิดกับเธอในยามนี้มันมากมายเหลือจะกล่าว เพราะเมื่อมาถึงเวลานี้มันก็เท่ากับเธอเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นไปได้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นดาราภาพยนตร์แห่งฮอลลีวู้ดอย่างแท้จริงแล้ว แต่คิทพยายามสงบใจไว้ ทําใจให้เป็นกลาง เพราะเธอเธออาจจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ได้
ครู่ต่อมา ล้อเครื่องบินก็แตะลงกับรันเวย์ของซาร์ดี้ ฟิลด์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแอสเพน...
“ฉันว่าตอนนี้มันปลอดภัยพอที่คุณจะปล่อยมือฉันได้แล้วนะชิพ” พอล่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “เราถึงพื้นดินแล้ว”
“นั่นสิ ขอโทษด้วย” เขาปล่อยมือเธอออกสูดหายใจลึก เป็นครั้งแรกขณะที่เครื่องแท็กซี่ไปตามรันเวย์ ตรงไปยังตัวอาคาร “ผมละเกลียดการขึ้นเครื่องบินเสียจริง” เขาบ่นออกมาดัง ๆ ไม่ได้พูดกับใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
“ตลกไปหน่อยมั้ง” พอล่ามองหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน
“พอล่า...” คิทเรียกอย่างเตือนสติ พยายามที่จะไม่ยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
“ก็ดูนี่สิ มันไม่ใช่มือเธอก็ไม่รู้สึกอะไรน่ะสิ เล็บฉันเกะเทาะหมด คืนนี้ก่อนจะออกไปงานปาร์ตี้ก็ต้องมานั่งทากันใหม่อีก” พอล่าพูดอย่างโมโห
“ไม่เป็นไรน่า” มัวรี่สอดขึ้น “ผมสั่งให้ช่างผมช่างเล็บมาที่บ้านของจอห์นตอนหกโมงเย็น จะได้มาช่วยคิทแต่งตัวสําหรับออกงานคืนนี้แล้ว พอเขาแต่งให้คิทเสร็จ ก็ให้เขาช่วยทําเล็บให้คุณใหม่ก็แล้วกัน”
“ที่จริงคุณน่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับฉันก่อนนะ” คิทเอ่ยกับมัวรี่ “อันที่จริงไม่จําเป็นจะต้อง...”
“จําเป็นอย่างมากทีเดียว เพราะว่าคุณเป็นดาราใหญ่ของผม” เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งทําให้สีหน้าดูมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรพิกล “คืนนี้ ผมต้องการให้ภาพของคุณที่ออกมาเป็นภาพของดาราเงินล้าน แม้ว่าเทรวิสจะไม่ยอมให้ทางบริษัทจ่ายเงินให้คุณเป็นจํานวนมากขนาดนั้นก็ตาม” เขาส่งสายตาไปยังบุรุษผู้เอ่ยถึงอย่างมีเลศนัย
จอห์น เทรวิส มองตอบอย่างเย็นชา ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ยอมรับนับถือในความเป็นเอเย่นต์ของมัวรี่เท่าไรนัก และไม่เคยคิดที่จะอําพรางความรู้สึกเช่นนั้นไว้เลยด้วย
“อันที่จริงเราทั้งสองต่างก็รู้กันอยู่ว่าคิทไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องขนาดนั้นได้อยู่แล้ว”
“ตอนนี้น่ะยังแน่” มัวรี่ตอบกลับไปโดยฉับพลัน
“ผมว่ามันออกจะโง่ไปหน่อยนะ ที่เราจะพูดเรื่องเงินกันตอนนี้” ชิพลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อเครื่องบินจอดสนิทลง
“ถ้าคุณคิดว่าธุรกิจการทําหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปอย่างเดียวละก้อ คุณน่าจะศึกษาหาความรู้เพื่อให้ตัวเองฉลาดขึ้นกว่านี้นะพ่อหนุ่ม” มัวรี่พูดเป็นเชิงเดือน ซึ่งทําให้ชิพหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
“เอ๊ะ พูดถูกนี่โรส... ถูกเผงเลย เพราะพวกคุณส่วนมากชอบพูดกันแต่เรื่องเงินกับเรื่องความมีชื่อเสียงโดยไม่คํานึงถึงคุณภาพ แต่สําหรับพวกเราบางคนแล้ว ถึงยังไงงานหนังก็ยังเป็นงานศิลป และถ้าไม่มีพวกเราเสียคนอย่างพวกคุณก็ไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้หรอก”
“ก็ถูกอีกนั่นแหละ” มัวรี่รับคำหน้าตาเฉย ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดเสียดสีนั่นเลยแม้แต่น้อย
และในตอนนั้นเองที่นักบินผู้ช่วยโผล่ออกมาจากส่วนหัวของตัวเครื่อง และจัดการเปิดประตูให้ชิพเดินลงจากเครื่องทันทีที่บันไดล็อคเรียบร้อยแล้ว พอล่าเดินตามลงไปติด ๆ มัวรี่หันมาโบกมือให้อีวอนลงจากเครื่องก่อน เพราะเขาจะต้องรอคิทที่หยิบกระเป๋าถือกับเสื้อคลุมสีทอง
“ไอ้หมอนั่นมันไม่เพียงแต่หลงตัวเองเท่านั้น แต่ยังใจร้อนอีกด้วย คุณว่าไหม” มัวรี่หันมาสบตาเชิงถาม แม้คิทจะสูงเพียงห้าฟุตหกนิ้ว แต่กระนั้นเธอก็ยังสูงกว่าเขาอยู่ดี
“รู้ยังงั้นก็ดีแล้ว คุณจะได้รู้จักระมัดระวังอย่าไปจุดอารมณ์เขาให้เดือดดาลขึ้นมาอีก” คิทพูดเรียบ ๆ
“ผมน่ะเรอะ” เขาทําสีหน้าราวไร้เดียงสา แต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินลงจากเครื่องบิน ซึ่งทําให้คิทถึงกับส่ายหน้าตามหลัง
“คนอะไรไม่รู้ แย่จริง ๆ” เธอบ่นพึมพํา
“เรื่องแย่น่ะมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องที่เลวมากกว่านี้อีกหลายเรื่อง” จอห์น เทรวิส พูดเบา ๆ และยุติการพูดถึงมัวรี่ลงเพียงแค่นั้น คิทเองก็ไม่คิดจะเอ่ยต่อ เพราะรู้ดีว่าจอห์นมีความรู้สึกต่อตัวอย่างไร มันก็เป็นเรื่องเก่าและเธอก็ไม่อยากจะทะเลาะกับเขาโดยไม่จําเป็น
คิทก้าวออกจากเงาของเครื่องบินสู่แสงแดดสว่างไสวในยามบ่าย เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังเทือกเขาที่ห่มตัวอยู่ด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงโดยอัตโนมัติ ธรรมชาติได้ประสมประสานบรรยากาศแห่งความอ่อนโยน และความยิ่งใหญ่เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน และทั้งสองสิ่งนั้นได้ดําเนินติดต่อกันไป จนในที่สุดก็หลอมละลายเข้ากับสีครามเข้มของท้องฟ้า
มันเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่มีประสาทรับรู้ในสัมผัสต่าง ๆ ย่อมกระตือรือร้นที่จะซึมซับทั้งภาพ กลิ่น และเสียงเข้าไว้ คิทแหงนหน้าขึ้นรับสายลมอ่อนที่โชยชื่น สูดเอาอากาศบริสุทธิ์แห่งขุนเขาอัดเข้าไว้ในปอด ในอากาศที่มีแต่โอโซนนั้น ราวจะมีคํามั่นสัญญาที่เน้นให้เธอมองเห็นถึงอนาคตที่มีหนทางเป็นไปได้อยู่ กลิ่นอายจากป่าสนคือกลิ่นอายแห่งบ้านเกิดที่เธอจากไปเสียนาน
เมื่อจอห์น เทรวิส เดินเข้ามาสมทบ คิทจึงได้หันกลับไปมองทางข้างหลัง และได้เห็นเครื่องบินอีกหลายลำจอดรายเรียงกันอยู่ด้านนอกของแอสเพน เบส โอปะเรชั่น เธอพยักหน้าไปทางเครื่องโบอิ้ง 727 พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“รู้สึกว่า เจ. ดี. มาถึงแล้วนะ เพราะเครื่องเขาจอดอยู่นั่น”
“อะไรกัน...” พอล่าซึ่งทันได้ยินคําพูดของคิทเข้าร้องออกมา “เธอหมายความว่าเครื่องบินลํานั้นเป็นเครื่องส่วนตัวของ เจ. ดี. งั้นหรือ”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ” ฟรีแมนย้อนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ซึ่งเท่ากับบอกให้คิทรู้ว่า เขายังไม่พอใจกับคําพูดของมัวรี่เมื่อครู่อยู่ “บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ย่อมจะต้องมีอะไรที่มันใหญ่ที่สุด แล้วก็ดีที่สุดไว้ใช้อยู่แล้ว มันเป็นสัญญาวิปลาสไงล่ะ”
“แต่การที่เขาจะชอบอะไรแบบนั้นมันก็ไม่ใช่อาชญากรรมหรอกนะชิพ” พอล่ามองหน้าเขาอย่างขบขัน ส่วนความรู้สึกที่เธอแสดงออกอยู่ในขณะนี้ บ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นผู้มีภูมิปัญญา และมองโลกในแง่ดีไม่น้อย แต่สีหน้าของชิพกลับบึ้งตึงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“นั่นละคือ ลักษณะของคนที่ยึดมั่นในอัตตาธิปไตย คิดว่าตัวเองสามารถจะใช้อํานาจควบคุมทุกสิ่งเป็นจ้าวหัวใจของทุกคนได้”
“ตายจริง นี่คุณไปเอาความคิดอย่างนี้มาจากไหนกัน” พอล่าทําเสียงล้อเลียน “สงสัยว่ามันจะต้องมีเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องเล็ก ๆ อย่างเช่นเรื่องเงินกับอํานาจเสียแล้วละใช่ไหมชิพ” เมื่อเห็นเขาเม้มริมฝีปากแน่นและเมินมองไปทางอื่นเธอก็วางมือลงกับต้นแขนเขาอย่างเห็นใจ “ชิพ มันไม่ฉลาดหรอกนะที่เราจะงับมือที่ขุนเราอยู่ แม้ว่าจะทําข้างหลังเขาก็ตามทีเถอะ”
“ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ ตรงหน้าผมนี่ผมก็จะทํา”
“ระวังคําพูดหน่อยชิพ” จอห์น เทรวิส เอ่ยเตือน “เพราะ เจ.ดี. เขาก็ไม่ค่อยชอบคุณเท่าไหร่อยู่แล้ว”
“ผมก็ไม่ชอบหน้าเขาเหมือนกัน ตรงนี้ไงล่ะที่ทําให้เราเท่าเทียมกัน” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเป็นประกายแข็งกร้าว
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ” สีหน้าของจอห์นราบเรียบราวไร้อารมณ์ แต่กระนั้นก็มีความหนักแน่นอยู่ในน้ำเสียงที่พูด “อย่างน้อยเขาก็ยังมีเงินอีกห้าสิบล้านเหรียญอยู่ในมือ และยังบริษัทที่จะจัดจําหน่ายหนังที่คุณสร้างขึ้น”
“ซึ่งพนันกันได้เลยว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครลืมเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด” ชิพคํารามออกมา
รอยยิ้มของจอห์น เทรวิส ในยามนี้เคร่งขรึมยิ่งนัก
“เอาละ ผมก็ออกจะเห็นใจอยู่นะที่คุณเกิดมาโดยไม่มีเครื่องกรองติดอยู่ระหว่างสมองกับปาก เพราะฉะนั้นยังไงก็ช่วยเห็นแก่พวกเราสักหน่อยเถอะชิพ พยายามหุบปากให้มันสนิทไว้เมื่อคุณเจอกับลาสซิเตอร์คืนนี้”
ท่าทางของชิพคลายความแข็งขันลงมาก เขาพยักหน้าราวเด็กนักเรียนที่รับคําสั่งครู
“ผมจะพยายามนะจอห์น” เขาบอก “ขอให้พระเจ้าช่วยผมด้วยก็แล้วกัน ผมจะใช้ความพยายามให้มากที่สุดจริง ๆ แต่ว่าคนพรรค์นั้นน่ะไม่รู้หรอกว่า ไอ้หนังดีกับหนังเลวน่ะมันแตกต่างกันยังไง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบทที่เขียนขึ้นอย่างดีหรอก”